พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 508 เจตจำนงค์ของอวี้เฉิง
เห็นมั่วชิงเฉิงได้ฟังก็อึ้งแล้วอึ้งอีก ถึงแม้จะรู้สึกกระดากอยู่บ้าง แต่อาศัยทีท่าของหมอผู้เมตตารักดังบิดามารดา ต้วนชิงเกอก็ยังคงพูดกำชับต่อ “ชิงเฉิน เรื่องนี้ไม่สามารถรอเวลาได้ อีกไม่กี่เดือนหลังจากนี้ก็จะเป็นการประลองเฟิงอวิ๋นแล้ว เจ้าต้องเข้าร่วมไม่ใช่หรือ หากเจ้าไม่สะดวก ก็ให้ลั่วหยางเจินจวินไปตลาดแลกหามาสักเล่ม….”
มั่วชิงเฉินเหม่อลอยพยักหน้า
เห็นท่าทีอึ้งงันของนาง ต้วนชิงเกอก็พูดขึ้นอย่างจนใจ “ชิงเฉิน ข้าไม่ได้ว่านะ พวกเจ้าอยู่ด้วยกันมาก็หลายปีแล้ว ทำไมจึงไม่เข้าผู้บำเพ็ญกันอย่างเป็นทางการเสียที…”
มั่วชิงเฉินรู้สึกราวกับอีกาจำนวนนับไม่ถ้วนบินผ่านตา ความรู้สึกประมาณว่าไม่มีหน้าจะพบใครได้อีก
จะให้นางบอกต้วนชิงเกอ ว่าเยี่ยเทียนหยวนมีพัฒนาการขึ้นมาก ตอนแรกแม้แต่เรื่องนั้นก็ทำไม่เป็นหรือ ช่างเถิด ปล่อยให้นางตายไปยังดีกว่า
ต้วนชิงเกอเห็นมั่วชิงเฉินเข้าใจ จึงกล่าวเสริมอีกอย่างเก้อเขิน นางพูดว่า “ใช่แล้ว ชิงเฉิน พวกสำนักลั่วสยามาถึงแล้วเมื่อเช้า พี่สาวตระกูลเจ้ามั่วเฟยเยียนและมั่วหร่านอีตอนนี้อยู่ที่ยอดเขาลั่วเถา ยังมีผู้ชายสามคน หนึ่งในนั้นเป็นเณรน้อยบอกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งบิดาเจ้า”
มั่วชิงเฉินในใจขึ้นมาทันที “พวกเขามาหมดแล้วหรือ เณรน้อยรูปนั้นคือลูกพี่ลูกน้องของข้าหู่โถว ชิงเกอ เจ้าบอกว่ายังมีผู้ชายอีกสองคนที่อยู่กับเขาอย่างนั้นหรือ”
“อืม คนหนึ่งแซ่ถัง บอกว่าเป็นพี่บุญธรรมของเจ้า อีกคนหนึ่งแซ่เซียว” ต้วนชิงเกอพูด
“แซ่เซียวหรือ” มั่วชิงเฉินรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
ต้วนชิงเกอพูดว่า “น่าจะเป็นเพื่อนของสหายถังหรอกกระมัง เป็นปราชญ์บำเพ็ญเพียร”
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วแน่น นึกถึงสุดยอดอาจารย์อาผู้นั้นที่กล่าวถึงในจดหมายซึ่งหลี่จื้อหย่วนมอบให้กับนางขึ้นมาฉับพลัน แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ชิงเกอ คนผู้นั้น ปกติดีหรือเปล่า”
ต้วนชิงเกอห้ามตัวไม่ให้หัวเราะ “ถ้าไม่ดูว่าเขาพอได้เห็นหญิงสาวก็ร้องเรียกว่าคนสวย กอดเท้าวิงวอนขอวาดรูปอย่างห้ามตนไม่ได้ละก็ ก็ยังนับว่าปกติดีกระมัง”
มั่วชิงเฉินลูบหน้าผาก “คงเป็นเช่นนั้นแหละ ชิงเกอ จากนี้ไปเจ้าอยู่ให้ห่างจากคนผู้นั้นหน่อยนะ เกี่ยวข้องด้วยแล้วเกรงว่าคงได้ลำบากน่าดู”
