พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 538-1 ดอกไม้พิสดารปรากฏฟ้าดินเปลี่ยนแปลง
“สหายปี้เหลยเป็นอะไรหรือ” มั่วชิงเฉินเห็นนักพรตปี้เหลยมีสีหน้าปั้นยาก ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกแย่แล้ว
นักพรตปี้เหลยย่ำเท้า “พวกเราเดินไปคุยไปก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการณ์!”
เอ่ยจบ นางก็พุ่งออกไปทางหนึ่งแล้ว
เมื่อเห็นสถานการณ์กำลังเร่งรัด มั่วชิงเฉินก็ชูมือขึ้น ไหมเกล็ดน้ำแข็งพลันกลายเป็นมัจฉาสีเงินตัวใหญ่ จากนั้นก็กระโจนขึ้นไป โบกมือให้ทั้งสองคนแล้วเอ่ยว่า “สหายเซี่ย สหายเวยเซิง ข้าจะพาพวกเจ้าไป”
เวยเซิงลิ่วกระโดดขึ้นมาในทันที นั่งบนแผ่นหลังอันกว้างขวางของมัจฉา ใช้มือตบไปบนแผ่นหลังของมัจฉาแล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจ “สมบัติวิเศษของมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเจ้าช่างวิเศษจริงๆ เป็นแค่ผ้าไหมชัดๆ ยังเปลี่ยนเป็นมัจฉาตัวใหญ่ได้”
เซี่ยหรันพลันลังเลเล็กน้อย แต่ก็กระโดดขึ้นมา
มั่วชิงเฉินเห็นทั้งสองคนขึ้นมาแล้วก็ร่ายอาคม แสงวิญญาณเจิดจ้า ไหมเกล็ดน้ำแข็งที่กลายเป็นมัจฉาสีเงินพุ่งออกไปราวกับดาวตก
ไม่นานนักก็ไล่ตามนักพรตปี้เหลยทัน
นักพรตปี้เหลยพลันตกตะลึงไปเล็กน้อย “สหายชิงเฉิน สมบัติวิเศษของเจ้ารวดเร็วนัก ข้าเองก็อยากขึ้นไปด้วย!”
ไม่รอให้มั่วชิงเฉินปริปาก ก็กระโจนเข้ามาอย่างอ่อนช้อย แล้วร่อนลงบนแผ่นหลังของมัจฉา
ไหมเกล็ดน้ำแข็งถูกบ่มเพาะอยู่ในจุดตันเถียนมาหลายปี ความสามารถของมันก็เพิ่มขึ้นตามระดับพลังยุทธ์ที่เพิ่มขึ้น แต่การแปลงเป็นมัจฉาสีเงินได้นั้นยังเป็นเรื่องที่เพิ่งทำได้
เดิมมันเป็นอาภรณ์มัจฉาที่ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณถอดออก เหมาะสมกับการสวมในน้ำมากที่สุด ยามนี้กลายเป็นมัจฉาได้ ความเร็วจึงทะลุขีดจำกัด แม้กระทั่งกล่าวได้ว่าหากไหมเกล็ดน้ำแข็งนี้ทะยานไปในน้ำ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดอยากไล่ตามมั่วชิงเฉินก็ยังยาก
แม้ว่ามั่วชิงเฉินจะอยากปกปิด แต่เมื่อเห็นท่าทางของนักพรตปี้เหลย เกรงว่าคงเกี่ยวข้องกับส้มโอมือสีทองที่เหลืออีกสี่ผล จึงไม่สนใจอะไรแล้ว
ใช้เวลานี้เอ่ยถามว่า “สหายปี้เหลย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
นักพรตปี้เหลยถอนหายใจ แล้วเล่าเรื่องให้ฟัง
ที่แท้หลังจากนางเข้าไปในดวงดาว ก็ไม่ได้มาคนเดียว แต่บังเอิญเจอกับผู้บำเพ็ญเพียรต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ไล่ตามใยแมงมุมร่วมมือกันทำลายค่ายกลโบราณไปสองสามแห่ง คาดไม่ถึงว่าจะพบกับซากปรักหักพังของสำนักแห่งหนึ่ง
พวกนางหาหอเก็บสมบัติเจอในซากปรักหักพัง คิดไม่ถึงว่าจะมีภูตภูเขาตัวหนึ่งเฝ้าสมบัติอยู่ มันมีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกร ทุกคนร่วมมือกันยังต่อกรไม่สำเร็จ จึงรู้สึกท้อแท้เป็นอย่างมาก ทว่าภูตภูเขากลับโยนเงื่อนไขมาข้อหนึ่ง ขอแค่พวกเขาทำสำเร็จ ก็จะไม่ขวางกั้นอีก ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปในหอเก็บสมบัติ
