พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 564 ซูจื่อซีให้กำเนิด
“ศิษย์พี่จื่อซีนาง ดูเหมือนมีบางอย่างผิดปกตินะ” มั่วชิงเฉินคิดอยู่นาน จากนั้นก็ส่ายหน้า
ถึงกู้หลีจะเป็นอาจารย์ของมั่วชิงเฉิน แต่ถ้าพูดถึงอายุแล้วก็แก่กว่าไม่เท่าไหร่ แม้ระดับการบำเพ็ญในด้านความรู้จะลึกซึ้งกว่า แต่ด้านอื่นก็ไม่อาจเทียบได้กับผู้บำเพ็ญเพียรที่ใช้ชีวิตมากว่าพันปี เมื่อเห็นว่ามองสาเหตุไม่ออก ก็หันไปหาเสวียนหั่วเจินจวิน
เสวียนหั่วเจินจวินเองก็รู้สึกเป็นห่วงนักพรตจื่อซีอย่างมาก อาศัยประสบการณ์ที่ผ่านมานับพันกว่าปี คากไม่ถึงว่าก็ยังมองต้นสายปลายเหตุไม่ออก
“เรื่องของนางหนูจื่อซีนี่ ช่างประหลาดยิ่งนัก มันแปลกประหลาดจริงๆ”
“ท่านเทียด ท่านมองอะไรออกใช่หรือไม่ เรื่องของศิษย์พี่จื่อซีมีปัญหาใช่หรือไม่” มั่วชิงเฉินถาม
เสีวยนหั่วเจินจวินแดงก่ำไปทั้งหน้า กระแอมเบาๆ แล้วก็คิดว่า “พวกเจ้าดูทวารทั้งเจ็ดของนาง ทั้งที่ดึงดูดเอาพลังวิญญาณฟ้าดินเข้าไปอย่างบ้าคลั่งแท้ๆ แต่กลับไม่คลายมันออกมาสักนิด มีเข้าแต่ไม่มีออก ย่อมไม่สามารถสลายแก่น เห็นได้ชัดว่าในร่างกายมีสิ่งแปลกปลอมอะไรสักอย่างที่ดูดเอาพลังวิญญาณฟ้าดินไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด ช่างเป็นเรื่องแปลกเหลือเกิน”
“สิ่งแปลกปลอมหรือ” มั่วชิงเฉินย่นคิ้ว
หลายปีมานี้คบหาสนิทสนมกับนักพรตจื่อซี นางยืนยันได้ว่านักพรตจื่อซีไม่มีของแปลกปลอมอยู่ในร่างกาย แล้วในร่างกายจะมีสิ่งแปลกปลอมได้อย่างไร
ในขณะที่กำลังคิด ก็ได้ยินนักพรตปี้เหลยที่เลื่อนขั้นสำเร็จพูดขึ้นด้วยความตกใจว่า “ชิงเฉิน เจ้ารีบดูท้องของนักพรตจื่อซีเร็ว!”
เสียงนี้ทำให้สายตาผู้คนหันไปมองที่ท้องของนักพรตจื่อซี สามารถมองด้วยตาเปล่าก็เห็นว่าท้องของนางป่องขึ้นมา
“มันเกิดอะไรกันขึ้น” เสวียนหั่วเจินจวินดวงตาเบิกโพลงราวกับกระดิ่งทองแดง
ความสัมพันธ์ระหว่างกู้หลีและศิษย์พี่ผู้นี้ไม่ธรรมดา เมื่อเห็นท้องนางป่องขึ้นมาเรื่อยๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไป
“เหอกวง เจ้ากลับมานะ” เสวียนหั่วเจินจวินตะโกนร้อง “จื่อซีกำลังทะลวงระดับก่อกำเนิด หากถูกรบกวน จะส่งผลร้ายอย่างมาก”
กู้หลีสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้าเบาๆ ยกมือขึ้นหนึ่งที เส้นไหมเส้นหนึ่งก็พุ่งออกไป พันไปเบาๆ บนข้อมือของนักพรตจื่อซี
สงบสตินิ่งฟัง ทันใดนั้นก็สีหน้าตะลึง
“อาจารย์ ศิษย์พี่จื่อซีเป็นอะไรหรือ” มั่วชิงเฉินถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
กู้หลีมองไปยังมั่วชิงเฉิน แล้วหันไปมองเสวียนหั่วเจินจวิน “ศิษย์พี่เสวียนหั่ว ในกายจื่อซี มีสัญญาณชีวิตอีกดวง!”
