พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 562 มองทะลุใจมาร
“ลั่วหยาง เจ้ามาได้อย่างไร” เสวียนหั่วเจินจวิน เห็นเยี่ยเทียนหยวนเร่งรีบมาด้วยความเหนื่อยล้า ก็ตกใจเสียจนพัดในมือเกือบร่วงหล่น
เยี่ยเทียนหยวนมองไปที่มั่วชิงเฉิน เพราะเขาฝืนใช้กำลังคนเดียวทำลายเขตแดน ซ้ำยังห้อตะบึงมาจนถึงที่นี่ จึงหมดเรี่ยวแรงแต่แรกแล้ว น้ำเสียงแหบพร่าอยู่บ้างเอ่ยว่า “เลยกำหนดออกจากโลกดวงดาวมาสองปีแล้ว ลั่วหยางรู้สึกกังวล”
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสองสามคนแอบยิ้ม
อันที่จริงผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกับพวกเขามีคู่บำเพ็ญเพียรมีอยู่ไม่มากนัก ไม่ใช่เพราะการบำเพ็ญยิ่งสูงก็ยิ่งไร้หัวใจ แต่เป็นเพราะยากจะหาคนที่เหมาะสม
ถึงแม้เยี่ยเทียนหยวนจะมีระดับการบำเพ็ญขั้นเดียวกันพวกเขา แต่เมื่อเปรียบอายุกลับเด็กกว่ามาก คนจำนวนไม่น้อยเขาระหกระเหินมาตามภรรยา ก็เกิดความรู้สึกเหมือนผู้อาวุโสมองผู้เยาว์รุ่นหลัง
ซู่ฉิงเจินจวินมองเยี่ยเทียนหยวนจากนั้นก็มองมั่วชิงเฉิน แววตาเผยความอิจฉา ลอบเบือนตามองกู้หลีคราหนึ่ง
เหมือนกับว่าก็กู้หลีไม่สังเกตเห็นสายตาของนาง เพียงยิ้มมองเยี่ยเทียนหยวน
“นี่ สหายลั่วหยาง เจ้าเข้ามาในแดนสวรรค์มี่หลัวตูได้อย่างไรกัน” ปีศาจบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดผู้หนึ่งเอ่ย
คนทั้งหมดค่อยตระหนักได้ว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง
พวกเขาเข้ามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน แต่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดจากทั้งสามฝ่ายรวมพลังกันทำลายเขตแดนเปิดทางเข้ามา ตอนนี้หาใช่เวลากำหนดเปิดเขตแดน เล้วเยี่ยเทียนหยวนเข้ามาได้อย่างไรกัน
เยี่ยเทียนหยวนกระชับมือขวา
ที่เขาบุกข้ามแดนสวรรค์มาโดยลำพังได้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับอิทธิฤทธิ์หลังจากเข้ากักตัวบำเพ็ญเพียรมาตลอดหลายปี
ในด่านถามตอบมั่วชิงเฉินตอบว่ามรรคาของตนเองคือ ‘คืนปฐม’ คำว่า ‘คืนปฐม’ สองคำนี้เป็นรากฐานของมรรคาจิตนาง ภายหน้าเมื่อได้รับอิทธิฤทธิ์ก็จะเกี่ยวพันกับคำนี้
ส่วนมรรคาของเยี่ยเทียนหยวนกลับเป็นคำว่า ‘รักแท้’
คำว่า ‘รัก’ ในที่นี้ หาใช่ความรักของชายหญิง แต่เป็นความรักที่แท้จริงๆ ที่ตนเองมีต่อสรรพสิ่ง
ความรักที่แท้จริงของมนุษย์ ไม่มีอะไรสั่นคลอนล้มลงได้ ราบรื่นไม่สะดุด ยามที่เขาสงบใจ ปิดประตูกักตัวค่อยๆ ตระหนักถึงจุดนี้ ดังนั้นอิทธิฤทธิ์แรกที่เขาสำเร็จก็คือ รักแท้ตัดสะบั้น
