พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 552 มหันตภัยแห่งน้ำตาเทียนมรณะ
เสียงที่แว่วเข้ามา ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าคือเสียงอะไร กลับทำให้ทุกคนรู้สึกอกสั่นขวัญผวาจากข้างใน ราวกับขนนกปัดผ่านก้นบึ้งของหัวใจ
หมาป่าน้อยขู่คำรามด้วยเสียงต่ำในลำคอ ลำตัวโก่งขึ้นพร้อมกับอุ้งเท้าหน้าของมันไถพื้นดินไม่หยุด ดวงตาสีแดงเข้มทั้งสองข้างจ้องเขม็งไปยังทิศทางที่เกิดเสียง
ทุกคนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ก่อนจะค่อยๆ เขยิบมารวมกัน และมองไปยังตำแหน่งนั้น
บริเวณนั้นเป็นกำแพงหินเรียบๆ มองดูไม่เห็นความผิดปกติแต่อย่างใด เสียง ซ่าๆ ดังออกมาอย่างต่อเนื่องอยู่ชั่วครู่ ทันใดนั้นพบว่ากำแพงหินราวกับมีคลื่นน้ำไหลออกมา
เปาะแปะ เปาะแปะ
น้ำจากกำแพงหินที่ไหลออกมาแต่ละหยดจับตัวกันกลายเป็นของเหลวสีน้ำตาลอมเหลือง ก่อนตกลงสู่พื้นดิน หยดน้ำจับตัวกันอย่างรวดเร็วแล้วไหลเข้ามาหาผู้คนช้าๆ
ของเหลวหน้าตาแปลกประหลาดทำให้ผู้คนรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน
ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนสีอย่างไม่รู้ตัว
นักพรตจื่อซีเพียงแค่รู้สึกว่าภายในกระเพาะอาหารปั่นป่วนอยู่สักกพัก พยายามกัดริมฝีปากแทบเป็นแทบตายจึงไม่ได้อาเจียนออกมา
“ทุกท่าน สถานการณ์มิอาจคาดเดาได้ พวกเราถอยออกมาก่อนค่อยว่ากันเถอะ” นักพรตจื้อจั้นกล่าวเสียงต่ำ
ทั้งหมดหันหลังเดินออกไป แต่กลับพบว่าประตูหินกลับกลายเป็นเหมือนในคราแรกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
มั่วชิงเฉินกระโดดขึ้น เมื่อเท้าประทับลงประตูหินก็ปรากฏเป็นรอยหลุมหนึ่ง เกิดวงน้ำระลอกหนึ่งขึ้นโดยมีมันเป็นจุดศูนย์กลาง พริบตาเดียวประตูหินก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมในทันที
คนอื่นที่เหลือต่างก็เคลื่อนไหวโจมตีประตูหิน พบว่าประตูหินพลันกลับมาเป็นดังเดิมทุกครั้งไป เมื่อหันศีรษะมองกลับไป ของเหลวสีน้ำตาลเหลืองก็ใกล้จะเข้ามาโดนเท้าแล้ว
เพียงได้กลิ่นก็พบว่าของเหลวนั้นมีกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง พวกเขาเข้าใจได้ทันทีว่าหากติดเชื้อขึ้นมาคงไม่ใช่เรื่องดี เมื่อมองดูรอบด้านก็พบว่าไม่มีทางให้ซ่อนแล้ว
เวยเซิงลิ่วมองดูรอบๆ ส่งเสียงฮึกทีหนึ่งพลันกระโดดขึ้นไปข้างบน
ทุกคนมองเพียงรู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่าเลือน ก่อนเงยหน้าขึ้น และพบว่ามือทั้งสองของเขาได้โอบกอดโคนเสาหินของถ้ำที่ย้อยลงมา เพียงช่วงเวลาหนึ่งพวกเขาต่างรู้สึกว่าเป็นท่าทางที่น่าขบขันอย่างยิ่ง
