พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 540-2 บันทึกต้นไม้ยักษ์พิสดาร
มั่วชิงเฉินนำวิธีเก่าออกมาสำแดงกับแมลงยักษ์สีเขียวตัวหนึ่งอีกครั้ง ดีดเปลวน้ำแข็งเหมันต์ออกไปบนร่างของมัน แมลงตัวนั้นบิดตัวเปล่งเสียงร้องคำราม ร่างกายแข็งทื่อไม่อาจกระดิกกระเดี้ยตัวได้
เช่นนั้น การต่อกรกับพืชปีศาจและอสูรปีศาจที่นี่ ใช้ไฟและพืชวิญญาณในสวนสมุนไพรพกพาจะได้ผลที่สุด แต่น่าเสียดายเปลวน้ำแข็งเหมันต์เป็นไฟเย็น หากมีศิษย์พี่อยู่ละก็ เพลิงวาสนาตะวันคงจะเป็นดาวมฤตยูของพืชปีศาจเหล่านี้
มั่วชิงเฉินรู้ดีอยู่แก่ใจ แล้วถอยออกไปนั่งสมาธิ หยิบเถาวัลย์บางๆ สีเหลืองและเขียวออกมาสองเส้น
เถาวัลย์สีเหลืองนี้เมื่ออายุครบห้าร้อยปีก็จะมีความเหนียวและทนทานมาก ไม่กลัวไฟและไม่กลัวถูกตัด ยามนี้มีอายุหมื่นปีแล้ว แม้ว่าจะไม่มีประสิทธิภาพอื่น แต่ระดับความคงทนกลับอยู่ในจุดที่น่าตกตะลึง
ส่วนเถาวัลย์บางๆ สีเขียวอีกเส้นนั้น เป็นเถาวัลย์รัดวิญญาณที่เคยมัดเซี่ยหรันก่อนหน้า ประโยชน์ของเถาวัลย์รัดวิญญาณนี้ก็ปรากฏขึ้นตอนที่มีอายุห้าร้อยปีเช่นกัน ยิ่งอายุมากขึ้น พลังรัดวิญญาณก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออายุหมื่นปีก็จะมีมิติเก็บวัตถุส่วนตัว ราวกับว่ามีจักรวาลซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อ แน่นอนว่าความจุในมิตินั้นไม่อาจเทียบกับสมบัติอาคมที่ใช้เก็บวัตถุได้ สิ่งเดียวที่เทียบได้คือใส่สิ่งมีชีวิตลงไปได้
มั่วชิงเฉินพิจารณาเถาวัลย์ทั้งสองชนิดด้วยรอยยิ้มเบิกบาน หากใช้เถาวัลย์ทั้งสองชนิดนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ผลก็เป็นได้
นางร่ายนิ้วอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ถุงกระสอบสีเหลืองอมเขียวก็ปรากฏขึ้น
มั่วชิงเฉินครุ่นคิด เคลื่อนไหวอย่างไม่รีบร้อน ค่อยๆ ถักถุงกระสอบเช่นนั้นขึ้นมา
ช่างน่าเสียดายที่ถุงกระสอบหยาบๆ เช่นนี้กลับมีพลังในการบรรจุสิ่งมีชีวิต และถุงเก็บวัตถุที่สร้างสำเร็จแล้วนั้น ก็ไม่อาจเก็บเข้าไปในถุงเก็บวัตถุใบอื่นได้ นางจึงทำได้เพียงยัดมันเข้าไปที่หว่างเอว มือซ้ายยกขึ้น มือขวาหยิบแส้เถาวัลย์ยาวที่เต็มไปด้วยหนามแหลมออกมา แตะปลายเท้า บินตามพืชสูงใหญ่นั้นไป
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหว ใบไม้จำนวนมากที่ม้วนขดอยู่ก็คลายออก มั่วชิงเฉินลงมืออย่างรวดเร็วปานสายฟ้า แส้ยาวตวัดขึ้นและลง ม้วนแมลงสีเขียวตัวหนึ่งมา มือซ้ายกางถุงกระสอบ ทันทีที่แส้คลายออก แมลงยักษ์สีเขียวก็ตกลงสู่ถุงกระสอบ
