พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 540-1 บันทึกต้นไม้ยักษ์พิสดาร
“ปกป้องข้าให้ดีหรือ” มั่วชิงเฉินเบิกตาโต จ้องมองเซี่ยหรันด้วยความโกรธเกรี้ยว แววตาเต็มไปด้วยความทิ่มแทง
เซี่ยหรันรู้สึกว่าสายตานั้นช่างทิ่มแทงเป็นอย่างยิ่ง
เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษ โดยเฉพาะในดินแดนเฉกเช่นแดนไท่ไป๋นั้น หากกล่าวว่าจนถึงวันนี้ยังไม่เคยยสังหารปีศาจชั่วร้ายใดๆ คงเป็นเรื่องน่าขัน วิธีการต่างๆ ก็ยิ่งเคยใช้มาไม่น้อย แต่การบีบบังคับสตรีคนหนึ่ง กลับเพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก
ส่วนสิ่งที่เขาดูถูกที่สุดโดยปกติแล้วก็คือการนำผู้บำเพ็ญเพียรสตรีมาเป็นเตาหลอมมนุษย์ เพื่อทำให้พลังยุทธ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กลับคิดไม่ถึงว่าตนเองจะมีวันนี้!
ก้มหน้าลง ริมฝีปากอยู่ตรงดวงตาของมั่วชิงเฉิน เอ่ยพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา “ขอโทษ ข้าไม่มีทางเลือกแล้ว”
เมื่อถูกเขาสัมผัส มั่วชิงเฉินก็สั่นสะท้านอย่างไม่รู้ตัว พยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สหายเซี่ย เจ้าโปรดใจเย็นก่อน เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า การกระทำที่ฝืนใจตนเองเช่นนี้ อนาคตจะข้ามผ่านการแว้งกัดของจิตมารได้อย่างไร”
เซี่ยหรันตัวแข็งทื่อ แต่ความนุ่มนิ่มหอมกรุ่นและความเย้ายวนในการผสานทารกปราณใต้ร่างก็จุดไฟปรารถนาของเขาขึ้นมาตั้งนานแล้ว จึงตัดสินใจโยนความกังวลสุดท้ายทิ้งไป แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “สหายมั่วรู้ได้อย่างไรว่าข้าฝืนใจ การผสานทารกปราณ นั่นเป็นความปรารถนาสูงสุดของข้า!”
เอ่ยจบก็เลื่อนริมฝีปากไปจากดวงตาของมั่วชิงเฉิน ตกอยู่บนกลีบปากอิ่ม สัมผัสนุ่มนวลจนทำให้รู้สึกทรวงอกร้อนผะผ่าว ตรึงแขนของมั่วชิงเฉินเอาไว้แน่น
มั่วชิงเฉินพยายามดิ้นรนให้ผละจากริมฝีปากนั้น พลางเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม “สหายเซี่ย เจ้าลืมคำพูดของเหล่าเจินจวินไปแล้วหรือ หากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเข้าสู่ดาวดวงนี้ จะทำให้ดาวดวงนี้เกิดความพินาศ! ต่อให้เจ้าผสานทารกปราณได้ ในช่วงระยะเวลานี้ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น อัตราการเพลี่ยงพล้ำก็อาจจะมากกว่าการผสานทารกปราณมาก”
เอ่ยจบก็มีเสียงอาภรณ์ฉีกขาดดังมา ร่างของเซี่ยหรันร้อนฉ่า ร่างที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้ากดท่อนขาของนางเอาไว้แน่น ลมหายใจร้อนรุ่มพ่นอยู่บนพวงแก้ม พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ความตายเช่นนั้น ก็ดีกว่าความตายในตอนนี้มาก…”
ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ใจหายวาบ รู้ว่าเซี่ยหรันฉีกยางอายชั้นสุดท้ายออกไปโดยไม่สนใจอะไรแล้ว จึงใช้เข่ากระทุ้งออกไปด้วยแรงทั้งหมด
ร่างของเซี่ยหรันเซไปด้านข้าง สองมือยังคงตรึงข้อมือของมั่วชิงเฉินเอาไว้แน่น จากนั้นก็ยื่นขาออกมาข้างหนึ่ง กดขาทั้งสองข้างของนางเอาไว้ แล้วโถมกายลงมา
ความอัปยศอดสูอย่างไม่มีที่สิ้นสุดมาตามแรงกดของอีกฝ่าย สองขาของมั่วชิงเฉินออกแรงถีบ แต่กลับไม่ขยับ
การเสียเลือดจากการต่อสู้ก่อนหน้าทำให้แรงกายของนางหายไปครึ่งหนึ่ง เมื่อดิ้นรนอยู่สักพัก ในที่สุดมือเท้าก็ไร้เรี่ยวแรงแล้วตกลง
การดิ้นรนกลับกระตุ้นความปรารถนาในส่วนลึกที่ถูกฝังอยู่ในจิตใจของเซี่ยหรัน เขาปล่อยมือข้างหนึ่งออกจับผ้าไหมอ่อนนุ่มที่เลิกขึ้นมา และออกแรงกระชากสองสามครั้ง
ร่างของมั่วชิงเฉินแข็งทื่อ
เซี่ยหรันปล่อยมือออกจากผ้าไหม ความรู้สึกสูญเสียขนานใหญ่ส่งมา ทำให้เขาแทบจะอยากฝังร่างลงไปที่หว่างขา แต่เขากลับฝืนกดความปรารถนาเอาไว้ แล้วพลิกฝ่ามือ มีเชือกสีขาวเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น รัดแขนทั้งสองของมั่วชิงเฉินเอาอย่างรวดเร็ว
มั่วชิงเฉินเบิกตาขึ้น “เชือกมัดวิญญาณ สหายเซี่ย เจ้ามัน…”
เอ่ยจบก็หลับตา หยาดน้ำตาไหลออกมาจากหางตาที่ปิดสนิท ท่าทางสิ้นหวังและยอมรับชะตากรรม
เซี่ยหรันเห็นคนใต้ร่างหน้าซีดเผือดแต่ใบหน้ายังคงงดงาม ก็ยื่นมือข้างหนึ่งเลิกชายกระโปรงของนางออกไปพลาง พรมจูบที่หยาดน้ำตาของนางไปพลาง แล้วเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “ข้า…ข้าจะไม่มีทางผิดคำพูด…”
เอ่ยจบก็ทนไม่ไหว สองมือลูบไล้ไปบนบั้นเอวอ่อนนุ่มราวกับไร้ซึ่งกระดูก ขยับเอวเข้าไป
พริบตานั่น มั่วชิงเฉินเบิกตาขึ้น สายตาเย็นชา
เซี่ยหรันรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว กลับคิดไม่ออกว่ามั่วชิงเฉินที่ได้รับบาดเจ็บหนักและถูกผนึกพลังวิญญาณไปแล้วจะมีวิธีการอะไร จึงตัดสินใจกระทำต่อ ตรงหัวไหล่กลับมีความรู้สึกเจ็บปวดที่ยากจะรับไหวส่งมา
มั่วชิงเฉินถือโอกาสนี้ยกเท้าถีบเซี่ยหรันจนกระเด็นออกไป
ชั่วพริบตาที่เขาตกลงสู่พื้น เซี่ยหรันก็มองมั่วชิงหรานด้วยความตกตะลึงแวบหนึ่ง เห็นนางดึงมือกลับมา ใจกลางฝ่ามือมีลูกปากว้าสีดำขาวปรากฏขึ้นรางๆ
มั่วชิงเฉินฝืนลุกขึ้นนั่ง ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นด้ายโปร่งบางต้านทานอยู่เบื้องหน้า และกลายเป็นอาภรณ์อย่างรวดเร็ว เดินลอยตัวนวยนาดมาอยู่ตรงหน้าของเซี่ยหรัน ก้มมองเขาจากที่สูง
เซี่ยหรันเจ็บปวดจนต้องกลิ้งไปกลิ้งมากับพื้น เมื่อตรวจสอบภายในร่างกายก็พบว่าเส้นสีดำขาวบางๆ ขนาดเท่าเส้นผมกำลังท่องไปตามจุดชีพจรในร่างกายของเขา