“เงื่อนไขนี้คงไม่เกี่ยวข้องกับผลส้มโอมือหรอกนะ” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วแน่น
นักพรตปี้เหลยพยักหน้าพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น “ใช่แล้ว ภูตภูเขาบอกว่าจิตวิญญาณบริสุทธิ์เสี้ยวหนึ่งของมันเฝ้าสมบัตินี้มาหมื่นปีแล้ว ยามนี้สำนักก็ไม่ได้ดำรงอยู่แล้ว กลับถูกพันธสัญญากักเอาไว้ไม่อาจออกไปได้แม้เพียงครึ่งก้าว ขอแค่พวกเราหาส้มโอมือสีทองห้าผลพบ รวบรวมจนครบตามหลักเบญจธาตุ มันก็จะทำลายพันธสัญญาได้ และเป็นอิสระ หลังจากที่พวกเราปรึกษากันแล้ว ก็แยกกันค้นหาตามหลักการของเบญจธาตุและตำแหน่งที่เกี่ยวข้อง จุดของข้านับว่าอยู่ไกลหน่อย เกรงว่ายามนี้คนอื่นคงได้ผลส้มโอมือไปแล้ว”
มั่วชิงเฉินเหลือบตามองส้มโอมือสีทองในแขนเสื้อแวบหนึ่ง “สหายปี้เหลย เรื่องนั้น อาจจะยังทัน”
นักพรตปี้เหลยฉงนสงสัยเล็กน้อย “สหายชิงเฉินมั่นใจได้อย่างไร”
มั่วชิงเฉินหยิบส้มโอมือสีทองออกมา ยื่นให้นางดู “สหายปี้เหลยดูสิ บนเปลือกของผลส้มโอมือมีวงสัญลักษณ์ห้าวง นี่หมายความว่าส้มโอมือสีทองปรากฏขึ้นบนโลกห้าผลแล้ว ผลที่เหลืออีกสี่แขนยังไม่ถูกคนอื่นเด็ดไป”
“เรื่องพวกนี้ เป็นดอกเบญจมาศนั่นบอกเจ้าหรือ” นักพรตปี้เหลยเอ่ยถาม
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “ใช่แล้ว”
นักพรตปี้เหลยครุ่นคิดไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “สหายมั่ว เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ดอกเบญจมาศนั่นอาจจะไม่ได้พูดเรื่องจริง ตอนนี้ข้ากลับคิดขึ้นมาได้ว่าหากภูตภูเขาพูดความจริงล่ะ”
มั่วชิงเฉินหัวเราะ “สหายปี้เหลย เช่นนั้นท่านเคยคิดหรือไม่ว่า หากไม่เชื่อคำพูดของภูตภูเขา มากสุดก็แค่เสียสมบัติวิเศษไป แต่หากไม่เชื่อดอกเบญจมาศ อาจจะต้องสละชีวิตของพวกเราไป ในสถานการณ์ที่ไม่อาจยืนยันได้ว่าฝั่งใดพูดความจริง เลือกผลลัพธ์ที่แย่ที่สุด ถึงจะเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงอย่างพวกเราควรทำมิใช่หรือ”
นักพรตปี้เหลยพลันตกตะลึง จากนั้นก็แลบลิ้นออกมาอย่างซุกซน “สหายชิงเฉิน เจ้าพูดถูก เป็นข้าที่เลอะเลือน”
ขณะที่พูด ส้มโอมือสีทองก็ลอยขึ้นกลางอากาศ เปล่งแสงสีทองระยิบระยับ ผนึกเป็นวงแหวนสองชั้นขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง และร่อนลงมา
เมื่อประกายแสงบนผลส้มโอมือสีทองเลือนรางลง สัญลักษณ์วงกลมพลันปรากฏขึ้นเจ็ดวง
ทุกคนพลันหน้าเปลี่ยนสี
“สหายชิงเฉิน เจ้าจะทำอย่างไรต่อ” นักพรตปี้เหลยรีบร้อนเอ่ยถาม
แม้ว่ามั่วชิงเฉินรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง ใบหน้ากลับเยือกเย็น “สหายปี้เหลย เจ้าไม่ได้บอกว่าพวกเจ้าค้นหาส้มโอมือสีทองตามหลักการของเบญจธาตุหรือ เมื่อครู่ที่เจ้าไปน่าจะเป็นแดนวารี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราสี่คนก็ไปกันคนละตำแหน่งเถิด เรื่องมาถึงครานี้แล้ว ก็มีเพียงต้องพยายามเต็มกำลังแล้ว”
“ตกลง” นักพรตปี้เหลยพยักหน้า ชี้ทิศทางให้ทั้งสามคน ทั้งสามคนล้วนบินไปคนละทาง
ทิศทองคำและวารีสองจุดอยู่ห่างมากที่สุด เป็นเพราะความเร็วของไหมเกล็ดน้ำแข็ง ทิศทองคำจึงตกเป็นของมั่วชิงเฉิน
