พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 556 หม้อคืนสภาพจริงหรือปลอม
“สหายเฟยหยางต้องการให้ข้าน้อยช่วยหรือ” มั่วชิงเฉินก้าวเข้าไปยืนข้างกายนักพรตเฟยหยาง ดวงตาใสกระจ่างดุจน้ำจ้องมองใบหน้าที่ซีดขาวอยู่บ้างของเขา
นักพรตเฟยหยางหลุบตาลง เงียบไปสักพัก ค่อยเงยหน้าขึ้น จ้องมองมั่วชิงเฉิน “ข้าน้อยอยากยืมใช้ไฟจริงของสหายมั่ว”
คำพูดนี้พอหลุดจากปาก สายตาของกลุ่มคนก็พุ่งไปยังร่างของมั่วชิงเฉิน พร้อมท่าทีที่แตกต่าง
เซี่ยหรันกลับมองนักพรตเฟยหยางอย่างลึกล้ำวาบหนึ่ง ดูไม่ออกว่าพอใจหรือไม่พอใจ
มั่วชิงเฉินลอบสูดหายใจเข้า ก่อนถามอย่างสงบนิ่ง “สหายเฟยหยางพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
นักพรตเฟยหยางยกมุมปากไร้เลือดฝาดขึ้นยิ้ม “การใช้จานดาราแสดงภาพเหมือนในอนาคต เกือบทำลายจิตใจของข้าน้อย โชคดีที่สหายมั่วมอบโอสถวิญญาณให้ จึงฟื้นฟูได้พอควร เพียงแต่สภาพข้าน้อยในตอนนี้ ถ้าใช้ผังคำนวณเวหาทมิฬทำนายอีก แปดถึงเก้าในสิบส่วนอาจติดอยู่กับการคำนวณทั้งร่างกายและจิตใจชนิดยากถอนตัวจวบจนเสียชีวิต จึงอยากให้สหายมั่วใช้ไฟจริงเผาศูนย์รวมจิตใจ ขณะที่ข้าน้อยทำการคำนวณ”
“อะไรนะ” มั่วชิงเฉินหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย มองดูสายตาแปลกๆ ของนักพรตเฟยหยาง “สหายเฟยหยางแน่ใจจริงหรือที่จะทำเช่นนี้”
ความเจ็บปวดที่เกิดจากการใช้ไฟจริงเผาศูนย์รวมจิตใจ ไม่มีคนธรรมดาที่ไหนจะทนได้ อาจเป็นความเจ็บปวดอันดับสอง รองจากการถูกแส้เฆี่ยนด้วยซ้ำ
นักพรตเฟยหยางหัวเราะ “แน่ใจจริง”
แต่พอเห็นกลุ่มคนหน้าเปลี่ยนสี จึงพูดอย่างสงบ “ข้าน้อยก็อยากมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่เช่นเดียวกัน”
ความรู้สึกชื่นชมวาบผ่านแววตามั่วชิงเฉิน ก่อนพูดจริงจัง “ดี”
จากนั้นนางก็นั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหานักพรตเฟยหยาง
“สหายมั่ว ถ้าเห็นดวงตาข้าน้อยเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ก็กระตุ้นไฟจริงให้เผาได้” นักพรตเฟยหยางว่าพลางเคลื่อนผังคำนวณเวหาทมิฬมาวางแนวขวางตรงหน้าอก สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วยกมือขวาขึ้น ดีดลูกคิดเบาๆ
ดูท่าทางละมุนละไมของเขา ไม่เหมือนกำลังดีดลูกคิด เหมือนนำลังดีดพิณอย่างสง่างามมากกว่า
ได้ยินเสียงใสๆ ดัง แต๊กๆ ขณะลูกคิดชนกัน แม้มิได้ไพเราะดุจเสียงพิณ แต่คล้ายแฝงท่วงทำนองบางอย่างอยู่ เริ่มแรกผู้คนก็ฟังไปเรื่อยๆ ทว่าต่อมากลับเคลิบเคลิ้มโดยไม่รู้ตัว
