พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 512-1 ค่ำคืนแห่งแสงเทียนในห้องหอ
ทุกคนเงียบลงทันที จนแทบได้ยินแม้เพียงเสียงเข็มหล่น
มั่วชิงเฉินมองไม่เห็น แต่ความรู้สึกที่สายตานับหมื่นพันที่หันมามองนางนั้นชัดเจน แต่นางกลับไม่รู้สึกสักนิด เหยียดหลังตรง เดินปรี่เข้าไปหาหร่วนหลิงซิ่วทีละก้าวๆ
ผู้คนทั้งหมดล้วนมองไปยังเจ้าสาวที่เดินพุ่งไปยังหร่วนหลิงซิ่วอย่างรวดเร็วราวกับผีพุ่งไต้อย่างประหลาดใจ ในมือถือก้อนอิฐสีทองเป็นประกายก้อนนั้นเหวี่ยงไปมาจนทำให้ผู้คนตาลายไปไม่รู้ตั้งเท่าไร และใบหน้าที่โกรธจัดของนางเองก็เปล่งประกายออกยิ่งกว่าทองคำ ดูราวกับดอกท้อที่บานเต็มที่ งดงามยวนเย้า เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต
หลิวซางเจินจวินสีหน้าแปลกใจ แต่ก็รู้สึกโล่งอก เมื่อครั้งที่หรูวี้เจินจวินสิ้นนั้น เคยได้ตกปากรับคำกับสิ่งนี้ หรูอวี้เจินจวินไม่เพียงแต่เป็นวีรสตรีผู้ช่วยผู้บำเพ็ญเพียรนับพันหมื่น แต่ยังเป็นเสาหลักของเหยากวง การจากไปของนางเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่หลวงของพรรคเหยากวง การหาทางชดเชยให้กับลูกหลานเชื้อสายเพียงหนึ่งเดียวของนาง จึงเป็นการตัดสินใจระดับสูงอย่างเป็นเอกฉันท์ของเหยากวง
เพียงแต่คาดไม่ถึงว่านางหนูนี่จะกำเริบเอาแต่ใจ บอกปัดการชดเชยให้ในครั้งนั้นอย่างเต็มปากเต็มคำ ดังนั้นจึงได้ตอบรับคำขอสามประการของนาง
แต่ใครก็ไม่อาจคาดคิด ว่าบุตรีเจ้าสำนักลั่วสยาแท้ๆ จะกล้าร้องขอสิ่งที่เหลวไหลเช่นนี้ออกมา หากเป็นชายคนอื่นก็ช่างเถอะ ยังพอให้ชื่นชมเป็นยอดหญิง หรือแม้แต่เหลือเรื่องราวดีให้ได้พูดถึงบ้าง แต่นี่กลับเป็นลั่วหยางเสียได้ ลั่วหยางผู้คอยหลบหนีสตรียอมหักไม่ยอมงอผู้นี้
ไม่พูดถึงที่เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ในพรรคเองก็มีข้อผูกพันกับเขาน้อยมาก หากเขายังเป็นเพียงผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณ ในฐานะประมุขผู้อาวุโสแห่งเหยากวง ก็อาจจะยอมเสื่อมเสียชื่อเสียง ปฏิเสธอย่างหนักแน่น คนหนึ่งคือลูกศิษย์อัจฉริยะที่มีอนาคตยาวไกล อีกคนหนึ่งคือบุตรีเจ้าสำนักลั่วสยาผู้เอาแต่ใจ เมื่อทบทวนชั่งน้ำหนักแล้ว ก็เข้าใจได้ในทันที
พักเรื่องเหล่านี้เอาไว้ก่อน สำหรับเหยากวงในตอนนี้ ก็ยังไม่จำเป็นต้องมีผู้ต้องเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักพรรคอื่น
กายใจตั้งมั่นในความถูกต้อง พรรคจึงจะอยู่ยงชั่วนาน
แต่ว่า หากเรื่องของเด็กเหล่านี้เขาสามารถแก้ไขได้ เช่นนั้นคงดีกว่า หลิวซางเจินจวินยกมุมปากอยู่เงียบๆ