ต้วนชิงเกอมองไปยังมั่วชิงเฉินอย่างเห็นใจ แล้วพูดขึ้นว่า “วางใจเถิด ข้าจะอยู่ให้ห่างเขา แต่คงลำบากหน่อย เพราะตอนนี้เขาพักอยู่ที่ยอดเขาลั่วเถา”
มั่วชิงเฉินถึงกับพูดไม่ออก…
ต้วนชิงเกอตบบ่ามั่วชิงเฉิน “เอาล่ะ ข้าออกไปก่อน มีคนรอใจร้อนแทบแย่อยู่แล้ว”
ได้ยินเสียงเลิกม่านประตู คนผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาอยากรวดเร็ว
“ชิงเฉิน ดีขึ้นบ้างหรือยัง” เยี่ยเทียนหยวนนั่งลงข้างตั่ง เห็นนางฝังเข็มแล้วยังคงสีหน้าซีดขาวดั่งหิมะเช่นเดิม ก็รู้สึกราวกับมีเข็มปักลงบนหัวใจตนจนเจ็บปวดอย่างมิอาจห้ามได้
มั่วชิงเฉินพยักหน้า รวบรวมความกล้าแล้วพูดว่า “เทียนหยวน ท่านมีวิธีเข้าคู่บำเพ็ญหรือไม่”
เยี่ยเทียนหยวนอึ้งไปทันที เขานิ่งเงียบอยู่นาน
มั่วชิงใบหน้าเห่อร้อน พยายามสะกดความโกรธและอายแล้วพูดขึ้น “ท่านพูดมาสิ”
เห็นภรรยาหัวเสีย เยี่ยเทียนหยวนก็ลนลานใจ ขยับมือหนึ่งทีหนังสือเล่มน้อยเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น แล้วพูดขึ้นอย่างอิดออด “ข้ามีสิ่งนี้ เจ้า…เจ้าอยากดูหรือ”
หมายความว่าอย่างไรกันที่ว่าเจ้าอยากดูหรือ ข้ามองเห็นหรือไรเล่า!
จิตใต้สำนึกของมั่วชิงเฉินรู้สึกผิดปกติ แต่ก็ไม่รู้ว่าตรงไหนกันที่ผิดแปลกไป นางกดเสียงต่ำลง “เจ้าทึ่ม ข้ามองไม่เห็น ท่านอ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนนั้นให้ข้าฟัง ไว้…ไว้คืนพรุ่งนี้พวกเราลองกัน…”
เยี่ยเทียนหยวนประหลาดใจ แล้วพูดขึ้นอย่างสัตย์ซื่อ “ชิงเฉิน ในนั้นน่ะ พวก…พวกเราเคยลองกันแล้วไม่ใช่หรือ…หากเจ้า…หากเจ้ารู้สึกไม่ดี เดี๋ยวข้าจะไปหาซื้อหนึ่งเล่ม…”
มั่วชิงเฉินในที่สุดก็มั่นใจว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง นางพูดถามว่า “เทียนหยวน ท่านพูดอะไรกัน พวกเราลองกันเมื่อไหร่หรือ” พูดถึงตรงนี้ก็นึกขึ้นได้ นางขบฟันแล้วพูด “เทียนหยวน ท่านบอกข้าได้ไหมว่าในมือท่านนั้นคืออะไร”
เยี่ยเทียนหยวนแดงไปถึงใบหู พูดขึ้นอย่างกระดากอาย “ถังมู่เฉินให้ข้า…”
มั่วชิงเฉินแทบพูดไม่ออก นางพูดขึ้นด้วยความโกรธ “เยี่ยเทียนหยวน ท่านมันเจ้าบื้อ ข้าหมายถึงวิธีเข้าคู่บำเพ็ญ ไม่ใช่ภาพสังวาส!”
มิน่าเล่าหลายปีมานี้ ถึงไม่ได้เห็นเขาตามหาวิธีเข้าคู่บำเพ็ญที่เหมาะสมเพื่อมาฝึกฝน ที่แท้เขาก็เข้าใจไปว่าหนังสือภาพสังวาสคือวิธีการเข้าคู่บำเพ็ญ!