ใช้ความรักเป็นจิตวิญญาณ ใช้ไฟพิสดารเป็นรูปลักษณ์สร้างดาบเพลิงอัคคีม่วง หากระดับบำเพ็ญสูงขึ้น พลังก็จะมากขึ้นถึงขั้นตัดสะบั้นความว่างเปล่าได้
แน่นอนว่าเยี่ยเทียนหยวนในเวลานี้ยังไม่อาจทำได้ ฝืนใช้พลังตัดเขตแดนวิญญาณก็เป็นพลังทั้งหมดของเขาแล้ว
ต่อให้เป็นเช่นนี้ ในสายตาของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่นี่ก็ยากจะคาดคิดได้
“ฝ่าเขตแดนเข้ามา” เมื่อปิดบังไม่ได้เขาตอบตามสัตย์
ทุกคนต่างจิตใจสั่นสะท้าน นอกจากเสวียนหั่วเจินจวินแล้ว ในตอนที่คนอื่นๆ จับจ้องไปยังเยี่ยเทียนหยวนก็ถอนสายตาแบบผู้อาวุโสมองผู้เยาว์กลับไปแล้ว
นับตั้งแต่บัดนี้ไป ความสามารถของเยี่ยเทียนหยวนถึงได้รับการยอมรับจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน นับว่าเข้ากลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรสู่ระดับก่อกำเนิดอย่างแท้จริง
เยี่ยเทียนหยวนหาได้ใส่ใจสายตาคนรอบข้าง เขาจับจ้องมั่วชิงเฉินอยู่ตลอด
เห็นสีหน้านางโศกเศร้ายินดีอย่างไร้เหตุผล เริ่มจากความสิ้นหวังในตอนแรก เจ็บปวด โศกเศร้า โมโห สีหน้าอารมณ์ต่างๆ บังเกิดขึ้น ภายหลังก็ค่อยๆ สงบลง ความกังวลใจที่มีมาตลอดค่อยคลายลงแล้ว
แต่เมื่อมองต่อไป เรียวคิ้วกลับขมวดแน่น
มั่วชิงเฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศยังไม่ลืมตาขึ้นมา สีหน้าสงบนิ่งเปลี่ยนไปเรียบเฉย จนถึงขั้นเฉยชา
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ตามหลักแล้ว ยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรเข้าสู่ด่านใจมารแว้งกัด เมื่ออารมณ์สงบลงได้ ก็สมควรฝ่าด่านใจมารสำเร็จ เข้าสู่ปรากฏการณ์แห่งสวรรค์ ทะลวงสู่ระดับต่อไปได้ แต่สีหน้าของมั่วชิงเฉินเหตุใดถึงกลับไปเฉยชาอีกครั้ง
เยี่ยเทียนหยวนกำหมัดแน่น ในฝ่ามือมีเหงื่อเย็นเยียบซึมออกมา
ยามผู้บำเพ็ญเพียรอยู่ในด่านใจมาร หากสีหน้าเปลี่ยนไปเฉยชาละก็ นั่นก็หมายความว่านางยอมรับชีวิตในโลกลวงตาที่ใจมารสร้างขึ้นมาแล้ว จิตตกอยู่ในภาพลวง ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือถูกใจมารกัดกิน ดับสูญไป
“ชิงเฉิน ข้าอยู่ข้างเจ้า เจ้าลืมตาขึ้นมาสิ ชีวิตในโลกลวงตางดงามเพียงใดก็ตาม ขอเพียงเจ้าลืมตาขึ้นมา ข้าจะช่วยทำให้มันเป็นจริงในโลกนี้ให้ได้” เยี่ยเทียนหยวนลูบมุกผูกมัดใจเดียวที่ข้อมือ กล่าวซ้ำๆ ด้วยกระแสจิต
มุกผูกมัดใจเดียวบนข้อมือมั่วชิงเฉินทอประกาย
…
ภายในโลกลวงตาของใจมาร