บินไปเช่นนั้น ในถุงกระสอบมีแมลงสงสีเขียวอยู่ไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ดูแล้วกลับยังดูแบนๆ
เมื่อมาถึงด้านบนใบไม้ก็ค่อยๆ เบาบางลง แมลงสีเขียวเองก็น้อยลง
หลังจากที่ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็มาถึงส่วนยอดของพืชต้นนี้ มองเห็นสถานการณ์ด้านบนแล้วพลันรู้สึกตกตะลึงไม่ได้
ด้านบนมีเถาวัลย์สีเขียวห้อยอยู่หลายเส้น เมฆหมอกลอยคลอเคลียอยู่ เถาวัลย์สีเขียวสะบัดไหวๆ ไปตามแรงลม ภายใต้แสงอาทิตย์ที่อาบไล้ลงมาช่างดูสดใสนัก ดูแล้วราวกับสายจากสวรรค์นับพันหมื่นเส้นทอดลงมาในส่วนลึก
มั่วชิงเฉินเก็บจิตสัมผัส เดินอยู่บนยอดของต้นไม้ชั่วครู่ ก็เลือกเถาวัลย์สีเขียวสายหนึ่งแล้วบินขึ้นไป
บินไปได้ชั่วครู่ ลมพายุก็พัดเข้ามาระลอกหนึ่ง มั่วชิงเฉินเป็นดังใบไม้ที่อยู่ท่ามกลางพายุ ถูกพัดจนปลิว นางรีบยื่นมือออกมา คว้าจับเถาวัลย์สีเขียวตรงหน้า ไม่กล้าบินไปด้านบนอีก แต่ใช้มือหนึ่งจับเถาวัลย์สีเขียวและปีนขึ้นไปทีละนิดๆ
ผู้ใดจะรู้ว่าปีนไปได้ชั่วครู่ เถาวัลย์สีเขียวสายนั้นจะตกไปด้านล่าง
มั่วชิงเฉินรีบคลายมือออก บิดกายไปคว้าเถาวัลย์สีเขียวอีกเส้นหนึ่ง
เถาวัลย์สีเขียวตรงหน้าเส้นนั้นร่วงลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว เถาวัลย์ทั้งเส้นไม่มีรอยขาดเลยสักนิด ดูแล้วคาดไม่ถึงว่าจะไม่มีราก
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าทุกสิ่งที่เห็นไม่อาจขบคิดด้วยหลักเกณฑ์ธรรมดาๆ ได้ ปีนขึ้นไปตามเถาวัลย์สีเขียวที่เพิ่งคว้าเอาไว้ ผู้ใดจะรู้ว่าผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ เถาวัลย์สีเขียวเส้นนั้นก็ร่วงลงไปอีก
นางคลายมือออก คว้าเถาวัลย์สีเขียวที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเอาไว้
ทำเช่นนี้ไปๆ มาๆ ชั่วพริบตาเถาวัลย์สีเขียวก็ร่วงลงไปจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับห่าฝน เหลือเพียงเส้นสุดท้ายที่ทอดตรงขึ้นไป
มั่วชิงเฉินรู้สึกประหลาดใจ เมื่อจับเถาวัลย์สีเขียวเส้นสุดท้าย ก็ค่อยๆ ปีนขึ้นไป
ตรงปลายของเถาวัลย์สีเขียวเป็นต้นไม้ขนาดยักษ์ต้นหนึ่ง รูปร่างเหมือนต้นหลิว แต่ที่ห้อยลงมากลับไม่ใช่กิ่งหลิว แต่เป็นเถาวัลย์สีเขียว
ด้านบนมีลมกังโหมกระหน่ำ หมุนวนพร้อมกับกรีดร้องอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน มีเพียงเถาวัลย์ขาดท่อนเหล่านั้นที่ทยอยกันปลิวไปกลางอากาศ แล้วตกลงไป