ในร่างของมั่วชิงเฉินมีเพลิงแก้วใจกระจ่างในการจัดการกับจิตใจ ขณะใช้ดวงตาเย็นชามองสีหน้ากลุ่มคน ก็ลอบคิดในใจ มิน่าเล่านักพรตเฟยหยางถึงให้นางใช้ไฟจริงเผาศูนย์รวมจิตใจของเขา เพราะขนาดจิตใจของผู้ชมยังถูกดึงดูดโดยไม่รู้ตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจิตใจของคนที่ถลำลึกลงไปทั้งหมด
ท่ามกลางเสียงใสๆ ขณะลูกคิดชนกัน เวลาก็ค่อยๆ ผ่านพ้น
มั่วชิงเฉินไม่กล้าย่อหย่อน จ้องมองนักพรตเฟยหยางอย่างไม่ให้คลาดสายตา
พอเห็นม่านตาของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ก็กัดฟัน ปล่อยเพลิงแก้วใจกระจ่างออกจากปลายนิ้ว แตะส่วนศีรษะของเขาต่อเนื่องกันสองสามครั้ง เสียงอู้อี้ดังมา เหงื่อเม็ดโป้งหยดลงจากหน้าผากนักพรตเฟยหยาง
เส้นเอ็นสีเขียวปูดเข้าปูดออกตรงขมับ เผยให้เห็นความเจ็บปวดของเขา
มั่วชิงเฉินแม้ทนไม่ได้อยู่บ้าง แต่นิ้วก็ไม่หยุดขยับ จวบจนนัยน์ตาสีแดงของเขาค่อยๆ จางลง จึงเก็บไฟจริงคืนกลับ ก่อนเป่าปากอย่างโล่งอก
ขั้นตอนนี้กินเวลาต่อเนื่องยาวนานพอควร ซึ่งมั่วชิงเฉินได้ใช้ไฟจริงเผาศูนย์รวมจิตใจของนักพรตเฟยหยางไปสองสามครั้ง จนสุดท้าย พอเห็นร่างของเขาโงนเงนไปมาคล้ายจะล้ม ก็รู้สึกไม่กล้าลงมือต่ออยู่บ้าง โดยลึกๆ แล้ว เกรงว่าเกิดไม่ทันระวังขึ้นมา จิตดั้งเดิมของฝ่ายตรงข้ามจะรับไม่ไหว ล่มสลายไปเสียก่อน
แต่แล้วนักพรตเฟยหยางกลับแข็งแรงและยืดหยุ่นกว่าที่นางคิด ตอนเขาลืมตา จึงเห็นสายตาสุดจะทนที่มั่วชิงเฉินไม่ทันเก็บพอดี
เขายังคงพยักหน้าแล้วยืนขึ้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง จากนั้นก็พลันขว้างผังคำนวณเวหาทมิฬในมือออก
ผังคำนวณเวหาทมิฬเปล่งแสงวิญญาณกลางอากาศ ลูกคิดหลายลูกกระเด็นออกมาเรียงตัวกันเป็นลวดลายเฉพาะ และพอลูกคิดลูกสุดท้ายเข้าประจำตำแหน่ง ลวดลายก็เปล่งประกายเจิดจ้า จากนั้นแสงสีม่วงสายหนึ่งก็เข้าปกคลุมเส้นทางนับหมื่นนับพันที่อยู่ด้านล่าง
ตอนนี้เอง ภาพแปลกๆ ก็ปรากฏขึ้น
ท่ามกลางเส้นทางที่มีใยแมงมุมโยงใยไปมาในสายตากลุ่มคน เส้นทางสายหนึ่งพลันสว่างขึ้น
เส้นทางสายนี้เริ่มต้นจากแหล่งกำเนิด คล้ายถูกจุดไฟให้สว่างจากด้านหน้าไปด้านหลัง มีทางโค้งลดเลี้ยวเคี้ยวคดนับไม่ถ้วน สุดท้ายค่อยเป็นทางตรงมุ่งสู่ที่หนึ่งซึ่งไม่มีใครรู้
“สหายทุกท่าน เส้นทางสายนี้น่าจะเป็นเส้นทางที่มีพลังชีพแฝงอยู่ ไม่ทราบว่าทุกท่านจะลองไปกันดูไหม” นักพรตเฟยหยางพูดจบก็โลหิตหยดลงจากปาก เขายกแขนเสื้อที่ยาวใหญ่ขึ้นเช็ดอย่างไม่ยี่หระ
“อย่างไรก็ล้วนเป็นทางตัน นักพรตเฟยหยางทุ่มเทแรงกายแรงใจคำนวณเส้นทางชีวิตออกมา ใครไม่กล้าก็คือคนโง่!” โจวจงอวี่ว่าแล้วก็กระโดดลงไปในแนวดิ่ง