เวลาผ่านไปอีกหลายสิบปี มั่วชิงเฉินแก่ตัวลงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินไม่สะดวกอีกแล้ว เวลาส่วนมากของนางคือนอนอยู่ในห้องที่ร้านหมอยา
เยี่ยเทียนหยวนกลัดกลุ้มกังวลใจ ตัดสินใจเดินทางไปยังทุ่งชื่อจ่าวเด็ดหญ้าเซียนที่ช่วยชะลอการแก่ชราของมนุษย์ได้
“เทียนหยวน ท่านไม่ต้องไปแล้ว ข้าแก่จนขยับไม่ได้อีก เร็วขึ้นวันหนึ่งหรือช้าอีกวันหนึ่งก็ไม่ต่างกันมากหรอก” มั่วชิงเฉินยิ้มน้อยๆ
เยี่ยเทียนหยวนเจ็บปวดก้มหน้าลง ลูบมือเหี่ยวแห้งของมั่วชิงเฉินครั้งแล้วครั้งเล่า “ต่างกันมาก สำหรับข้าแล้วต่างกันมาก ชิงเฉิน ข้าต้องการให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อ”
มั่วชิงเฉินยิ้มมุมปากอย่างกินแรง “ข้าเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง มีชีวิตถึงร้อยกว่าปีก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว เทียนหยวน ในช่วงเวลาสุดท้ายนี้ ไม่สู้ท่านอยู่ข้างๆ ข้า ระ..รอชาติหน้าค่อยตามหาข้า…”
เยี่ยเทียนหยวนเงยหน้าขึ้นมาอย่างแรก แววตายืนหยัดหนักแน่น “ไม่ ชิงเฉิน เดิมข้าคิดว่าอยู่กับเจ้าไปชั่วชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ตอนนี้ข้าเสียใจแล้ว ต่อให้ไม่มีโอกาสฟื้นคืนอีก ขอเพียงแสวงหาทางไปเรื่อยๆ ไม่ว่าเจ้าหรือว่าข้า ล้วนแต่ต้องมีความคิดถึง ข้าไม่อยากตามหาเจ้าในชาติหน้า มีแต่เจ้าในตอนนี้เท่านั้น ถึงเป็นชิงเฉินของข้า”
พูดจบแล้ว เยี่ยเทียนหยวนมองมั่วชิงเฉินด้วยสายตาล้ำลึกคราหนึ่ง หมุนกายจากไป
มั่วชิงเฉินฝืนหยัดกายนั่งขึ้นมา เหม่อมองท้องฟ้าพร่าเลือน
ตั้งแต่หลายปีก่อนหน้า นางมองอะไรก็พร่าเลือนไปหมดแล้ว
“ข้าทำผิดมาตลอดเลยใช่หรือไม่” มั่วชิงเฉินยกมือเหี่ยวแห้งของตน บ่นพึมพำ
เวลานี้เอง ด้านนอกพลันมีเสียงดังขึ้น
“นี่ พี่ใหญ่ ท่านดูนี่เร็ว ร้านหมอยานี่แปลกนักเชียว”
“เป็นอะไรหรือ น้องเล็ก” เสียงของผู้ชายทุ้มต่ำน่าฟัง
มั่วชิงเฉินหรี่ตาลงด้วยความคุ้นเคย
ความจำของนางย่ำแย่ลงทุกที ไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงหนึ่งชายหนึ่งหญิงนี่นัก
“พี่ใหญ่ท่านดูสิ ในยาหลายตัวพวกนี้มีส่วนผสมของโอสถเซียนด้วย” เสียงของหญิงสาวสดใส ฟังแล้วน่าจะเป็นหญิงสาวอายุสิบแปดสิบเก้าปี
สีหน้าของผู้ชายหนักแน่นขึ้นมาก “น้องเล็ก ดูท่าพวกเราต้องไปเยี่ยมเยียนเจ้าของที่นี่เสียหน่อยแล้ว”
“แย่แล้ว!” มั่วชิงเฉินร้องเบาๆ
ยังไม่ทันลงจากเตียง ก็ได้ยินเสียงยินดีปรีดาของหญิงสาวดังขึ้นมาอีก “พี่ใหญ่ ท่านดูสิ ในเรือนนี้มีอสูรเขาเดียวด้วย!”