ทว่าตอนนี้ไม่มีใครมีอารมณ์หัวเราะออกมา ต่างเงยหน้ามองหน้าพื้นที่ที่สามารถเกาะเอาไว้ได้ เรียนรู้วิธีแขวนตัวเองอันหลากหลายไม่ให้ตกลงไป
“นี่ๆ พวกเจ้าเหลือพื้นที่ให้ข้าบ้างสิ!” มองดูภาพของเสาหินย้อยที่มีคนเกาะอยู่ โจวจงอวี่พลันกระโดดไปมาด้วยความลุกลี้ลุกลน
มั่วชิงเฉินยืนอยู่กลางอากาศอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ตบหมาป่าน้อยเบาๆ คิดจะเก็บมันใส่ในถุงอสูรวิญญาณ กลับพบว่ามันขัดขืน แล้วกระโจนออกไป
“หมาป่าน้อย!” มั่วชิงเฉินร้องขึ้นอย่างตื่นตระหนก
“นายท่าน ให้ข้าลองดูหน่อย!” หมาป่าน้อยตอบกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ ราวกับสุภาพบุรุษในมาดเคร่งขรึม
เสียงของหมาป่าน้อยก้องกังวาน ทำให้กลางห้องหินมีเสียงสะท้อนดังกลับมา ลำตัวหมาป่าน้อยตรงแน่ว ดวงตาสีแดงฉานจ้องมองไปยังของเหลวสีน้ำตาลอมเหลืองที่ไหลออกมา
ผู้คนทั้งหมดล้วนให้ความสนใจ จดจ่อโดยไม่กะพริบตา
มั่วชิงเฉินจับเถาวัลย์ไว้แน่น หากหมาป่าน้อยเป็นอะไรขึ้นมา ค่อยตัดสินใจดึงมันกลับ
หมาป่าน้อยก้มหัวหายใจเข้าเบาๆ คราหนึ่ง ทันใดนั้นก็เกิดลำแสงวาบหนึ่งในดวงตา จากนั้นร่างกายพลันลอยตัวกลางอากาศ ก่อนจะอ้าปากและพ่นควันดำออกมา
คลื่นควันสีดำทมิฬ พุ่งออกมาห่อหุ้มของเหลวนั่นเอาไว้ราวกับมีชีวิต ทั้งสองพานพบกัน นับเป็นการประจันหน้าอันดุเดือด
“ของเหลวนั่นคืออะไร” นักพรตจื่อซีขมวดคิ้ว สีหน้ายิ่งดูแย่ลง
เซี่ยหรันยกมือขึ้น ดาบนกเป็ดน้ำบินออกไป ตวัดผ่านของเหลวสีน้ำตาลอมเหลืองทีหนึ่ง ก่อนบินกลับเข้ามาในมือ
“นี่มัน…” เซี่ยหรันขมวดคิ้ว จ้องมองของเหลวสีเหลืองที่อยู่ตรงปลายดาบ แสดงสีหน้าไม่สามารถคาดเดาได้ ทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่างออก ตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “น้ำตาเทียนมรณะ”
ผู้คนต่างถามขึ้น “น้ำตาเทียนมรณะคือสิ่งใดกัน”
ฐานะของเซี่ยหรันคือผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก ความรู้เรื่องวิถีบำเพ็ญเซียนหรือความลับในโลกแห่งผู้บำเพ็ญเพียรมีเพียงจำนวนหนึ่ง อาจไม่ชัดเจนเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรที่มีสำนัก แต่โชคชะตาช่างบังเอิญที่รู้จักเคล็ดวิชานอกสำนักอยู่ไม่น้อย ก่อนอธิบายด้วยสีหน้ามืดมนว่า “น้ำตาเทียนมรณะใช้ร่างของผู้บำเพ็ญเพียรเป็นตัวเทียน จิตดั้งเดิมเป็นไส้เทียน ใช้วิชาลับพิเศษจุดเทียน ในวันที่ดวงจิตดั้งเดิมมอดไหม้ ผู้บำเพ็ญเพียรจะพ่นลมปราณเฮือกสุดท้ายออกมา แล้วใช้น้ำมันศพผสมกับน้ำตาโลหิตหนึ่งหยดสุดท้าย ก็จะกลายเป็นน้ำตาเทียนมรณะ”
ทุกคนต่างหายใจเข้าด้วยความหวาดกลัว “ช่างเป็นวิชาลับที่โหดร้ายเสียจริง!”