มองไปยังมั่วชิงเฉินที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง หร่วนหลิงซิ่วกลับยิ้มขึ้นสีหน้าสงบนิ่ง “เจ้าจะเอาเช่นไร”
มั่วชิงเฉิน โกรธแล้วหรือ เคียดแค้นแล้วหรือ ข้าต้องการความโกรธแค้นของเจ้า อยากให้หดหู่ ให้เจ้าเป็นเจ้าสาวผู้ขาดสติ เป็นเจ้าสาวที่ลงมือตบตีในงานมงคล ข้าผู้แสดงความรักต่อหน้าผู้คนนั้นน่าสังเวช แล้วเจ้าเองเช่นนี้ก็จะไม่น่าสังเวชด้วยเช่นกันหรือ
ข้าพบกับเขาเร็วกว่าเจ้าแท้ๆ สถานะสูงส่งกว่าเจ้า ระดับการบำเพ็ญเหนือกว่าเจ้า มีสิทธิ์อะไรมาให้เจ้าแซงหน้าข้าในตอนสุดท้ายเช่นนี้ มีสิทธิ์อะไรที่จะมาควงแขนเขาทำหน้าระรื่น คลอเคลียแสดงความรักต่อหน้าข้า
มองไปยังใบหน้าอันเด็ดเดี่ยว ความสะใจฉายผ่านบนใบหน้าหร่วนหลิงซิ่ว มั่วชิงเฉินกุมก้อนอิฐในมือ “คำถามนี้น่าสนใจดีนี่ เจ้าจะแย่งสามีข้ากลางงานแต่งงานของข้า กลับมาถามข้าว่าจะเอาเช่นใด ไม่รู้จักยางอายบ้างเชียวหรือ หรือว่าอยากถูกบันทึกเป็นตำนานกัน”
หร่วนหลิงซิ่วเสียงดังขึ้นมา “ไม่สนว่าจะเจ้าจะคิดเช่นไร ข้าก็เพียงต้องการให้เหยากวงรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้เมื่อครั้งก่อน”
แววตาหมาป่าน้อยที่กลับสู่พื้นดินอีกครั้งเยือกเย็น จิตสังหารปรากฏขึ้นกลางนัยน์ตา กรงเล็บคมกริบยื่นออกมา ร่างกายเหยียดตรง เตรียมจะกระโดดพุ่งออกไป
อีกาไฟใช้ปีกฟาดไปฉาดหนึ่ง “อย่าทำอะไรพลการ”
หมาป่าน้อยหันหัวมา มองไปยันอีกาไฟอย่างสับสน
เขาน้อยเองก็สีหน้าหงุดหงิดทั้งใบเช่นกัน ถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “พี่หญิงอู๋เย่ว์ ผู้หญิงนางนั้นช่างน่าชังเสียเหลือเกิน ท่านไยจึงห้ามหมาป่าน้อยเล่า”
อีกาไฟพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วสงบนิ่งอย่างยากจะพบ “นายท่านแก้ปัญหาได้”
“สัญญาเมื่อครั้งก่อนหรือ” มั่วชิงเฉินแค่นเสียงหัวเราะ น้ำเสียงดังก้องกังวาน “ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าสัญญานั่นเป็นมาเช่นไร เจ้าจะระเบิดตันเถียนตัวเองมิใช่หรือ เร็วสิ ต่อไปเมื่อผู้คนสรรเสริญสดุดีหรูอวี้เจินจวิน จะได้ถือโอกาสพูดถึงเจ้าด้วย หากมีคนถาม ว่าหรูอวี้เจินจวินเคยระเบิดตันเถียนของตนเพื่อช่วยเหลือผู้บำเพ็ญเพียรนับหมื่นพันอย่างไม่เสียดายชีวิต แล้วไยหลานสาวนางจึงมาพบชะตากรรมเช่นเดียวกันอีก ก็จะมีคนบอกเขาผู้นั้นว่า หลานสาวของนางอยากเป็นอนุของคนอื่นแต่ไม่สำเร็จ โกรธแค้นอับอายจึงระเบิดพลังของตน หึๆ ช่างมีความสามารถจริงๆ ทรงเกียรติยิ่งนัก!”