มั่วชิงเฉินถึงได้เข้าใจว่าเหตุใดเถาวัลย์สีเขียวเหล่านี้ถึงไม่มีราก
ยามกระโดดไปบนต้นไม้ก็พบว่าในส่วนลึกที่สุดของเถาวัลย์สีเขียวมีผลอยู่จำนวนหนึ่ง มั่วชิงเฉินคิดถึงน้ำค้างที่เซี่ยหรันเอ่ยถึง ขบคิดในใจ หรือว่าผลไม้เหล่านี้จะมีประสิทธิภาพมหัศจรรย์
เมื่อขบคิดเช่นนั้นก็วางถุงกระสอบที่บรรจุแมลงยักษ์สีเขียวเอาไว้ด้านข้าง สวมถุงมือ แล้วเด็ดผลไม้เหล่านั้นมาอย่างระมัดระวัง
ผลไม้เหล่านี้มีขนาดเท่ากำปั้น ผิวแข็ง มีหนามอยู่เต็มไปหมด
มั่วชิงเฉินใช้พลังปราณที่นิ้ว คาดไม่ถึงว่าจะกรีดผิวของผลไม้ไม่ได้
หยิบกริชฟันปลาออกมาแทง ผิวของมันไม่มีร่องรอยเลยสักนิด
ครานี้มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกหมดปัญญา มองผลไม้ในมือตาปริบๆ แล้วถอนหายใจ
ฉับพลันนั้นในถุงอสูรวิญญาณก็มีการเคลื่อนไหว มั่วชิงเฉินใจเต้น ผึ้งวิญญาณโลหิตมรกตระดับสูงที่สุดสองสามตัวบินออกมา บินวนล้อมรอบนิ้วของนางพร้อมกับส่งเสียงดังหึ่งๆ
“เจ้าจะบอกว่า เจ้ามีวิธีหรือ” มั่วชิงเฉินตกตะลึงไปเล็กน้อย
ผึ้งวิญญาณโลหิตมรกตส่งเสียงดังยิ่งขึ้น
มั่วชิงเฉินหยิบผลไม้ขึ้นมาผลหนึ่ง ส่งสัญญาณให้พวกมันจัดการตามสะดวก
ก็เห็นผึ้งวิญญาณโลหิตมรกตสองสามตัวนั้นบินไปมาที่ผลไม้นั้นไม่หยุด ฉับพลันนั้นก็หยุดลง หันหน้ามาใช้หนามแหลมตรงบั้นท้ายแทงลงไป
มั่วชิงเฉินเห็นแล้วมุมปากกระตุก เมื่อหยิบผลไม้ผลอื่นขึ้นมาดู ก็พบจุดเล็กๆ ตรงขั้วของผลไม้สีน้ำตาลเข้มบนเปลือกทุกผลดังคาด ช่างพบได้ยากจริงๆ
ผึ้งวิญญาณโลหิตมรกตสองสามตัวเรียงแถวกันบินโฉบลงไปบนผลไม้ตามลำดับ ใช้เหล็กในแหลมแทงไปที่รูเล็กๆ บนเปลือกของมัน แล้วดื่มกินอย่างมีรสชาติ
รอจนพวกมันกินดื่มจนพอแล้วถึงได้บินกลับมากระโดดโลดเต้นตรงหน้ามั่วชิงเฉิน มั่วชิงเฉินส่งผลไม้อีกผลให้ หลังจากที่พวกมันแทงรูเล็กๆ แล้ว ฉับพลันนั้นก็บินกลับไปในถุงอสูรวิญญาณอย่างรีบร้อน
มั่วชิงเฉินรู้สึกจนปัญญา หยิบถ้วยเล็กๆ ออกมา รอให้น้ำในผลไหลออกมา
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็มๆ ของเหลวสีอำพันก็ไหลออกมาได้ครึ่งถ้วย
ในถ้วยมีกลิ่นหอมกรุ่นลอยออกมา เป็นกลิ่นหอมลักษณะพิเศษของผลไม้และดอกไม้
มั่วชิงเฉินเหลือบมองถ้วยเล็กๆ แล้วลังเลเล็กน้อย แทรกจิตสัมผัสเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ของผึ้งวิญญาณโลหิตมรกตในถุงอสูรวิญญาณ
ผึ้งวิญญาณโลหิตมรกตที่ดื่มน้ำในผลไม้ไปสองสามตัวนั้น มีรังไหมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนร่าง วางอยู่ตรงมุมไม่ขยับเขยื้อน