เยี่ยเทียนหยวนท่าทีดูงุนงง เห็นท่าทางมั่วชิงเฉินทั้งอายทั้งโกรธ ก็แอบคิดในใจว่าขากลับต้องแวะหอหนังสือบรรพชนดูตำราต่างๆ ต้องเรียนรู้ความรู้เหล่านี้ให้ได้เสียแล้ว
คืนก่อนวันแต่งงาน ตามหลักแล้วคู่บ่าวสาวไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ เยี่ยเทียนหยวนกอดมั่วชิงเฉินพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง กังวลว่านางจะเสียใจ จึงฝากต้วนชิงเกอวานให้ไปส่งมั่วชิงเฉินกลับยอดเขาลั่วเถา ส่วนตัวเองก็กลับไปยังยอดเขาหลิวหั่ว ปิดประตูอ่านตำราอย่าคร่ำเคร่ง
ร่อนลงบนยอดเขาลั่วเถา มั่วชิงเฉินร่ายยันต์วิญญาณ ทางเส้นเล็กปรากฏขึ้น นางเดินเข้าไปพร้อมพูดกับต้วนชิงเกอว่า “ชิงเกอ สหายหลัวก็รบกวนเจ้าดูแลแล้วกัน รอเขาฟื้น ช่วยพาเขามาหาข้าที่ลั่วเถาด้วย”
ต้วนชิงเกอมองมั่วชิงเฉิน เห็นนางสีหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงอ่อนโยน ก็รู้สึกประหลาดใจ ถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “ชิงเฉิน ให้สหายหลัวไปยอดเขาลั่วเถา ไม่ถูกต้องอยู่บ้างกระมัง”
“จะไม่ถูกได้อย่างไร สหายหลัวเป็นสหายสนิทของข้า ยังเดินทางไกลนับหมื่นลี้มาส่งข้า จะด้วยเหตุผลหรือความรู้สึก ชิงเฉินก็ย่อมควรต้อนรับเขาให้ดียังที่พำนักอยู่แล้ว”
ต้วนชิงเกอพูดเตือน “มั่วหร่านอีก็อยู่ที่นั่นนะ”
มั่วชิงเฉินรู้สึกแปลกใจขึ้นมา “เกี่ยวอะไรกับพี่สิบของข้าหรือ”
ต้วนชิงเกอตาค้าง “ชิงเฉิน หรือว่าเจ้าไม่รู้ ว่าที่สามีของมั่วหร่านอี ก็คือสหายหลัวนะ!”
“อะไรนะ!” มั่วชิงเฉินใจเต้นตุบ จังหวะเท้าค่อยๆ ผ่อนลง
ต้วนชิงเกอได้แต่รู้สึกฉงน มั่วหร่านอีเป็นลูกพี่ลูกน้องของมั่วชิงเฉิน หลัวอวี้เฉิงเป็นสหายสนิทของนาง แต่นางกลับไม่รู้เลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนเป็นเช่นไร
เห็นมั่วชิงเฉินอึ้งงัน ต้วนชิงเกอก็กุมมือนางเอาไว้แน่น “ชิงเฉิน เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
แต่สีหน้ามั่วชิงเฉินกลับดูไม่จืด
“ชิงเฉิน เจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจเลย คิดไปแล้วหลายปีมานี่เจ้าก็ไม่ได้อยู่ที่เทียนหยวน นี่ก็เพียงแค่เหตุเข้าใจผิดโดยบังเอิญ” ต้วนชิงเกอพูดปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
มั่วชิงเฉินตาตก เม้มริมฝีปากอยู่เงียบๆ
ในนาทีนี้ นางก็รู้สึกว่าตนนั้นช่างโง่เขลาขึ้นมาทันทีอย่างห้ามมิได้ ไม่ได้รู้ความคิดของหลัวอวี้เฉิงเลย
เขาเป็นคนฉลาดถึงเพียงนั้น ในเมื่อรู้ว่านางมาจากตระกูลมั่วเมืองลั่วหยาง แล้วเช่นนั้นจะไม่รู้ความสัมพันธ์ของนางกับมั่วหร่านอีได้อย่างไร
เพียงแต่เขาไม่พูด
เขาจงใจไม่พูด
ความหมายที่ซ่อนลึกกว่านั้น นางไม่อาจคิด