“สำนักไป่ฮวา มิใช่อยู่ฝ่ายธรรมะหรือ เหตุใดถึงใช้วิชาลับที่ป่าเถื่อนเช่นนี้” นักพรตปี้เหลยเบิกตาโต แววตาเต็มไปด้วยความแค้นเคือง
อาจจะเป็นเพราะนางมีรากวิญญาณสายฟ้า ทำให้เรื่องชั่วร้ายอัปมงคลเป็นสิ่งที่นางรังเกียจที่สุด
เซี่ยหรันสีหน้าบูดเบี้ยวมองดูควันสีดำที่โจมตีน้ำตามรณะอย่างดุเดือด “นี่ไม่ใช่เรื่องที่สามารถจัดการได้อย่างทันท่วงที แต่พวกเราเจอปัญหาใหญ่เข้าให้แล้ว”
“เหตุใดถึงพูดเช่นนั้น”
เซี่ยหรันจ้องมองของเหลวสีน้ำตาลอมเลืองอย่างไม่วางตา “น้ำตาเทียนมรณะมีทั้งน้ำตาโลหิตและอัดแน่นไปด้วยความเคียดแค้น หากสัมผัสเพียงหยดเดียว ไอแค้นก็จะเข้าสู่ร่างกาย แทรกซึมลงทะเลแห่งความตระหนัก บุกทะลวงและครอบงำดวงจิตดั้งเดิม จมดิ่งกลายเป็นมือสังหารผู้สูญสิ้นความรู้สึกผิดชอบชั่วดี”
พึ่งพูดจบ ก็ได้ยินเสียงบางอย่างตกลงพื้น
ฟังแล้วทำให้ผู้คนรู้สึกตกใจ ทันใดนั้นมีเสียงบางอย่างเคลื่อนไหว หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว เมื่อเหลือบตามอง ก็เห็นใบหน้าบึ้งตึงของโจวจงอวี่มารบำเพ็ญเพียรยืนติดกับผนังหิน อาวุธที่อยู่ในมือห้อยตกลงพื้นอย่างไม่รู้ตัว
บรรยากาศรอบกายพลันหยุดชะงัก
สักพักหนึ่งโจวจงอวี่ก็เงยหน้าขึ้นช้าๆ มองมายังเซี่ยหรัน “เจ้าพูดความจริงหรือ”
เซี่ยหรันตอบเสียงต่ำ “ข้าน้อยไม่ได้พูดจาส่งเดช ผู้ที่ถูกความแค้นของน้ำตาเทียนมรณะครอบงำ จะมีจุดสีเขียวจางๆ กลางหน้าผาก”
“จุดสีเขียวขึ้นหรือยัง” โจวจงอวี่หันไปมองผู้คนก่อนกัดฟันถาม
เห็นพวกเขาต่างไม่พูดไม่จา อีกมือคว้าหลี่ซ่ามารบำเพ็ญเพียรที่ตนสนิทที่สุดขึ้นมา ถามด้วยแววตาแดงก่ำว่า “จุดสีเขียวขึ้นหรือยัง ตกลงจุดสีเขียวขึ้นแล้วหรือยัง มารดามันเถิด”
หลี่ซ่าที่พยักหน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าไม่น่ามอง
โจวจงอวี่ปล่อยมือ หันหน้าเข้าหากำแพงก่อนทรุดตัวลงไป
หลี่ซ่าทนไม่ไหว กำลังจะพูดปลอบใจ ทันใดนั้นโจวจงอวี่ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา
ดวงตาทั้งสองข้างกลายเป็นสีแดงเข้มกว่าเดิม ราวกับมีหยดเลือดไหลออกมาจากตา
“พี่โจว…” หลี่ซ่าพูดไม่ทันจบ โจวจงอวี่ก็พุ่งตัวกระโจนเข้าใส่อย่างรวดเร็วราวกับเสือดาว
“สหายหลี่ รีบหลบเร็ว หากโดนความแค้นครอบงำร่างกาย ก็จะมีอาการเช่นเดียวกัน!” เซี่ยหรันตะโกนเสียงดังออกไป
ถึงแม้หลี่ซ่าจะเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว แต่ก็มิอาจต้านทานความรวดเร็วที่เร็วเกินไปของโจวจงอวี่ได้ ช่วงขณะที่หาทางหนีอยู่นั้นพลลันได้ยินเสียงฉีกขาด แขนเสื้อเขาถูกฉีกออกครึ่งหนึ่ง บนแขนมีรอยฟกช้ำปรากฏเด่นออกมาอย่างน่าตกใจ
ทันใดนั้นสีหน้าของหลี่ซ่าพลันซีดขาว
โจวจงอวี่ตกอยู่ในสภาวะบ้าคลั่งเรียบร้อยแล้ว ดวงตาสีแดงก่ำกวาดมอง แล้วกระโจนใส่ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ไม่ไกล