“ข้าบอกแล้ว นางหนูนี่ต้องถูกสิ่งแปลกปลอมเข้าแฝงในร่างกาย” เสวียนหั่วเจินจวินถอนหายใจออกมา
กู้หลีสีหน้าประหลาดใจ พูดเสียงเบาว่า “เหอกวงคิดว่า อาจจะไม่ใช่สิ่งแปลกปลอม”
“ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมแล้วคืออะไรกัน ท้องใหญ่ถึงเพียงนี้ คงไม่ได้ตั้งครรภ์หรอกกระมัง” เสวียนหั่วเจินจวินเบะปาก
กู้หลีเม้มมุมปาก ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ดวงตาเสวียนหั่วเจินจวินค่อยๆ เบิกโพลง “เป็นไปไม่ได้ หรือว่านางจะตั้งครรภ์แล้ว”
เขาพูดเสียงดัง จนผู้คนได้ยิน สายตาที่มองไปยังนักพรตจื่อซี แฝงด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง
นักพรตจื่อซีและนักพรตหมิงจ้าวในฐานะลูกศิษย์ของผู้เฒ่าไท่ซ่างประมุขสูงสุดแห่งพรรคเหยากวง มีชื่อเสียงอย่างมากในโลกของการบำเพ็ญเพียร การเข้าคู่บำเพ็ญของทั้งสองเป็นที่รู้กันของผู้คน แต่นักพรตจื่อซีกลับเข้าสู่แดนสวรรค์มี่หลัวตูสิบกว่าปีถึงตั้งท้อง ความตื่นเต้นจากเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้ กลายเป็นเรื่องซุบซิบอันดุเดือดของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน
มั่วชิงเฉินกลับรู้สึกสมองตื้อ มีคำสองคำผุดขึ้นในความทรงจำ…ครรภ์เร้น
เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของการซุบซิบนินทาที่ดุเดือดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มั่วชิงเฉินก็ทำทีเป็นถอนหายใจ หัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “ที่แท้ศิษย์พี่จื่อซีก็ตั้งท้องนี่เอง ช่างประเสริฐยิ่งนัก ไว้รอออกไปนักพรตหมิงจ้าวคงดีใจน่าดู”
ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยหลุดเสียงหัวเราะออกมา
เสวียนหั่วเจินจวินพูดขึ้นด้วยเสียงเก้อเขิน “แค่กๆ นางหนูชิงเฉิน อย่าพูดเลอะเทอะ จื่อซีนางจะตั้งท้องได้อย่างไรกัน”
เดิมทีเขาก็รู้สึกโกรธตัวเองที่หลุดปากพูดออกมา จนถูกคนอื่นหัวเราะ ตอนนี้ได้ยินมั่วชิงเฉินพูดเช่นนั้น ไม่เท่ากับว่าทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นจริงขึ้นมาหรือ
มั่วชิงเฉินกลับดูออก ท้องของนักพรตจื่อซีใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าใกล้จะคลอดเต็มที หากปิดบังต่อไปคงจะทำให้ชื่อเสียงเสียหาย ไม่สู้อาศัยจังหวะสร้างความบริสุทธิ์ให้นาง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านเทียด ชิงเฉินเคยอ่านพบในบันทึกเรื่องแปลกเล่มหนึ่ง ด้วยเหตุเฉพาะบางอย่าง เป็นไปได้ที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงจะตั้งครรภ์แอบเร้น ครรภ์เช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดก็หลายปี อย่างมากอาจจะถึงสิบปีหรือแม้กระทั่งร้อยปีถึงจะเห็นสัญญาณ และเมื่อสัญญาณปรากฏ ก็ใกล้ถึงเวลาคลอด ท่านดูสภาพของจื่อซี หากนางตั้งครรภ์ปกติ จู่ๆ ไยท้องจึงป่องขึ้นมาทันทีเช่นนี้”
ผู้คนทั้งหลายต่างคิดตาม
ซู่ฉิงเจินจวินถามขึ้นอย่างรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “มีสิ่งที่เรียกว่าครรภ์เร้นด้วยหรือ ชิงเฉิงเจินจวินช่างรอบรู้ยิ่งนัก”
