พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 521-4 การประลองอันถึงใจ
มังกรดำที่ทะยานขึ้นสู่ฟ้าก้มหน้าลง เขามังกรส่องประกายเยือกเย็นแหลมคมไร้ที่เปรียบท่อนนั้น กระโดดทะยานไปทางไหมเกล็ดน้ำแข็ง
กระบวนท่านี้ ก็มิได้หมายจะทลายการป้องการของไหมเกล็ดน้ำแข็งลง แต่กลับใช้พลังกระเพื่อมมัน แล้วกลับเป็นฝ่ายได้เปรียบขึ้นมาอย่างเกินความคาดหมาย น้ำตกที่เกิดจากไหมเกล็ดนำแข็งเริ่มสลายตัว มังกรดำก้มโน้มตัวลง แล้วมุดลงไปอย่างคล่องแคล่ว แล้วก็พุ่งไปยังมั่วชิงเฉินอย่างรวดเร็ว
นักพรตฉงกวนไม่ได้เบามือ มือเคลื่อนไหวเร็วยิ่งขึ้น ยันต์วิญญาณจำนวนไม่ถ้วนพุ่งออกมา ซึมลงในกายมังกรดำ
ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็เซ
ริมฝีปากบางของนักพรตฉงกวนเม้มแน่น รู้ตัวว่าพลังวิญญาณในร่างกายตนคงจะทนได้อีกไม่นาน
ทันใดนั้นความคิดก็เปลี่ยน แอบคิดในใจว่าอีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิง ก่อนหน้านี้ได้ปะทะกับสมบัติวิเศษของตน หลังจากนั้นก็ใช้สมบัติวิเศษขยายเป็นน้ำตกขนาดขนาดใหญ่ขึ้นมาป้องกัน โดยทฤษฎีแล้วต้องสูญเสียพลังวิญญาณมากกว่าตนมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ใครจะเป็นผู้แพ้ผู้ชนะก็คงต้องดูที่ตอนปะทะกันครั้งสุดท้าย
คิดได้เช่นนี้ก็ตัดสินใจทันที บีบเลือดบริสุทธิ์หยดหนึ่งออกไป แล้วแทรกซึมเข้าสู่กายมังกรดำเงียบๆ
กรงเล็บทั้งห้าของมังกรดำทันใดนั้นก็กลายเป็นสีแดงเลือด ยาวพอกับกระบุงสาน ขยุมเอาไว้แน่น แล้วพุ่งไปคว้ามั่วชิงเฉินด้วยพลังอันมหาศาล
กรงเล็บมังกรสีแดงเลือดทั้งห้านั้น แผ่ไอวิญญาณไปรอบด้าน ประหนึ่งลูกไฟอันลุกโชนห้าลูก พลังปราณอันแข็งกล้าถึงแม้ว่าจะถูกสะกดเอาไว้ภายในเขตอาคม แต่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่กำลังมุงดูอยู่นั้นต่างก็สามารถสัมผัสได้ถึงความอันตรายที่ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาลึกๆ
มั่วชิงเฉินมองออกว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายกำลังเริ่มถดถอย ใบหน้านางไม่ได้เผยรอยยิ้มเยาะเย้ย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผู้ที่ทุ่มเทสุดกำลังเพื่อต่อสู้กับงาน นางต้องให้เกียรติ
แน่นอนว่า การให้เกียรติไม่ได้หมายความว่าต้องเกรงใจ
มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น ธนูเขียวซ่อนเร้นที่มีแสงสว่างไหลผ่านก็ปรากฏขึ้น นางถือธนูขึ้นตั้งขวางกับหน้าอก พลังวิญญาณอันมหาศาลถูกดึงออกมาจากแก่นทองคำ รวมกันทั้งหมดอยู่ที่ปลายนิ้ว จากนั้นก็รั้งสายธนู เคล็ดกระบี่ไม้นานาพันธุ์ที่ห้าซึ่งมีความสัมพันธ์กับฟ้าดินก็เผยออกมา อีกาเท้าสีแดงตัวหนึ่งพุ่งออกมา
กางปีกปะทะลม ขาสีแดงทั้งสาม ส่องสว่างจ้าตายิ่งกว่ากรงเล็บเลือดของมังกรดำ ดวงตานกหรี่ลงครึ่งหนึ่ง แสดงที่ท่ายโสไม่แยแสต่อสิ่งใดในโลกอย่างเห็นได้ชัด แล้วพุ่งตรงออกไปรับมังกรดำ