เหลืออีกแค่วันกว่าๆ ก็ครบกำหนดแล้ว กลุ่มคนจึงไม่มีเวลาลังเลใจอีก ทยอยกันกระโดดลงจากแท่นหิน
มั่วชิงเฉินมองดูนักพรตเฟยหยางที่หน้าซีดลงเรื่อยๆ จึงยกมือขึ้น เถาวัลย์เส้นหนึ่งดีดตัวออก รัดเข้าที่เอวของเขา นักพรตเฟยหยางอึ้งเล็กน้อย
“ข้าพาท่านลงไปเอง”
มั่วชิงเฉินพูดจบก็ออกกำลังแขนเล็กน้อย พานักพรตเฟยหยางค่อยๆ ลงไปยืนด้านล่าง
“ขอบคุณมาก” นักพรตเฟยหยางประสานมือ
มั่วชิงเฉินพยักหน้าเล็กน้อย เก็บเถาวัลย์ขึ้น แล้วเดินไปข้างหน้า
เส้นทางดีที่สุดที่ทำนายออกมาอาจเป็นเส้นทางสู่การรอดชีวิตจริงๆ ก็เป็นได้ ด้วยตลอดทางเดินไม่พบเจอภยันตรายใดๆ
แน่นอน เช่นนี้มิได้หมายความว่าผู้ที่เข้ามาที่นี่วางใจลง ทางสายนี้ดุจใยแมงมุม ทุกทางแยกล้วนมีทางแยกอีกไม่ต่ำกว่าสิบสาย ถ้าไม่มีคำทำนายของนักพรตเฟยหยาง อย่างน้อยกลุ่มคนต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีถึงจะออกจากที่นี่ได้
ตอนนี้กลับใช้แค่ไม่ถึงครึ่งวัน ก็เดินมาถึงปลายทางแล้ว
ปลายทางมีแสงสีขาวอยู่ด้านหนึ่ง ซึ่งจิตสัมผัสไม่สามารถเข้าไปสำรวจได้
กลุ่มคนจึงมองตากัน แล้วก้าวเข้าไปในแสงสีขาว
มั่วชิงเฉินเพียงรู้สึกว่าภาพตรงหน้ามืดลง อาการวิงเวียนศีรษะจู่โจมเข้ามา จึงหลับตาโดยไม่รู้ตัว รอจนลืมตาอีกครั้ง ทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไปมาก
ก้อนหินและทางเดินภูเขาแบบเดิม ล้วนไม่ปรากฏ ภาพที่สะท้อนเข้าตาคือ ทะเลสาบสีเขียว ระลอกคลื่น และเรือลำเล็กจอดเทียบท่าอยู่
“ข้าพายเรือเอง” นักพรตปี้เหลยแย้มยิ้ม กระโดดขึ้นเรือ แล้วโบกมือให้กลุ่มคนลงเรือ
คนสิบกว่าคนเบียดกันขึ้นไป นักพรตปี้เหลยใช้พลังวิญญาณกระตุ้น พบว่าเรือน้อยไม่ขยับ จึงได้แต่หยิบไม้พายขึ้นมาพายเบาๆ
การพายเรือดูไปแล้วไม่หนักหนา แต่ตอนนี้ หน้าผากนักพรตปี้เหลยกลับมีเหงื่อซึมออกมา
“ให้ข้าพายดีกว่า” โจวจงอวี่พลันแย่งไม้พายมา ลอบเอ่ยขึ้นว่าสตรีนั้นทำไม่ได้ ด้วยขาดพลังวิญญาณคอยช่วยเหลือ ออกแรงนิดหน่อยก็ไม่ไหวแล้ว
แต่พอไม้พายมาอยู่ในมือ เขาพลันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนักพรตปี้เหลยถึงมีท่าทีเช่นนั้น ไม้พายที่เห็นเบาๆ เช่นนี้ กลับหนักมากกว่าหมื่นจิน
ต่อมา เกรงว่าขืนเขากัดฟันยืดหยัด จะคุมเรือไม่อยู่เอา จึงได้แต่ให้คนมาแทนที่
สิบกว่าคนผลัดกันพายเรือ จึงนับว่าไปถึงเกาะกลางทะเลสาบได้
บนเกาะมีอาคารตั้งตระหง่านอยู่หลังหนึ่ง ป้ายบนประตูเขียนไว้ว่า ‘ที่พักหลังน้อย’