มั่วชิงเฉินหรี่ตาแล้วพูดว่า “ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่มีสิ่งใดไม่แปลก ผู้น้อยบังเอิญได้รู้มาก็เท่านั้น”
ผู้คนถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ในใจกลับเห็นด้วยกับคำพูดของมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินแอบรู้สึกโล่งอก โชคดีที่นางได้ยินเรื่องครรภ์เร้นจากฝูเฟิงเจินจวินที่หุบเขาไร้วิญญาณ ไม่เช่นนั้นแล้วนักพรตจื่อซีคงยากที่จะหาคำอธิบายมาแก้ตัวได้
นักพรตจื่อซีท้องใหญ่จนน่ากลัว ทันใดนั้นก็ส่งเสียงครางออกมา ตะแคงตัวไปด้านข้าง แล้วพลิกตัวด้วยความเจ็บปวด
“นี่…หรือว่าจะคลอดแล้ว” นักพรตปี้เหลยถามด้วยความตื่นเต้น
บรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แล้วเลื่อนสายตาไปมองบนหน้าเสวียนหั่วเจินจวิน
“จะจ้องข้าทำไมกัน” เสวียนหั่วเจินจวินเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกร้อนตัว พูดด้วยความโมโห
“แค่กๆ สหายเสวียนหั่ว เจ้ามีลูกหลานไม่ใช่หรือ” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนหนึ่งเตือนความจำเขา
“อืม” เสวียนหั่วเจินจวินพยักหน้า ทันใดนั้นก็ได้สติกลับ แล้วตะคอกว่า “ข้ามีลูกหลานแล้วมีประโยชน์อะไร ทุกท่าน พวกเจ้ามีกันหลายคน ไม่มีคนที่เคยคลอดลูก หรือว่าเคยเห็นมาก่อนบ้างหรือ”
ผู้คนต่างส่ายหน้าสีหน้าหนักอึ้ง
อีกด้านหนึ่ง เสียงครางของนักพรตจื่อซีดังขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าซีดขาว เหงื่อผุดพรายไปทั่ว
“นี่ไม่ได้การแล้ว” กู้หลีเดินก้าวเข้าไปก้าวใหญ่ แล้วอุ้มนักพรตจื่อซีขึ้น
“เหอกวง เจ้า…”
“ศิษย์พี่เสวียนหั่ว สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ มีเพียงแต่พวกเราต้องรีบไปจากดินแดนวิญญาณให้เร็วที่สุด แล้วตามหมอตำแยมาให้จื่อซี” กู้หลีน้ำเสียงทุ้มต่ำอ่อนโยน แฝงด้วยพลังในการปลอบประโลมคน
“อา…ใช่ๆ พวกเรารีบไปกัน”
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดซึ่งปกติเพียงแค่ขยับเท้าก็สามารถทำให้ทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรสั่นสะเทือนเหล่านี้ พอได้เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงใกล้คลอดก็สีหน้าเซ่อซ่ากันหมด พอได้ยินคำพูดของกู้หลีว่าเช่นนั้นก็ราวกับตื่นจากฝัน
ผู้คนต่างรีบทยอยกันไปจากที่แห่งนี้ พอถึงปากทางก็ร่วมกันร่ายอาคม ทลายเขตแดนออกไป
ในวินาทีที่กำลังจะหลุดออกจากแดนสวรรค์มี่หลัวตูไปยังดินแดนเทียนหยวน ทันใดนั้นท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี สายลมเมฆหมอกแปรปรวน ฟ้าร้องคำรามผ่า รอบกายผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งผ่านระดับสิบสามคนรายล้อมไปด้วยแสงวิญญาณ ถูกพลังลึกลับดึงหลังเอาไว้ลอยอยู่กลางอากาศ
ภาพจำแลงของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสิบสามคนขยายใหญ่ขึ้นอย่างหาที่เปรียบได้ ด้านหลังของภาพจำแลงรายล้อมไปด้วยสัตว์อสูรประหลาดนับร้อยที่ปรากฏเมื่อเข้าสู่บรรลุระดับกำเนิดที่แดนสวรรค์มี่หลัวตู
ทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรต่างสั่นสะเทือน