ทุกแห่งที่ผ่านไป พลังมารในจุดชีพจรก็หมายจะเข้าใกล้ แต่กลับกลายเป็นหวาดกลัวแล้วหันมาต่อต้านกันเอง และภายใต้ความบ้าคลั่งนั้น ก็ราวกับถูกย่างอยู่บนตะแกรง เจ็บปวดยากจะรับไหว
“เพราะ…เหตุใด” เซี่ยหรันใช้สองมือตะปบพื้นดินจนเกิดเป็นรอยลึกเป็นสายๆ เงยหน้าขึ้นมองมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินไม่ตอบ เม้มปากมองเขา
หลังจากที่จุดตันเถียนของนางเปลี่ยนแปลงไปเพราะดูดซับไอวิญญาณเทพไปแล้ว แม้ว่าลูกปากว้าเทพมารจะไม่อาจออกมาจากร่างได้ แต่กลับสามารถใช้ได้ตามใจประสงค์
ไม่ว่าจะเป็นไอวิญญาณเทพหรือว่าไอวิญญาณมารก็สูงกว่าไอมารและไอวิญญาณหลายเท่า นางในยามนี้ จะไปถูกเชือกมัดวิญญาณผนึกพลังเอาไว้ได้อย่างไร
แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้ นางไม่อยากบอกกับเซี่ยหรัน นี่คืออาวุธสังหารที่ร้ายกาจที่สุดของนาง และจะใช้ก็ต่อเมื่อต่อกรกับศัตรูในระยะประชิดเท่านั้น
เซี่ยหรันมองมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าเย็นชา แล้วฉีกยิ้มอย่างเยือกเย็น “ที่สุดแล้วข้าก็คาดเดาผิดไป สหายมั่ว เจ้าอยากสังหารข้าเพื่อกำจัดความอัปยศก็ลงมือเถิด แต่แค่ก่อนจะส่งข้าไป ให้ข้าได้ตายอย่างเข้าใจสักหน่อย”
เอ่ยจบก็จ้องเขม็งไปยังดวงหน้าของมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินฉีกยิ้ม แล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ประทานโทษ เรื่องนี้ข้าไม่อยากบอกเจ้า”
สีหน้าของเซี่ยหรันเปลี่ยนเป็นผิดหวัง ละสายตาไปหัวเราะอย่างขมขื่น เห็นมั่วชิงเฉินโน้มตัวลงมา ก็อดที่จะหลับตาไม่ได้
รู้สึกว่าสองมือถูกรัดเอาไว้ จึงเบิกตาขึ้นด้วยความตกตะลึง “สหายมั่ว เจ้า…”
มั่วชิงเฉินรู้ว่าตนเองประคับประคองไปได้ไม่นานนัก จึงใช้เถาวัลย์วิญญาณอายุหมื่นปีจากสวนสมุนไพรพกพารัดแขนและขาของเซี่ยหรันเอาไว้ แล้วถึงได้เอ่ยว่า “เจ้าช่วยข้าไว้สองครั้ง ข้าจะไม่สังหารเจ้า จากนี้หากพบกันก็คือไม่รู้จักกัน หากมายุ่งกับข้า ก็อย่าหาว่าข้าไม่ปรานี”
ทำเช่นนี้บางทีผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยอาจจะคิดว่าโง่เขลา แต่นางก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก
ชีวิตในยุทธภพ จงกระทำในสิ่งที่ควรกระทำ และไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควรกระทำ ไม่ว่าเซี่ยหรันจะมีความคิดอะไร ความจริงแล้วก็คือช่วยนางมาแล้วสองหน ไม่เช่นนั้นนางคงเพลี่ยงพล้ำไปตั้งนานแล้ว
นางไม่อาจสังหารเขาเพียงเพราะว่าหลังจากที่ปล่อยเขาไปแล้วเขาอาจจะทำเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อนางได้
จะบอกว่านางโง่เขลาก็ได้ จะบอกว่านางเป็นแม่พระก็ช่างเถิด บุญคุณการช่วยชีวิตสองครั้งแลกกับการรัดแขนครั้งหนึ่ง นางก็ไม่ได้รู้สึกไม่เต็มใจอะไร
เซี่ยหรันหน้าเปลี่ยนสีไปหลายครั้ง แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เพราะเหตุใด เจ้าไม่โกรธข้าหรือ”
มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างเย็นชา “ไม่โกรธ ข้าแค่เกลียดเจ้า”
เอ่ยจบก็ไม่เหลือบตามองเขาอีก เดินไปนั่งที่มุมอีกมุมหนึ่ง แผ่จิตสัมผัสเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ของหมาป่าน้อยและเขาน้อยในถุงอสูรวิญญาณ
หมาป่าน้อยและเขาน้อยล้วนถูกของเหลวเหนียวข้นของแมลงยักษ์สีเขียวทำให้ได้รับบาดเจ็บ เห็นได้ชัดว่าของเหลวนั่นมีพิษ และยังมีฤทธิ์กัดกร่อนอย่างรุนแรง ยามนี้ขาหน้าข้างหนึ่งของเขาน้อยและขาหลังข้างหนึ่งของหมาป่าน้อยล้วนเผยกระดูกสีขาวโพลนออกมา ตรงจุดอื่นล้วนมีลำแสงสีเขียวปรากฏขึ้นรางๆ
มั่วชิงเฉินไม่มีแรงจะรักษาอาการบาดเจ็บของอสูรวิญญาณทั้งสองตน จึงทำได้เพียงเอาผงขาวห้ามเลือดและโอสถน้ำค้างถอนพิษออกมาให้พวกมันกิน เพื่อกดอาการบาดเจ็บไว้ชั่วคราว แล้วถึงได้กลืนโอสถลงไปเริ่มรักษาอาการบาดเจ็บ
อาการบาดเจ็บนี้ต้องเสียเวลาไปหนึ่งเดือนเต็ม ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ฟื้นฟูพละกำลังกลับมาได้ครึ่งหนึ่ง เรียกเขาน้อยและหมาป่าน้อยออกมา ล้างพิษที่กระดูกให้พวกมัน
พิษในของเหลวเหนียวข้นสีเขียวของแมลงยักษ์นั้นรุนแรงมาก ยังเหลืออยู่ในร่างกายจำนวนมาก มั่วชิงเฉินเสียเวลาไปมากกว่าจะกำจัดพิษได้ ร่างกายของเขาน้อยและหมาป่าน้อยก็อ่อนแอ ไม่มีชีวิตชีวา มักจะหลับใหลอยู่ตลอด
อสูรวิญญาณและผู้บำเพ็ญเพียรนั้นไม่เหมือนกัน เมื่อปราณแท้ถูกทำลาย ก็ต้องกินเนื้อสดๆ ที่มีไอวิญญาณแฝงอยู่เข้าไปจำนวนมาก ถึงจะฟื้นฟูกลับมาได้ มั่วชิงเฉินรู้ว่าไม่อาจเสียเวลาอยู่ที่นี่ได้อีก
จึงเก็บใยแมงมุมที่ทอไม่เสร็จออกมา ใช้วิธีการหลอมอาวุธง่ายๆ หลอมมัน มั่วชิงเฉินมองเซี่ยหรันที่ถูกปราณเทพมารทำให้เจ็บปวดจนถึงกระดูกแวบหนึ่ง มือก็เรียกเก็บเถาวัลย์รัดวิญญาณ และเดินออกมาจากโพรงต้นไม้
บรรยากาศด้านนอกสดใส ต้นไม้ใบหญ้าล้วนขึ้นอย่างชุกชุม ไม่รู้ว่ามีอันตรายเท่าใดที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้ความครึกครื้นนี้
มั่วชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง เดินไปตรงจุดที่ได้รับบาดเจ็บในตอนแรก
ผึ้งวิญญาณโลหิตมรกตเป็นอสูรวิญญาณที่ตอบสนองต่อจิตสัมผัสของตนเอง ในเมื่อสามารถพานางมาที่นั่นได้ ที่นั่นก็คงไม่ธรรมดาเป็นแน่
เป็นเพราะรู้ทางแล้ว มั่วชิงเฉินจึงมาถึงที่นั่นโดยใช้เวลาไม่มากนัก ดอกไม้ใบหญ้าเหล่านั้นดูแล้วไม่ได้รับความเสียหาย มีเพียงโคลนสีเขียวเข้มที่แสดงให้เห็นถึงความจนตรอกและน่าอนาถ
นางเงยหน้าขึ้นมองวัชพืชสูงใหญ่ที่กว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตา เป็นใบไม้หงิกงออยู่เต็มไปหมด ราวกับเมล็ดถั่วขนาดใหญ่แขวนกลับหัวอยู่ จะเห็นได้ชัดว่าในใบไม้เหล่านี้มีแมลงยักษ์สีเขียวตัวหนึ่งซ่อนอยู่