มั่วชิงเฉินหยิบรังไหมรังหนึ่งออกมาดีด รังไหมเปล่งเสียง แก๊กๆ ออกมา คุณสมบัติแข็งแรงมาก
หรือว่าถ้าตนดื่มน้ำในผลไม้เข้าไป ก็จะมีรังไหมมาห่อหุ้มตนเองเช่นกัน
เมื่อนึกถึงชีวิตในรังไหมในสิบทวีปทางทิศตะวันออก มั่วชิงเฉินก็รู้สึกลังเล แต่เมื่อขบคิดอีกทียังมีเวลาอยู่ในดาวดวงนี้อีกตั้งเจ็ดแปดอีก ไม่อาจใช้สมบัติอาคมต่างๆ ใด้ หากไม่คว้าเวลานี้เอาไว้เพื่อเพิ่มพลังด้านอื่นๆ เกรงว่าคงมีแต่ต้องตายเพียงเท่านั้น
แต่ไหนแต่ไรมามักจะแสวงหาโอกาสเสมอ มั่วชิงเฉินจึงไม่ลังเลอีก หยิบถ้วยเล็กๆ ขึ้นมาแล้วกัดฟันดื่มจนเกลี้ยง
น้ำผลไม้หวานหอมไหลไปตามลำคอ ชั่วพริบตาในร่างก็มีม่านหมอกกลุ่มหนึ่งพุ่งทะลักไปทางขาด้านซ้าย จากนั้นก็เห็นว่าผิวตรงขาด้านขวามีหมอกปรากฏขึ้น
ม่านหมอกสีอำพันเหล่านั้นหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับรวมตัวกันอยู่ที่ขาขวาอย่างไม่ยอมสลายตัวออก ทะลักออกมาไม่หยุด หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็กลายเป็นเปลือกแข็ง ห่อหุ้มขาข้างขวาเอาไว้
มั่วชิงเฉินตาเบิกโพลง หรือว่าจากนี้ต้องเดินไปพร้อมกับขาที่เป็นรังไหมข้างนี้
รอไปสักประเดี๋ยว ก็ไม่เห็นว่ารังไหมจะมีท่าทีปริแตก มั่วชิงเฉินไม่กล้าแตะต้องอะไรมั่วซั่ว แค่รออย่างเงียบๆ ไม่กล้าฝึกฝนอะไรในสถานที่ที่อันตรายเช่นนี้ พลางพิจารณาอย่างตามอำเภอใจ
เมื่อมองไปตามอำเภอใจนั้นก็พบว่าตรงจุดที่สูงยิ่งกว่าของต้นไม้ใหญ่ มีรังนกขนาดเท่าบ้านอยู่รังหนึ่ง
มั่วชิงเฉินมีเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผาก
อย่าเป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้เลย ในรังนั้นคงมีวิหคยักษ์เพียงตัวเดียวกระมัง
โชคดีที่วาสนาไม่ได้หันหลังให้นาง สามวันต่อมารังไหมก็ส่งเสียง แกรก รังนกยังคงไม่มีการเคลื่อนไหว
มั่วชิงเฉินผ่อนลมหายใจออกมา จ้องเขม็งไปยังขาขวา
รังไหมที่ดูเหมือนเปลือกไข่ค่อยๆ ปริแตกออก เผยขาสีอำพันออกมา
มั่วชิงเฉินตกใจจนเกือบจะร่วงลงจากต้นไม้ เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด กลับพบว่าเขาขวายังคงเป็นสีขาวใสดุจหยก แต่แค่เส้นเลือดสีเขียวที่เดิมเห็นได้รางๆ กลับกลายเป็นสีอำพันอ่อน
มั่วชิงเฉินยืนขึ้นแล้วออกเดิน ไม่พบความผิดปกติอะไร กลับรู้สึกว่าขาขวาเต็มไปด้วยพลังที่ยากจะเชื่อ
ฉับพลันนั้นเส้นเลือดสีอำพันบนขาก็กระตุก มั่วชิงเฉินรู้สึกอยากระบายพลังออกมา ทนไม่ไหวพลางเตะไปที่กิ่งไม้