มั่วชิงเฉินหน้าซีดเซียวราวหิมะขาวในทันที
นับตั้งแต่นางสูญเสียรากวิญญาณไป สัญญาที่ทำกับอสูรทั้งสามก็สลายไปโดยปริยาย
หมาป่าน้อยถือกำเนิดมาเป็นราชันย์ นางอดทนเห็นมันเป็นสุนัขเลี้ยงไม่ได้ ถึงได้ฝืนใจไล่มันไปที่ดินแดนรกร้าง
อีกาไฟชอบความครึกครื้น นางปล่อยให้มันเป็นอิสระ เพียงแต่เจ้านี่มักบินกลับมาเยี่ยมเยียนหลายปีครั้ง ส่วนที่อยู่ของมันยามปกติ มั่วชิงเฉินหาได้ถามมากความ
มีแต่เขาน้อยที่นิสัยไร้เดียงสา ทั้งสูญเสียการติดต่อกับฝูงไปนานแล้ว เป็นตายก็ไม่ยอมจากไป เยี่ยเทียนหยวนจะใช้อาคมพิเศษปิดบังเขาเดียวของมันไว้ เลี้ยงเหมือนม้าขาวในเรือน
แต่วิชากำบังนี้ปิดบังคนธรรมดาได้ก็เท่านั้น หากผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงพบเข้า ก็ไร้ประโยชน์
“พี่ใหญ่ ข้าอยากได้…”
หญิงสาวยังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกผู้ชายตัดบทว่า “น้องเล็ก พวกเราสมควรไปคารวะเจ้าของที่นี่เสียก่อน”
เสียงของเขาดังขึ้น “ไม่ทราบว่าเป็นที่เร้นกายของสหายท่านใด ข้าน้อยและน้องสาวรบกวนแล้ว”
เมื่อไม่พบการเคลื่อนไหว สองพี่น้องสบตากัน ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงดังอีกครั้ง คราวนี้ในห้องมีเสียงของหญิงชราส่งออกมา
หญิงชรานี้แก่หงำจนไม่อาจแก่ไปได้มากกว่านี้แล้ว ทุกฝีก้าวของนางโงนเงน ชวนให้ผู้พบเห็นหวั่นใจ
“เป็นคนธรรมดาหรือเนี่ย” หญิงสาวส่งสายตาดูแคลน แต่คลายใจลง เอ่ยกับผู้ชายตรงๆ ว่า “พี่ใหญ่ อสูรเขาเดียวตัวนี้ ข้าจะเอามันให้ได้”
ชายหนุ่มเห็นว่าผู้มาเป็นหญิงชรา ก็คลายใจเช่นกัน ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านยาย น้องสาวของข้าชอบอสูรเขาเดียวตัวนี้ มิทราบว่าราคาเท่าไร”
มั่วชิงเฉินความทรงจำถดถอยอย่างร้ายกาจ แต่เมื่อพบภาพเหตุการณ์คล้ายคลึงกับในอดีตเช่นนี้ ก็ยังทำให้ให้นางฉุกคิดถึงคู่พี่น้องที่คิดแย่งสัตว์อสูรของนางเมื่อหลายสิบปีก่อนได้
ครั้นเห็นมั่วชิงเฉินเดินออกมา เขาน้อยก็มาแล่นเข้าหา เลียด้วยความน้อยใจว่า “นายท่าน…”
“ฮี่ๆๆ พี่ใหญ่ ท่านได้ยินไหม อสูรเขาเดียวถึงกับเรียกยายแก่ว่านายท่าน” หญิงสาวหัวเราะร่า
มั่วชิงเฉินมองทั้งสอง “ทั้งสองท่านคงได้ยินแล้ว นี่คือสัตว์อสูรของข้า ไม่ขาย”
หญิงสาวเรียวคิ้วพาดเฉียงขึ้น “ไม่ขาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า!” พูดจบนางสะบัดชายเสื้อ กระแสลมหอบหนึ่งทำมั่วชิงเฉินล้มลง