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินก็รู้สึกเย็นเยียบ
วัชพืชสูงใหญ่ต้นนี้มันคืออะไรกันแน่ ถึงได้ดึงดูดผึ้งวิญญาณโลหิตมรกตมาได้
มั่วชิงเฉินชักกระบี่ชิงมู่ออกมา
ในเมื่อการโจมตีทุกอย่างด้วยสมบัติอาคมนั้นไม่อาจใช้ได้ เช่นนั้นเคล็ดวิชากระบี่ล่ะ
หากอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปในสถานที่ประหลาดเช่นนี้ นางก็จะเอาแมลงเหล่านี้มาฝึกฝีมือก็แล้วกัน
ไอวิญญาณสายหนึ่งดีดออกมาจากปลายนิ้ว โจมตีไปยังหมู่ใบไม้ที่บางตามากที่สุด
ใบไม้เหล่านั้นเหมือนกับก่อนหน้านี้อย่างไรอย่างนั้น มันสั่นอยู่สองสามครั้ง จากนั้นก็ดีดแมลงสีเขียวขนาดยักษ์ออกมาตัวหนึ่ง
มั่วชิงเฉินแตะปลายเท้า ถอยไปด้านหลังราวกับเงา กระบี่ชิงมู่ในนมือโบกสะบัด
เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ถูกสำแดงออกไปราวกับเมฆคล้อยสายน้ำไหล เจตจำนงกระบี่พลันปรากฏขึ้น ห้อมล้อมแมลงยักษ์สีเขียวเอาไว้ เงากระบี่ดุจกระสวยทอผ้า ทอตัวเรียงกันอย่างไม่มีช่องโหว่
จิตสังหารแฝงอยู่ท่ามกลางกระบี่ ใบไม้ใบอื่นกลับสัมผัสจิตสังหารไม่ได้ และไม่มีแมลงสีเขียวคลานออกมา
มั่วชิงเฉินมองแมลงยักษ์สีเขียวที่อาละวาดอยู่ภายในอาณาเขตกระบี่ ก็ไม่ได้กระตุ้นแสงกระบี่ให้สังหารมัน แต่ให้มันอ้อมไป ตรวจสอบวิธีการโจมตีและความอึดของมันอย่างละเอียด
บางครั้งแมลงยักษ์ก็ดีดตัวออก พ่นของเหลวสีเขียวใส่ ทว่าอาณาเขตกระบี่ไร้ซึ่งช่องโหว่ ของเหลวสีเขียวเหล่านั้นค่อยๆ สัมผัสกับแสงกระบี่ ก็กลายเป็นราวกับหมอกบางๆ กลุ่มหนึ่ง วนล้อมอยู่รอบลานระบำของกระบี่ชิงมู่
มั่วชิงเฉินพลันขบคิดเล็กน้อย แล้วเรียกไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมา
ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นผ้าโปร่งบางจมหายไปในอาณาเขตกระบี่ เมื่อปะทะหมอกสีเขียวพลันอ่อนกำลังลง จากนั้นก็กลายเป็นผ้าไหมสีขาวอีกครั้งแล้วกลับมาอยู่ในมือ
ดังคาด สมบัติอาคมเหาะเหินและป้องกันอย่างไหมเกล็ดน้ำแข็งย่อมใช้ไม่ได้
มั่วชิงเฉินดึงเถาวัลย์ที่เต็มไปด้วยหนามแหลมออกมา ทำเป็นแส้ยาวสะบัดไปทางแมลงยักษ์สีเขียว
แมลงสีเขียวชนิดนี้มีระดับไม่สูงนัก แค่ตัวเดียวย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมั่วชิงเฉินที่ฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บแล้ว นางเพียงสะบัดเถาวัลย์เล็กน้อย ก็ได้ยินเสียงพรึ่บดังขึ้น แมลงยักษ์สีเขียวแยกออกเป็นสองส่วน พร้อมพ่นของเลหวออกมากลุ่มหนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นหนังบางๆ ชั้นหนึ่ง
มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกดีใจ ดูแล้วพืชวิญญาณหมื่นปีในสวนสมุนไพรพกพา อาจจะนำมาใช้ประโยชน์ได้