กลุ่มคนผลักประตูเข้าไป พบว่าด้านในตกแต่งอย่างเป็นธรรมชาติและงามสง่า เครื่องเรือนแม้ไม่มาก แต่ก็งามเข้าทีและมีเสน่ห์
เดินทั้งนอกและในหนึ่งรอบ ในที่สุดก็เห็นหม้อสามขาใบหนึ่งวางอยู่บนชั้นหนังสือ
กลุ่มคนจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้ายินดีปรีดาออกมา
นักพรตจื้อจั้นหยิบหม้อใบเล็กขึ้นมาตรวจตราดู พลิกด้านล่างขึ้น เห็นตัวอักษร ‘คืนสภาพ’ สลักอยู่
“เป็นหม้อคืนสภาพจริงๆ” นักพรตจื้อจั้นยินดียิ่ง ส่งหม้อน้อยให้กลุ่มคนดู
“ทุกท่าน เวลาเหลือไม่มาก เรารีบออกไปกันเถอะ” สื่ออิ่นเตือน ก่อนรู้สึกโลภขึ้นมาอีก เหลือบตามองหม้อคืนสภาพ
ขากลับ กลุ่มคนเดินเร็วขึ้นกว่าขามามาก ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ออกจากถ้ำ มาถึงข้างน้ำตกแล้ว
โจวจงอวี่เห็นโล่ขนาดใหญ่ของตนยังอยู่ ก็โล่งอก รีบวิ่งไปแบก “ฮี่ๆ ไปกันเถอะ”
“รอเดี๋ยว” ซื่อเหนียงพลันชะงักฝีเท้า
“ซื่อเหนียง ทำไมไม่ไปล่ะ” เวยเซิงลิ่วเดินตุปัดตุเป๋เข้าหา
ซื่อเหนียงเหลือบมองกลุ่มคน พลางพูดอย่างแปลกใจ “อาโส่วบอกว่า จะออกมากระตุ้นหม้อคืนสภาพ”
นักพรตจื่อซีปรบมือ “เห็นทีข้ายังเดาถูกอยู่ หม้อคืนสภาพ ต้องถูกส้มโอมือเก้าดวงใจกระตุ้นจริงๆ”
ซื่อเหนียงยิ้มกังวล “อาโส่วยังว่า หลังจากที่มันออกมา ดอกทิวาราตรีย่อมต้องรู้อย่างรวดเร็ว และพวกมันก็ต้องสู้กันอย่างหนัก ใครแพ้ใครชนะ ก็ต้องดูว่าเราจะประสบความสำเร็จในการหยุดยั้งสุริยันจันทร์ปรากฏ หรือไม่”
“นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ซื่อเหนียง เชิญอาโส่วออกมาเถิด” นักพรตจื้อจั้นพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
ซื่อเหนียงพยักหน้า จากนั้นก็ใช้นิ้วกดแหวนหยกเบาๆ แสงสีทองกะพริบ คนตัวเล็กเปลือยบั้นท้ายปรากฏขึ้นตรงหน้ากลุ่มคน
อาโส่วมีสีหน้าจริงจัง “หม้อคืนสภาพอยู่ไหน”
นักพรตจื้อจั้นรีบส่งหม้อคืนสภาพให้
อาโส่วยื่นมือมารับ พอเห็นว่าเป็นหม้อคืนสภาพตามความทรงจำที่ตนเคยเห็น ใบหน้าเล็กๆ ที่เคร่งเครียดก็เผยรอยยิ้มออกมา ถือหม้อไว้ ทำแก้มป่อง เป่าลมหายใจสีทองออกมา
ลมหายใจสีทองห่อหุ้มหม้อคืนสภาพ แสงวิญญาณกะพริบบดบังสักพัก หม้อที่มีลักษณะมัวหมองไม่สว่าง ก็พลันเปลี่ยนเป็นเงางามและโปร่งใสขึ้นมา
“อย่างน้อยในเค่อหนึ่ง ดอกทิวาราตรีต้องพบเห็นข้า พวกเจ้ารีบจดจำคาถารูปแบบค่ายกลที่สลักอยู่บนหม้อคืนสภาพไว้!” อาโส่วโยนหม้อคืนสภาพขึ้นกลางอากาศ หม้อพลันมีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมอักษรคาถารูปแบบค่ายกลที่เห็นได้อย่างชัดเจน
กลุ่มคนรีบจดจำอย่างรวดเร็ว