“ชิงเฉิน” ต้วนงชิงเกอรู้สึกว่ามือที่กุมอยู่ข้างนั้นเย็นลงเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินแอบสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งที สีหน้ากลับมาสงบนิ่งดังเดิม “ไม่เป็นไร พวกเราเข้าไปเถิด ในเมื่อสหายหลัวและพี่สิบพบหน้ากันแล้วทำตัวไม่ถูก ก็คงต้องรบกวนเจ้าช่วยหาที่อยู่ให้กับเขา รอพรุ่งนี้หลังเสร็จพิธีมงคลเสียก่อน ข้าค่อยไปกล่าวขอบคุณด้วยตัวข้าเอง”
หลัวอวี้เฉิงคือชายผู้เป็นดั่งสายลม สง่างามหลักแหลม นางเชื่อว่าเขาเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย และเชื่อว่ากาลเวลาจะทำให้มิตรภาพของของพวกเขากลับคืนเหมือนเดิมได้
เมื่อเดินจนถึงสุดทางเส้นเล็ก เสียงในนั้นก็เงียบลงทันที เวลาในวินาทีนี้ราวกับหยุดนิ่งลง
มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่ต่อหน้ามีใครบ้าง นางเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้า…”
แล้วก็รู้สึกได้ว่ามีคนโผเข้ามา ปากก็ร้องว่า “คนสวย…”
มั่วชิงเฉินดวงตามองไม่เห็น จึงได้ไวต่อความรู้สึกยิ่งขึ้น สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายซึ่งไม่คุ้นเคยเข้ามาใกล้ จึงปาก้อนอิฐออกไปโดยสัญชาตญาณ พุ่งไปยังผู้ซึ่งจู่โจมเข้ามาอย่างแม่นยำ
เซียวเหยานักปราชญ์บำเพ็ญเพียรเป็นผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ เดิมทีไม่มีทางจะถูกปาอิฐโดนได้อย่างเด็ดขาด แต่เขามีความสามารถอย่างหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสีย เมื่อได้เห็นโฉมสะคราญ ในวินาทีนั้นก็สัมผัสได้ถึงความคิดอีกฝ่ายว่าบริสุทธิ์หรือไม่ มีปรารถนาร้ายต่อตัวเขาจริงหรือไม่
หากพร้อมไปด้วยเงื่อนไขสามข้อคือความงาม ความบริสุทธิ์ ไร้ซึ่งปรารถนาร้าย ในหัวของคนผู้นี้ก็จะเต็มไปด้วยการวาดภาพหญิงงามขึ้นมาทันที ไม่สามารถสนใจสิ่งใดได้อีก
ผลจากการจดจ่อความคิด จึงถูกก้อนอิฐสีทองเป็นประกายก้อนนั้นปาโดนอย่างจัง ซวนเซแล้วล้มลง
ถังเฉินมู่รีบวิ่งพุ่งเข้ามา เท้าข้างหนึ่งเหยียบบนมือเซียวเหยา ก้มหน้ามอง แล้วเดินข้ามไปโดยไม่รู้สึกผิดแม้สักนิด ยื่นมือไปโอบมั่วชิงเฉิน “น้องสาว ในที่สุดก็ได้พบเจ้าแล้ว!”
นางแอบยินดีในใจ ที่ก้อนอิฐใช้หมดแล้ว ดีจริงๆ!
มั่วชิงเฉินคลึงหน้าผาก “พี่ใหญ่ รีบปล่อยข้าเถิด”
เหลือบเห็นท่าทียิ้มหวานของต้วนชิงเกอ ถังมู่เฉินก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นมาทันที ปล่อยมือออกจากมั่วชิงเฉิน
มั่วหร่านอีและมั่วเฟยเยียนประสานสายตากัน ขึ้นในใจพร้อมกันว่า ช่างประหลาดเสียจริง พวกนางเป็นญาติพี่น้องแท้ๆ ไยทั้งสองคนนั้นกลับวิ่งออกไปเร็วไม่แพ้กันเช่นนี้
กลายเป็นเรื่องคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง ผู้คนต่างซุบซิบกันขึ้นมา
เซียวเหยาลุกขึ้น มองไปยังมั่วหร่านอี แล้วมองไปยังต้วนชิงเกอ จากนั้นก็มั่วชิงเฉิน ถือพู่กันในมือขึ้นแล้วมองไปรอบ
หญิงงามสามคน หญิงงามสามคน เขารู้สึกรักเหยากวงขึ้นมาทันที เขาควรมาที่นี่นานแล้ว หากเป็นเช่นนั้นการวาดภาพหญิงงามคงแล้วเสร็จ ไม่แน่ว่าป่านนี้คงบรรลุระดับก็กำเนิดไปแล้วก็ได้