นางโดยสารมัจฉายักษ์สีเงินลอยไปบนผิวน้ำด้วยความรวดเร็ว ทะลวงผ่านระลอกคลื่นไป ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่จึงเห็นชายฝั่ง มัจฉายักษ์สีเงินพลันกลายเป็นผ้าไหมอีกครั้ง แล้วร่อนลงไปอยู่ใต้ฝ่าเท้า
นางเหยียบอยู่บนไหมเกล็ดน้ำแข็งบินไปอย่างรวดเร็วราวกับดาวตก ทัศนียภาพรอบด้านหายวับไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว แค่เพียงสายลมพัดผ่านข้างหูสองสามครั้ง
พื้นดินด้านล่างก็เริ่มไม่ใช่ที่ราบ แต่มีเนินทรายสีทองปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา ลำแสงก็เจิดจ้าจนแสบตา
ไหมเกล็ดน้ำแข็งใต้ฝ่าเท้าพลันรู้สึกหนักอึ้ง ความเร็วลดลง
เก็บไหมเกล็ดน้ำแข็งไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด เรียกหมาป่าน้อยให้กระโจนออกมาจากร่าง แล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “หมาป่าน้อย เร็วหน่อยนะ”
แววตาของหมาป่าน้อยเปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ เปล่งเสียงหอนของหมาป่าออกมา สยายปีกทั้งสองข้างกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งบินออกไปด้านหน้า
เสาหินสีทองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติต้นแล้วต้นเล่าชวนให้สับสน หมาป่าน้อยบรรทุกมั่วชิงเฉินบินผ่านไป ร่อนลงบนเสาหินที่มีแสงอาทิตย์พุ่งเข้ามาเป็นลำแสงสีทองโจมตีใส่ทั้งคนและอสูร
มั่วชิงเฉินยื่นมือออกไปสะบัดก้อนอิฐออกมาต้านทานลำแสงนั่นเอาไว้
ปราณวิญญาณของสมบัติวิเศษปรากฏออกมา ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ตัดสลับกันไปมากลางอากาศกลายเป็นตาข่ายกระบี่สีทอง ยามนั้นพลันเปล่งแสงสีทองระยิบระยับ ทำให้ผู้คนไม่อาจปรือตาขึ้นมาได้
ค่ายกลสังหารตามธรรมชาติหรือ
แววตาของมั่วชิงเฉินตึงเครียด อุทานในใจว่าแย่แล้ว
สมบัติวิเศษนานาชนิด ที่มีจิตวิญญาณแข็งแกร่งที่สุด ไม่สู้สมบัติโดยธรรมชาติ ค่ายกลนานาชนิด ที่อานุภาพมากที่สุด ไม่สู้ค่ายกลโดยธรรมชาติ
แม้ว่ามั่วชิงเฉินจะไม่ค่อยเข้าใจในวิชาค่ายกลนัก แต่ความรู้ทั่วไปเหล่านี้ก็พอเคยอ่านเจอในคัมภีร์ต่างๆ
มองค่ายกลสังหารที่ทอตัวเต็มท้องฟ้าก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วเตือนตนเองในใจ ยิ่งสถานการณ์เร่งรัดก็ยิ่งลนลานไม่ได้ การขัดแข้งขัดขาตัวเองล้วนต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
การหยุดครั้งนี้ของนาง ตาข่ายกระบี่กลางอากาศพลันเคลื่อนไหว พุ่งมายังศีรษะ
ลำแสงเจิดจ้ายังไม่ทันมาถึง ก็สัมผัสได้ถึงความแหลมคมของมัน หากเนื้อปะทะกับมัน จะต้องโลหิตสาดกระจายเป็นแน่
มั่วชิงเฉินส่งหมาป่าน้อยกลับไปในถุงอสูรวิญญาณทันที พลางสะบัดแขนเสื้อ ร่มไผ่เหมันต์บินออกมา เสียงกางร่มดังขึ้น ตัวร่มเปล่งแสงเจิดจ้า ต้านทานลำแสงสีทองนับพันหมื่นสายเอาไว้
เสียง เปรี๊ยะๆ ดังขึ้น ตัวร่มมีลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงระยิบระยับ ทว่าเสียง แกร๊กๆ กลับดังออกมาจากด้ามจับร่ม
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ร่มไผ่เหมันต์จะต้องพังทลายอย่างไม่ต้องสงสัย