ไม่ว่าจะผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำหรือสูง ไม่ว่าจะอยู่มุมใดของดินแดน เพียงแค่เงยหน้า ก็สามารถมองเห็นภาพจำแลงของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสิบสามคนนี้ได้
“พวกเจ้ารีบดูสิ ภาพจำแลงบนฟ้านั่นมันอะไรกัน หรือว่ามีเซียนลงมาจากสวรรค์” นอกเมืองของเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ชายขอบไกลออกไป มีผู้บำเพ็ญเพียงระดับหลอมลมปราณรวมตัวกันอยู่จำนวนหนึ่ง ต่างเงยหน้าขึ้นมอง สีน่าตื่นเต้น
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสองคนผ่านมาเห็นฉากอัศจรรย์ก็ร่อนลง ยืนอยู่ข้างผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณเหล่านั้นแล้วพูดขึ้นอย่างไม่อาจปกปิดความตื่นเต้นไว้ได้ “ปรากฏการณ์สวรรค์ระดับก่อกำเนิด นี่คือปรากฏการณ์สวรรค์ระดับก่อกำเนิด!”
“ระดับก่อกำเนิดหรือ” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณเหล่านั้นตาโต พูดขึ้นอย่างตกใจ “เช่นนั้นไยจึงมีภาพจำแลงสิบสามร่าง หรือว่าหลังจากเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดแล้ว ก็จะสามารถแยกร่างได้กัน”
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งพูดขึ้น “ไม่ใช่แยกร่าง นี่…นี่มันคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดพร้อมกันสิบสามคน”
คำพูดเช่นนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณตื่นตะลึงเสียยิ่งกว่าที่เข้าใจว่ามีเซียนลงมาจากสวรรค์ ต่างร้องด้วยความประหลาดใจขึ้นพร้อมกันว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรสิบสามคนบรรลุระดับก่อกำเนิดพร้อมกันหรือ สวรรค์ ข้าไม่ได้กำลังฝันอยู่ใช่ไหม”
ณ เมืองบำเพ็ญเซียนอีกแห่งหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรมารวมตัวกันอย่างแน่นหนาอยู่ภายนอกด้วยเหตุการณ์บนท้องฟ้า ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักคนหนึ่งเงยหน้าแล้วหัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆ ได้เห็นผู้บำเพ็ญเพียรสิบสามคนบรรลุระดับก่อกำเนิดพร้อมกัน ชีวิตก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว!”
ในนาทีนั้นเอง ดินแดนแห่งการบำเพ็ญเพียรต่างก็ฮือฮากันขึ้นมา เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรบ้างร้องไห้บ้างหัวเราะ สับสนอลหม่านไปทั่ว
พรรคเหยากวงที่ไกลออกไปหลายแสนลี้ บรรดาลูกศิษย์นับพันนับหมื่นต่างจ้องมองไปยังภาพจำแลงของมั่วชิงเฉินบนท้องฟ้าอย่างตื่นเต้นจนลืมตัว
“ดูนั่นเร็ว อาจารย์อามั่วบรรลุระดับก่อกำเนิดแล้ว สวรรค์ นางอายุยังไม่ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบปีเลยไม่ใช่หรือ” ลูกศิษย์คนหนึ่งพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น
“เรื่องนี้ข้าก็รู้ ชิงเฉิงเจินจวินตอนนี้อายุหนึ่งร้อยสามสิบหกปี นางบรรลุระดับก่อกำเนิดยังเร็วกว่าลั่วหยางเจินจวินตั้งสามปี”
“ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นตอนอายุร้อยปีหากการบำเพ็ญเพียรราบรื่น ก็แค่เพียงระดับก่อแก่นปราณ สวรรค์ ชิงเฉิงเจินจวินและลั่วหยางเจินจวินสมกับเป็นคู่รักผู้บำเพ็ญเพียร เป็นคู่ตัวร้ายจริงๆ!”