แต่เดิมทุกคนล้วนเกาะอยู่บนเสาหินย้อย ดูท่าครั้งนี้ตกที่นั่งลำบากกันทุกคนแล้ว จะซ่อนก็ซ่อนไม่อยู่ นอกจากไม่กี่คนที่มีสมบัติวิเศษเฉพาะ คอยหลบไปมาอยู่กลางอากาศ คนที่เหลือต่างก็กระโดดลงไปบนพื้น
“ไม่ได้การ ทำเช่นนี้ต่อไปไม่ใช่การแก้ปัญหา ทุกคนลองร่วมมือกันสยบเขาเถิด!” นักพรตจื้อจั้นที่หลบการไหลของน้ำตาเทียนมรณะบนพื้นอย่างระมัดระวังตะโกนพูดขึ้น
ทุกคนต่างแสดงเคล็ดวิชาโจมตีใส่โจวจงอวี่ ทันใดนั้นกลับพบว่า พละกำลังของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แต่พวกเขายังคงล้อมโจมตีอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ผู้บำเพ็ญที่อยู่ใกล้พลันถอยหลังอย่างทันท่วงทีเมื่อเขาเข้ามาใกล้
แรกเห็นนั้น คาดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่กระลมสักสายก็ไม่ให้โดนตัว
มั่วชิงเฉินยังสามารถทะยานไปมากลางอากาศได้ จึงได้รับผลกระทบไม่มากนัก มองเหตุการณ์อึกทึกครึกโครมด้านล่างและโจวจงอวี่ด้วยสายตาที่เย็นชา ก่อนขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
ไม่ถูก เขาไม่ได้มีพละกำลังมากขึ้น แต่เป็นเพราะสูญเสียความเจ็บปวดต่างหากทำให้ดูแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังเพิ่มความน่ากลัวเมื่อเขาเข้าใกล้กลุ่มคน
มั่วชิงเฉินไม่ลังเลอีกต่อไป มือหนึ่งอัญเชิญดอกบัวสีครามออกมา พลันเกิดแสงสว่างสุกสกาวแผ่ออกไป
ปทุมหยกอริยะหอมพุ่งตรงไปหาโจวจงอวี่ ลอยอยู่หัวของเขาก่อนเบ่งบานอย่างช้าๆ แสงสีครามระยิบระยับโปรยลงใส่ตัวเขา ราวกับทรายดูดสีคราม
จุดแสงสีครามค่อยๆ ซึมเข้าร่างโจวจงอวี่ ทันใดนั้นร่างกายของโจวจงอวี่พลันสั่นสะท้าน
นักพรตจื้อจั้นใช้โอกาสนี้ เรียกดาบฝันร้ายสีครามออกมากลางฝ่ามือ ก่อนขว้างใส่แผ่นหลังของโจวจงอวี่อย่างเต็มกำลัง ปราณสี่ครามที่ติดอยู่ปลายดาบแทรกซึมเข้าไปในกระดูกสันหลัง
ร่างกายของโจวจงอวี่กะพริบแสงเลือนรางวาบหนึ่ง จากนั้นล้มลงกับพื้น
เวลานี้เองหมาป่าน้อยที่อยู่อีกฝั่งก็รู้ผลแพ้ชนะ
เห็นเพียงควันสีดำอันร้ายกาจกลืนกินของเหลวสีน้ำตาลอมเหลืองเข้าไปจนหมด ครู่หนึ่งมุกสีน้ำตาลอมเหลืองเม็ดหนึ่งก็บินออกมาจากควันสีดำอย่างรวดเร็ว
หมาป่าน้อยกระโดดขึ้น อ้าปากงับมุกสีน้ำตาลอมเหลืองแล้วกลืนลงไป ก่อนยื่นลิ้นสีแดงสดเลียมุมปาก
ผู้บำเพ็ญเพียรที่เห็นเหตุการณ์ครั้งนี้ต่างประหลาดใจ นี่เป็นอสูรวิญญาณประเภทไหนกัน คิดไม่ถึงว่าจะสามารถกลืนมุกน้ำตาเทียนมรณะอันแสนน่ากลัวเช่นนี้ลงไปได้
“นายท่าน ข้าอยากพักผ่อน” หมาป่าน้อยวิ่งกลับไปหามั่วชิงเฉิน กล่าวด้วยน้ำเสียงเงียบสงบ
“หมาป่าน้อยช่างเชื่อฟัง” มั่วชิงเฉินยื่นมืออกไปหยิกใบหูที่ตั้งตรงของหมาป่าน้อย
ประกายอีหลักอีเหลื่อพลันกะพริบพาดผ่านแววตาของหมาป่าน้อย มันจ้องมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้าถุงอสูรวิญญาณ