ภูเขาโยกไปมาสักพัก ต้นไม้รอบด้านเติบโตอย่างบ้าคลั่ง พุ่งทะลุเมฆขึ้นไปตรงๆ ปิดฟ้าไปครึ่งหนึ่ง
อาโส่วเหาะขึ้นฟ้าดุจดาวตก เสียงเล็กๆ ก้องกลางเวหา “อามู่ ไม่ได้เจอกันนาน เจ้ายังชอบทำอะไรเอิกเกริกเหมือนเดิม”
เสียงหญิงสาวผู้หนึ่งดังมา “ข้ารู้อยู่แล้วว่า ต้องเป็นเจ้าที่ชอบขัดขวางความสุขของข้า! หึๆ ครั้งนี้ข้าเป็นฝ่ายได้เปรียบ เจ้าไม่มีทางสมหวังหรอก”
“เช่นนั้นก็ลองดูกัน”
“เฮอะ เจ้าผนึกข้ามานับหมื่นปี ทำให้ข้าไม่ได้เห็นตะวัน บัญชีนี้ ควรสะสางให้ดีๆ เสียที” หญิงสาวพูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เสียงปะทะกันรุนแรงดังมา สั่นสะเทือนเลือนลั่นทั่วฟ้า เมฆแต่ละก้อนกระจายหายตามแรงสั่นสะเทือน อสูรปีศาจนับไม่ถ้วนวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น คล้ายวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึงก็มิปาน
พอดอกไม้ประหลาดกับส้มโอมือสู้กันขึ้นมา กลุ่มคนพลันพบว่า พลังลึกลับที่กำราบพวกเขาไว้ไม่ให้ใช้สมบัติวิเศษเหินหาวได้หายไปแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะแยกย้ายกันเหาะกลางอากาศ แล้วนำคาถารูปแบบค่ายกล บนหม้อคืนสภาพ ไปวางไว้ตรงจุดเปราะบางที่สุดซึ่งวงโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะมาบรรจบกัน ต่อด้วยการเรียงลำดับค่ายกล และท่องคาถาอย่างต่อเนื่อง แสงวิญญาณแต่ละสีจึงกลับเข้าสู่หม้อคืนสภาพ
พอหม้อคืนสภาพดูดเก็บพลังวิญญาณของกลุ่มคน ก็กะพริบแสง แล้วเอามารวมกันกลางหม้อ กลายเป็นแสงวิญญาณไร้สีสายหนึ่ง ค่อยๆ พุ่งขึ้นด้านบน
กลุ่มคนเห็นได้อย่างชัดเจน ที่แท้ประโยชน์ของแสงวิญญาณไร้สี คือทำให้วงโคจรของดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ ค่อยๆ เปลี่ยนตำแหน่งไปจากเดิม ตะวันกับจันทราที่เคลื่อนเข้าใกล้กันเรื่อยๆ เริ่มห่างออกจากกันแล้ว
พอเห็นความหวัง กลุ่มคนก็มีสีหน้าดีใจ
แต่ในตอนนี้เอง แสงที่หม้อคืนสภาพเปล่งออกมาพลันกะพริบอย่างแรงโดยไม่รอให้กลุ่มคนตอบสนอง ตามด้วยเสียงดัง ปัง หม้อคืนสภาพระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ หล่นลงบนพื้น
สีหน้ากลุ่มคน เปลี่ยนเป็นสีดินทันที
“ฮ่าๆ อาโส่ว เจ้านึกว่าหม้อคืนสภาพที่พวกเขาหามา สามารถเปลี่ยนชะตาฟ้าหรือ” เสียงหัวเราะอย่างอหังการของหญิงสาวสะเทือนไปถึงแก้วหู ทำเอากลุ่มคนปวดหูไปตามๆ กัน
“เจ้าหมายความว่าอะไร” เสียงตื่นตระหนกของอาโส่วดังมา
ได้ยินหญิงสาวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “หรือเจ้าลืมไปแล้วว่า สำนักไป่ฮวา…มีหม้อวิเศษจริงกับปลอม!”