“น้องเล็ก อย่าเหลวไหล นางเป็นแค่คนธรรมดา หากพวกเราทำร้ายนางถึงชีวิต จะก่อผลวิบากกรรมได้” ชายหนุ่มเอ่ยพลางเดินมาที่เบื้องหน้ามั่วชิงเฉิน เขาล้วงถุงเงินวางใส่มือนาง ไม่พูดพร่ำก็หันไปจูงเขาน้อย
เขาน้อยดิ้นรนด้วยชีวิต มั่วชิงเฉินโมโหจนแทบเป็นลมไปแล้ว โยนถุงเงินพุ่งเข้าไปหาเขาน้อย ทว่านางขาอ่อนล้มลงกับพื้น
เขาน้อยร้อนรน ใช้เขาเดียวแทงหญิงสาวเข้าอย่างจัง พุ่งตัวไปหามั่วชิงเฉิน
หญิงสาวเดือดดาล ทะยานตัวไปด้านหลังเขาน้อย คว้าปิ่นปักผมลงมาจากเรือนผม แทงที่เขาน้อยอย่างแรง
เขาน้อยร้องอย่างอนาถ น้ำตาไหลร่วงลงมา กลับยังวิ่งไปมั่วชิงเฉินด้วยชีวิต “นายท่าน เขาน้อยไม่ไปจากท่าน เขาน้อยไม่อยากไป…”
หญิงสาวใจดำอำมหิตนัก ใช้ปิ่นปักผมแทงลงไปอีกหลายครั้ง แผดเสียงว่า “ข้าไม่เชื่อว่าจะกำราบเดียรัจฉานอย่างเจ้าไม่ได้!”
ครั้นเห็นเขาน้อยไม่ตัดใจจากมั่วชิงเฉิน นางก็สะบัดแขนเสื้อ โจมตีที่อกมั่วชิงเฉิน
“น้องเล็ก!” ชายหนุ่มตำหนิ
“พี่ใหญ่ วางใจเถอะ ข้าไม่ทำนางตายหรอก ก็แค่เห็นว่าคนธรรมดาใกล้ตายอย่างนาง ยังทำให้สัตว์อสูรจงรักภักดีขนาดนี้ได้ ช่างขัดตาเหลือเกิน!” หญิงสาวกระโดดลงมา ฉุดลากเขาน้อยไปข้างมั่วชิงเฉิน ใช้เท้าเขี่ยหน้านาง
ครั้นเห็นมั่วชิงเฉินหลับตาแน่น ก็ร่ำร้องด้วยความแตกตื่น “ยายแก่ ยังไม่ตายใช่ไหม ฮึ คนธรรมดา อ่อนแอเสียจริง!”
เวลานี้ มั่วชิงเฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตาทั้งใสกระจ่างและเย็นเยียบ
จริงด้วย นางผิดไปแล้วจริงๆ!
ทำไมนางถึงคิดว่า การใช้ชีวิตที่ค่อยๆ แก่ตัวลงอย่างคนธรรมถึงจะเหมาะกับนาง ชีวิตเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยรับได้ด้วยซ้ำ
ความสงบที่มี ความนิ่งที่มีทั้งหมดก็แค่กำลังหลบหนี ใช้เหตุผลน่าขันกักขังตัวเอง จิตนาการว่าชาติหน้าจะเริ่มใหม่
เทียนหยวนกล่าวถูกแล้ว ชาติหน้าก็ไม่ใช่นางอีก แต่ชาตินี้ นาง มั่วชิงเฉิน ถูกกำหนดให้เดินหนทางแห่งการบำเพ็ญเซียน ถ้าเดินไปไม่ได้ ดับสูญอย่างภาคภูมิก็คุ้มค่าเช่นกัน!
การฝืนหายใจเฮือกสุดท้าย ชีวิตที่ต้องลำบากคนอื่นเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการอย่างเด็ดขาด!
เสียงสายฟ้าผ่าดังเปรี้ยง มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงแค่แจ่มใสขึ้นมาในชั่วพริบตา
คล้ายจะได้ยินเสียงร้องแตกตื่นของคน “รีบมาดูเร็ว สัตว์เทพจุติแล้ว!”