มั่วชิงเฉินชักมือกลับด้วยความขัดเขิน ก็ได้ยินเสียงคนร้องอุทานออกมา “สหายหลี่ เจ้า…”
พอหันหลังกลับไปดู แววตาของหลี่ซ่าที่ถูกโจวจงอวี่ข่วนแขนแม้ยังดูกระจ่างใส แต่กลับค่อยๆ เรืองแสงสีแดง
“สหายมั่ว เจ้า…เจ้าใช้ปทุมหยกอริยะหอมช่วยข้าน้อยกำจัดปราณอาฆาตได้หรือไม่” หลี่ซ่ากัดปาก พูดด้วยความยากลำบาก
เขาเป็นคนขี้กลัวที่สุด ย่อมสังเกตเห็นมั่วชิงเฉินใช้ปทุมหยกอริยะหอมควบคุมน้ำตาเทียนมรณะ
มั่วชิงเฉินรีบเดินเข้าไป ใช้แสงของปทุมหยกอริยะหอมล้อมรอบหลี่ซ่าไว้ “ลองดูเถอะ”
หลี่ซ่านั่งชำระล้างอยู่ท่ามกลางประกายแสงของปทุมหยกอริยะหอมราวกับนั่งอยู่กลางกระทะน้ำมัน เหงื่อไหลท่วมตัวทำให้เสื้อผ้าเปียกโชกทันใด เส้นเลือดดำบนผิวหนังเปลือยเปล่าด้านนอก นูนขึ้นมาราวกับรากไม้เก่าพันกัน ดูแล้วน่ากลัวกว่าปกติ
เวลาค่อยๆ ล่วงเลยไป ทุกคนไม่สามารถละสายตาออกไปได้ รู้สึกเหมือนทุกลมหายใจยืดยาวขึ้นหลายเท่า
“ดูเร็ว จุดสีเขียวกลางหน้าผากเขาจางลงแล้ว!” นักพรตปี้เหลยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความปีติยินดี
เมื่อเห็นผลลัพธ์ มั่วชิงเฉินก็รีบกระตุ้นความเร็วของปทุมหยกอริยะหอม จนกระทั่งจุดสีเขียวทั้งหมดจางหายไปจึงเก็บปทุมหยกกลับมา
หลี่ซ่ามองมั่วชิงเฉินดวงสายตาซาบซึ้ง ภายใต้ความความอ่อนแรงมือทั้งสองข้างยกขึ้นคารวะสั่นสะท้านไม่หยุด “ขอบ…ขอบคุณสหายมั่วที่ช่วยชีวิต”
ทุกสิ่งล้วนตกอยู่ในความสงบ ทุกคนมองโจวจงอวี่ที่นอนนิ่งอยู่
นักพรตจื้อจั้นโน้มตัวลง สำรวจลมหายใจของโจวจงอวี่ “เขายังหายใจอยู่”
พูดจบหันกลับมามองมั่วชิงเฉิน “สหายชิงเฉิง เจ้าสามารถลองใช้ปทุมหยกอริยะหอมได้หรือไม่”
“ข้าจะพยายามให้ดีที่สุด” มั่วชิงเฉินเดินเข้าไป กระตุ้นปทุมหยกอริยะหอมเหมือนก่อนหน้านี้
เวลาผ่านพักใหญ่ จึงเก็บปทุมหยกอริยะหอมกลับมา ก่อนส่ายหัวพูดว่า “เขาถูกปราณแค้นแทรกซึมนานเกินไป ทั้งยังถูกซึมซับไปทั้งกาย ต่อให้ใช้ปทุมหยกอริยะหอมนานกว่านี้ ก็ไม่ได้มีผลอะไรมากนัก”
หลี่ซ่าที่ถูกโจวจงอวี่ทำร้าย ได้รับผลกระทบทางอ้อม ปราณแค้นแพร่กระจายน้อยกว่ามาก เช่นนี้ถึงสามารถรักษาได้
“เช่นนั้น…” ทุกคนมองหน้ากันด้วยความตกใจ ที่รู้ว่าโจวจงอวี่ต้องถูกทิ้งไว้ที่นี่
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกท่านอย่ามัวแต่เสียเวลาอีกเลย น้ำตาเทียนมรณะถูกกำจัดแล้ว ครั้งหน้าต้องคอยระมัดระวังกว่านี้ว่านอกจากสิ่งนี้แล้วยังมีเรื่องลึกลับอื่นอีกหรือไม่” นักพรตเฉาหยางไม่หันมองโจวจงอวี่อีก ก่อนเริ่มสังเกตรอบด้าน
มั่วชิงเฉินมองโจวจงอวี่แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ พอจะขยับตัวก็ได้ยินเสียงของเขาน้อยดังออกมาจากถุงอสูรวิญญาณ “นายท่าน ให้เขาน้อยลองดูสักหน่อยเถิด”