“อีกาทองสามขา!” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงคนหนึ่งลุกขึ้นฉับพลัน แล้วเผลอตัวร้องออกมา
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่รอบข้างได้ยินเช่นนั้น ก็เลื่อนสายตาเหลียวมองไปยังผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้น ก็ได้พบอย่างน่าตื่นเต้นว่านั่นคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงจากนิกายอวี้โซ่ว
ติดด้วยระดับการบำเพ็ญเพียรต่างกัน อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ได้ยินว่าผู้บำเพ็ญเพียรนิกายอวี้โซ่วชอบมีปฏิสัมพันธ์กับอสูรปีศาจเท่านั้น แต่กับผู้บำเพ็ญเพียรด้วยกันนั้นกลับเย็นชา จึงไม่ได้มีคนสนใจเข้าไปถาม มีเพียงคนเพียงจำนวนเล็กน้อยที่แอบซุบซิบถกเถียงกัน อีกาทองสามขาที่ปรากฏขึ้นดั่งภาพมายาอยู่กลางอากาศนี้คืออสูรปีศาจอะไรกันแน่
อีกาขาแดงอานุภาพยิ่งใหญ่ บินลากแสงสว่างสีทองระยับจับตาแนวหนึ่งไปกลางอากาศ จากนั้นก็เข้าชนปะทะกับมังกรดำ เสียงโหยหวนทุ้มต่ำแต่ดังสนั่นจนหูอื้อเสียงหนึ่งดังขึ้น มังกรดำกลายเป็นแสงวิญญาณดวงเล็กดวงน้อยสลายหายไปในพริบตา แต่อีกาขาแดงกลับกางปีกกว้างบินทะยานขึ้นสู่กลีบเมฆ บินพุ่งไปยังดวงอาทิตย์แผดจ้ากลางท้องฟ้า
ผู้คนเงยหน้าขึ้นมองยังลืมตัว อีกาขาแดงค่อยๆ เล็กลง ค่อยๆ เล็กลง แล้วกลายเป็นจุดสีดำหายลับตาไป
เมื่อผู้คนได้สติกลับมา ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าส่องสว่างเจิดจ้า ก้อนเมฆทั่วทั้งท้องฟ้าอาบย้อมด้วยแสงสีทอง แล้วแสงสีทองนั้นก็หายไป ท้องฟ้าสีครามก้อนเมฆสีขาว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้น ดูราวกับว่าเป็นความฝันฉากหนึ่ง
มั่วชิงเฉินถือธนูเขียวซ่อนเร้นไว้ในมือ นางตระหนักได้ว่า หลังจากเข้าคู่บำเพ็ญอย่างเป็นทางการแล้ว การใช้วิชาและสมบัติวิเศษต่างๆ ของนาง ดูชำนาญคล่องแคล่วอย่างใจขึ้นมามาก
ท่ามกลางผู้บำเพ็ญเพียรที่มาชม ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงจากพรรคต่างๆ ได้ดูฉากการประลองอันเร้าใจมาจนชินชาแล้ว อารมณ์จึงได้ค่อนข้างสงบนิ่ง แต่ลูกศิษย์ระดับล่างและผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักส่วนใหญ่กลับรู้สึกลุ่มหลงกับการประลองเมื่อสักครู่ ผ่านไปสักพักใหญ่ก็ยังตั้งสติกลับไม่ได้
ตู้รั่วที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน ร่างกายเหยียดตรง มองไปยังมั่วชิงเฉินที่อยู่บนสนามประลองด้วยสายตาประทับใจ แล้วแอบกุมหมัด สัญญากับตัวเองเงียบๆ ว่าหลังจากนี้จะทุ่มเทฝึกบำเพ็ญให้มากยิ่งขึ้น ลดช่วงห่างระดับการบำเพ็ญของเขากับอาจารย์ให้น้อยลงโดยเร็ววัน จึงจะไม่ถูกกลั่นแกล้งเช่นนั้นอีก
และกู้หลียังคงสงบนิ่ง มีเพียงตอนที่จิบชา ความปลาบปลื้มยินดีลอดผ่านแววตาของเขาออกมาจากแววตาที่ซ่อนรอยยิ้มเอาไว้นั้น