ไว้เขาเป็นผู้บําเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด อยากจะว่าใครก็วาด ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกขับไล่ไสส่งอีก
คิดๆ แล้ว ใบหน้าก็ยิ้มขึ้นอย่างเคลิบเคลิ้ม
ผู้คนพากันตาเขียว แอบขยับถอยออกไปด้านข้างเงียบๆ มั่วหร่านอีแค่นเสียงออกจมูกอย่างไม่ยินดี “สหายถัง คนชั้นยอดเช่นนี้ เจ้ารู้จักกันอย่างไร”
ถังเฉินมู่ตอบอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “สหายเซียวเหยาปกติมาตลอด ใครจะไปรู้ว่าเมื่อมาถึงที่นี่จะเป็นเช่นนี้”
มั่วชิงเฉินรู้แต่แรกแล้วว่าจะมีบุคคลหมายเลขหนึ่งเช่นนี้ จึงรู้สึกรับได้อย่างรวดเร็ว นางถามขึ้นว่า “พี่ใหญ่ หู่โถว พวกท่านไยเพิ่งจะมาเสียตอนนี้”
ถังเฉินมู่ทันทีที่ได้ยิน ก็ชำเลืองไปยังหู่โถวทีหนึ่งอย่างกระดากใจ
หู่โถวพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ชิงเฉิน หากเจ้าบอกความสามารถของพี่ใหญ่ถังเสียแต่เนิ่นๆ ให้ตายข้าก็ไม่กล้าร่วมทางไปกับเขาหรอก”
มั่วหร่านอีและมั่วเฟยเยียนมองไปยังถังมู่เฉินอย่างพร้อมเพรียง ไม่ต้องสงสัยว่าต่างจดจ้องเป็นสายตาเดียวด้วยแววตาไม่ปกติ มิน่าเล่า
ผู้คนต่างถกเถียงกันต่อ กลับไม่มีผู้ใดสังเกตว่าตาของมั่วชิงเฉินมีปัญหา มั่วชิงเฉินจึงได้สบายใจ ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องงานพิธีเข้าคู่บำเพ็ญในวันพรุ่งนี้ หากผู้คนรู้ว่าเจ้าสาวตาบอด คงดูไม่ดีสักเท่าไร
หมาป่าน้อยค่อยๆ เดินเข้าไปหาอีกาไฟและเขาน้อย แล้วเล่าเหตุการณ์ของมั่วชิงเฉินให้ทั้งสองฟัง
สายัณห์พลบค่ำ ท้องฟ้าเริ่มมืดลงช้าๆ
ณ ยอดเขาหลิวหั่ว
เสวียนหั่วเจินจวินตั้งแต่รู้ว่าเยี่ยเทียนหยวนเข้าไปยังหอหนังสือ ก็นั่งโบกพัดกกอย่างอิ่มเอมใจอยู่ข้างนอก จนกระทั่งตกดึกเยี่ยเทียนหยวนออกมา เห็นเสวียนหั่วเจินจวินก็นิ่งอึ้ง “ท่านเทียด ท่านไยจึงมาที่นี่ได้”
“หึๆ พรุ่งนี้เจ้าก็จะแต่งงานแล้วมิใช่หรือ ข้าผู้เป็นเทียดเตรียมของกำนัลมาให้ นี่ รับไปสิ”
เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือไปรับ กวาดสายตามองก็นิ่งอึ้งไปทัน น้ำเสียงฟังไม่ออกว่ายินดีหรือโกรธ “ท่านเทียดไยจึงให้สิ่งนี้กับลั่วหยาง”
เสวียนหั่วเจินจวินนึกว่าตัวเองให้ของผิด หันไปดูปราดหนึ่ง แล้วก็พูดขึ้น “เอ๋ ไม่ใช่สิ่งที่เจ้ากำลังต้องการอยู่หรือ”
เยี่ยเทียนหยวนกำหมัดแน่นจนดังกร๊อบ แล้วพูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ท่านเทียด ท่านแอบฟังอีกแล้วหรือ!”
“หา ใครแอบฟังกัน ข้าเป็นคนอย่างนั้นหรือ เจ้าเด็กบ้านี่ รีบกลับที่พำนักของเจ้าแล้วนอนเสียไป!”
เห็นเยี่ยเทียนหยวนเม้มปากแน่นเดินออกไปด้านนอก เสวียนหั่วเจินจวินโบกพัดหรี่ตายิ้มพริ้มคิด แต่ไหนแต่ไรข้าก็ฟังอย่างโจ่งแจ้งต่างหากเล่า เอาแต่เข้าใจผิดข้าเสียเรื่อย
เยี่ยเทียนหยวนร่อนลงข้างยอดเขาซึ่งเป็นที่ตั้งที่พำนักของตน กำลังจะก้าวเข้าไปทันใดนั้นก็หยุดฝีเท้าลง แล้วมองไปยังอีกทิศทางหนึ่ง