เสียง เปรี้ยง ดังขึ้น กิ่งไม้หนาเท่าหนึ่งคนโอบหักแล้วตกลงไป
มั่วชิงเฉินพลันตกตะลึงไปเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าขาข้างนี้จะมีแรงขนาดนี้
ต้องเข้าใจว่าไอวิญญาณหนาแน่นที่แผ่ออกมาจากต้นไม้ยักษ์ต้นนี้ หากไปตั้งอยู่ภายนอก ต่อให้ใช้สมบัติอาคมทลายก็ไม่มีทางสำเร็จ แต่ตนเตะไปทีเดียวกลับหักได้
นี่มันทำให้ส่วนต่างๆ ในร่างกายแข็งแกร่งขึ้นหรือ
ขณะที่กำลังครุ่นคิดสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายก็ปรากฏขึ้น
กิ่งไม้ที่หักไปท่อนนั้น เป็นกิ่งที่รองมุมหนึ่งของรังวิหคเข้าพอดี เมื่อหักไปรังวิหคก็เสียความสมดุล
ดังนั้นรังวิหคขนาดเท่าบ้านก็ตกลงมาทางศีรษะของมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินหลบไปด้านข้าง เสียง ปัง ปะทะกับพื้นดังขึ้น รังวิหคติดอยู่ระหว่างกิ่งไม้ ขนนกจำนวนนับไม่ถ้วนฟุ้งกระจาย กระตุ้นให้นางมองไป
รอจนทุกอย่างเงียบสงัดแล้วก็เห็นว่ารังวิหคไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ มั่วชิงเฉินถึงได้เตรียมตัวเข้าไปตรวจสอบ
ยังไม่ทันเข้าใกล้ กลิ่นหอมเย้ายวนใจก็ลอยมาจางๆ
หมาป่าน้อยในถุงอสูรวิญญาณพลันอยู่ไม่สุข
มั่วชิงเฉินเดินไปพบว่าในรังวิหคยักษ์มีไข่ยักษ์สามใบ หนึ่งในนั้นเป็นเพราะรังตกลงมาจากที่สูง จึงถูกกิ่งไม้แทงทะลุเข้าพอดี ของเหลวในไข่ไหลออกมาด้านนอก ของเหลวในไข่เหล่านั้นมีไอวิญญาณแฝงอยู่จนแทบจะแข็งตัว กลิ่นหอมเย้ายวนจึงโชยมาจากตรงนั้น
ไข่วิหคชนิดนี้เป็นสิ่งที่ฟื้นฟูกำลังได้ดีกว่าเนื้อของปีศาจอสูร มั่วชิงเฉินจึงรีบปล่อยหมาป่าน้อยและเขาน้อยออกมา
หมาป่าน้อยออกมาแล้ว ดวงตาก็จับจ้องอยู่บนไข่วิหคเขม็ง หันกลับไปกวาดตามองมั่วชิงเฉินแวบหนึ่ง เห็นนางพยักหน้าก็กระโจนเข้าไป
เขาน้อยสั่นศีรษะ “นายท่าน เขาน้อยไม่กินไข่วิหค อยากดื่มสุราของท่าน”
มั่วชิงเฉินเห็นมันมีท่าทางจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ก็ไม่ฝืนใจ ส่งน้ำเต้าสุราสองสามไหให้มันแล้วเก็บมันกลับไป
หมาป่าน้อยกินเสร็จ ก็กระโจนไปหาไข่ใบที่สอง แล้วกินไข่ทั้งสามใบไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหลับใหลไปท่ามกลางลำแสงวิญญาณที่ห่อหุ้มร่าง
มองรังวิหคที่ว่างเปล่า มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกหวาดผวาเล็กน้อย แล้วตัดสินใจจากไปทันที
ยามนี้พลันรู้สึกว่าไกลออกไปมีพลังแรงกดดันอันน่าตกตะลึงส่งมา ทั่วทั้งท้องฟ้าถูกสิ่งใดสักอย่างบดบังเอาไว้ ชั่วพริบตาก็มืดสนิท