เพียงแต่ไม่มีใครกล้ามองเจินจวินผู้ซึ่งเป็นดั่งเซียนลงสวรรค์มาผู้นี้ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของเขาอย่างละเอียด ต่างคิดกันว่าเหอกวงเจินจวินนิ่งสงบราวกับเซียน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ลูกศิษย์ได้เอาชนะผู้บำเพ็ญเพียรก่อแก่นปราณระดับขั้นปลายคนหนึ่งได้ เกรงว่าแม้จะได้ครองอันดับหนึ่งในการประลองเฟิงอวิ๋น ก็ยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม
ผู้คนที่อยู่นอกสนามประลองต่างรู้สึกหัวใจกระเพื่อม แต่นักพรตฉงกวนที่อยู่กลางสนามกลับสัมผัสได้ว่ายังคงมีไอวิญญาณพัดโหมเข้ามาอย่างรุนแรง แล้วไอวิญญาณกระจัดกระจายกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามา เท้าทรุดลง อ้าปากกระอักเลือดออกมา
มั่วชิงเฉินใบหน้าไม่ได้แสดงความหยิ่งผยอง สีหน้านางเรียบเฉย ยังคงส่งยิ้มอ่อนหวานไปยังนักพรตฉงกวนเหมือนตอนแรก “สหายฉงกวนอ่อนข้อให้แล้ว”
นักพรตฉงกวนก้มหน้าอยู่นาน จึงได้ค่อยๆ เงยขึ้น เหยียดหลังตรง แล้วพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ความสามารถมิอาจเทียบได้ ผู้น้อยขอยอมแพ้ทั้งใจและวาจา” พูดเสร็จก็กุมหมัดคำนับมั่วชิงเฉิน แล้วหันกายเดินลงไปเงียบๆ
ในใจเขารู้สึกสับสน เขาคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมทั้งสองคนระดับการบำเพ็ญนั้นเท่าเทียมกัน ในขณะที่พลังวิญญาณของเขาหมดสิ้น อีกฝ่ายกลับสามารถโจมตีออกมาได้อย่างน่าตะลึงเช่นนั้นได้ การโจมตีครั้งนั้น เห็นได้ชัดว่ามีพลังวิญญาณแปดส่วนของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายแฝงอยู่ ทำได้เช่นใดกัน
หรือว่าการควบคุมพลังวิญญาณของอีกฝ่าย ได้เข้าถึงระดับขั้นสูงแล้ว หรือว่ามีสมบัติวิเศษอย่างอื่นอีก
เอาให้เป็นเช่นใด เขาก็แพ้แล้ว และไม่อยากจะไปตามถามให้รู้สึกลำบากใจ
ตอนแรกคิดว่ารอบสิบคนของการประลองเฟิงอวิ๋นครั้งนี้ ต้องผ่านเข้ารอบได้อย่างไม่มีปัญหา ต้องรอให้เจอกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์และถูกคัดออก ในรอบแข่งเพื่อชิงอันดับที่เหลือหรือการประลองรอบท้าประลองยังสามารถเริ่มใหม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าความคิดเห็นชั่ววูบ ทำให้เลือกต่อสู้กับผู้ซึ่งไม่ควรปะทะด้วย ไม่เพียงแต่แพ้และสูญพลังอย่างหนัก การประลองในสามวันหลังจากนี้ เกรงว่าจะไม่เหลือพลังที่จะสู้ต่อไปอีก
เสียใจหรือ
นักพรตฉงกวนนึกถึงการประลองที่ได้ทุ่มเทกำลังเข้าไปต่อสู้อย่างเต็มที่นั้น ก็ยังรู้สึกไม่แน่ใจกับตัวเอง ในขณะที่กำลังเหม่อลอยก็เดินพ้นเขตลานประลองไป เขาก้าวพลาดแล้วร่วงลง
ผู้คนกำลังดูอยู่ปากหัวเราะลั่นขึ้นมา
มั่วชิงเฉินที่อยู่บนสนามบินลงไปด้านล่างราวกับไม่เห็น ดีดดอกท้อในมือก้านหนึ่งออกไป ร่วงหล่นลงด้านหน้าเท้าของนักพรตฉงกวน
นักพรตฉงกวนได้สิ่งนั้นดึงสติกลับมา แล้วฝืนใจเรียกสมบัติวิเศษเหินหาวออกมา จากนั้นก็วางเท้าร่อนลงไป