เสียงเยาะแว่วออกมาจากกลางหมู่ผู้คน
“เจ้า!” หร่วนหลิงซิ่วมือสั่น เสียงซุบซิบของผู้คนถึงแม้ว่าจะเบา แต่ก็แว่วเข้ามาในหูอย่างแจ่มชัด เสียงนินทามากมาย ดังอื้ออึง ทำให้นางรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาน้อยๆ
มั่วชิงเฉินอมยิ้มมุมปาก เหวี่ยงก้อนอิฐในมือ แล้วขว้างออกไปฉับพลัน
เจ้าสำนักหร่วนสีหน้าเปลี่ยน ยกมือขึ้นขว้างของสิ่งหนึ่งออกไป ครั้นแล้วก็ได้ยินเสียง แก๊ง ห่วงทองอันหนึ่งฟาดของสิ่งนั้นร่วงลง ตาเยี่ยเทียนหยวนนิ่งราวกับจับตัวเป็นน้ำแข็ง ในแววตาไว้ซึ่งความอบอุ่น มองมายังเขาสีหน้าเย็นชา
เสียงกระแทกอย่างหนักหน่วงดังขึ้น ก้อนอิฐร่วงลงข้างเท้าของหร่วนหลิงซิ่ว ตกทิ่มลึกลงไปกลางพื้นที่ปูด้วยหยกเขียว หร่วนหลิงซิ่วเข่าทรุด เซล้มลงนั่งกับพื้น
เสียงของมั่วชิงเฉินดังขึ้น “หากเจ้าตัดใจไม่ได้ ก้อนอิฐของข้าจะช่วยเจ้าได้ เอาเช่นใด คิดได้แล้วหรือยัง”
หร่วนหลิงซิ่วหน้าซีดขาวอย่างตื่นกลัว แววตาที่เอ่อด้วยน้ำตาเป็นประกายมองไปยังเยี่ยเทียนหยวน “เยี่ยเทียนหยวนท่านดูสิ นี่ก็คือหญิงสาวที่ท่านรัก ป่าเถื่อนหยาบคาย ไม่มีความเป็นกุลสตรีอ่อนโยนเลยแม้เพียงนิด”
เยี่ยเทียนหยวนมองหร่วนหลิงซิ่วปราดหนึ่ง แล้วพูดน้ำเสียงชัดเจนว่า “ศิษย์หลานหร่วนไม่จำเป็นต้องห่วงแทนข้า ชิงเฉินต่อให้เป็นเช่นไรก็เป็นภรรยาข้า หญิงอื่นต่อให้อ่อนโยนเป็นกุลสตรีเพียงใด ก็มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า อีกอย่าง ศิษย์หลานหร่วน ข้าหวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่เจ้าจะเรียกชื่อข้าโดยตรง”
น้ำเสียงของเขาเย็นชาเหินห่าง ราวกับน้ำพุอันยะเยือกกลางฤดูหนาว แต่กลับจับใจหญิงสาวทุกนางที่อยู่ในงาน
ผู้บำเพ็ญหญิงที่ตอนแรกได้แต่นิ่งเหม่อเมื่อได้พบเห็นเยี่ยเทียนหยวนเหล่านั้นค่อยๆ ได้สติกลับ แววตาที่มองไปยังเขาค่อยเปลี่ยนจากลุ่มหลงเป็นชื่นชม
เหล่าผู้บำเพ็ญหญิงจากสำนักพรรคต่างๆ ที่ได้รับเทียบเชิญ ดูเหมือนจะล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณขึ้นไปทั้งนั้น มีใจให้กับชายอย่างเช่นเยี่ยเทียนหยวนเช่นนี้ถือว่าปกติยิ่งนัก แต่เมื่อได้เข้าใจความคิดของเขาอย่างชัดแจ้งแล้ว จะมีสักกี่คนที่ยังดึงดันอย่างที่หร่วนนหลิงซิ่วเป็น
หากถูกกำหนดมาให้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องคิดให้เหนื่อยใจ
มองไปยังหร่วนหลิงซิ่วซึ่งหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ มั่วชิงเฉินไม่ได้รู้สึกเห็นใจนางขึ้นเลยแม้เพียงนิด นางยื่นมือกวักเรียกก้อนอิฐกลับ แล้วพูดขึ้นน้ำเสียงเรียบว่า “หร่วนหลิงซิ่ว หากเจ้ามีความรักในเกียรติศักดิ์ศรีอยู่บ้างสักน้อยนิด ก็อย่าได้กล่าวถึงเรื่องของหรูอวี้เจินจวิน วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของข้า ข้าจะไม่ทำร้ายคน จากนี้ไปหากเจ้าไม่ตัดใจ เสนอตัวขอร่วมหลับนอนกับสามีข้าต่อหน้า ก็อย่าแปลกใจที่ข้าจะทำร้ายเจ้า”
“ชิงเฉิน ข้าจะไปส่งเจ้ากลับห้องหอ” เยี่ยเทียนหยวนโอบเอวมั่วชิงเฉิน แล้วพูดขึ้นเบาๆ
มั่วชิงผงกหน้าเบาๆ ทั้งสองเดินไปยังทิศใต้ด้วยกัน เหล่าบรรดาผู้บำเพ็ญหญิงที่เดิมที่ควรไปส่งเจ้าสาวอึ้งไปชั่วขณะแล้วก็รีบวิ่งตามไป รายล้อมทั้งสองคนจากไป
หร่วนหลิงซิ่วมองหลังผู้คนที่ค่อยๆ เดินลับตาไป แล้วร้องขึ้นเสียงดัง “มั่วชิงเฉิน คงมีสักวัน ที่ข้าจะชนะเจ้า!”