“แต่ว่า…ภาพจำแลงบนท้องฟ้าของชิงเฉิงเจินจวินไยจึงเป็นหมูตัวหนึ่งเล่า” ลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักถามขึ้นเบาๆ
บรรดาศิษย์ทั้งหลายต่างเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง แล้วพูดขึ้นพร้อมกันว่า “พอเถอะ พวกเราทายกันมาตลอดว่าภาพจำแลงบนท้องฟ้ายามบรรลุระดับก่อกำเนิดของชิงเฉิงเจินจวินน่าจะเป็นก้อนอิฐ”
พร้อมกันนั้นก็มีเสียงร้องโอดครวญขึ้นมาว่า “จบกันๆ ข้าพนันไว้ว่าเป็นอีกา คราวนี้แพ้ยับเลย!”
หลิวซางเจินจวินและเหิงตั๋วเจินจวินยืนขึ้นเคียงไหล่กัน เงยหน้ามองไปยังขอบฟ้า
“ศิษย์พี่ประมุข ยินดีด้วย” เหิงตั๋วพูดยิ้มพริ้ม
“เช่นกันๆ” หลิวซางเจินจวินพยักหน้าอมยิ้ม แววตาฉายความกังวลวาบหนึ่ง
ในสิบสามคนนั้น ไม่มีจื่อซี
ไม่ใช่เพราะว่าเขาลำเอียง ตอนก่อนจะเข้าสู่แดนสวรรค์มี่หลัวตูนักพรตจื่อซีได้ทะลวงระดับกำเนิดถึงสองครั้ง แต่มั่วชิงเฉินเป็นเพียงระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายเท่านั้น หากจะมีใครสักคนบรรลุระดับกำเนิด เขาย่อมคิดว่าเป็นจื่อซีแน่
หรือว่า จื่อซีจะดับสูญไปแล้ว
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ หลิวซางเจินจวินก็สีหน้าบึ้งตึงขึ้นมา บอกลาเหิงตั๋วเจินจวินแล้วก็รีบบินไปยังห้องลับที่เก็บตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของนักพรตจื่อซี
ที่เทือกเขาหมิงสยา
มั่วเฟยเยียนมองไปยังภาพจำแลงบนท้องฟ้า ใบหน้าที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็งอมยิ้ม พูดพึมพำขึ้นว่า “น้องสิบหก ยินดีกับเจ้าด้วย แดนสวรรค์มี่หลัวตู ครั้งนี้ ข้าจะไม่พลาดเป็นอันขาด”
บนภูเขาเขียวชอุ่มที่ไม่มีชื่อลูกหนึ่ง ต้วนชิงเกอมองเหม่อไปบนท้องฟ้าจนลืมเก็บสมุนไพรวิญญาณ
ถังมู่เฉินตามเข้ามาสมทบเงียบๆ ยิ้มยิงฟันขาว “ดีเหลือเกิน น้องสาวข้าเก่งกาจจริง น้องชิงเกอ พวกเรารีบกลับไปเหยากวงกันเถอะ ไปร่วมพิธีบรรลุระดับกำเนิดของชิงเฉิน”
ต้วนชิงเกอชำเลืองมองถังมู่เฉินปราดหนึ่ง แล้วพูดขึ้นเสียงเรียบ “สหายถัง เรียกข้าว่าซู่เหยียน” พูดเสร็จก็ยกกระบุงยาสมุนไพรขึ้น แล้วเหยียบลงบนสมบัติวิเศษเหินหาวรูปนกพิราบขาวบินไปยังเหยากวง
ถังมู่เฉินเกาศีรษะ แล้วรีบตามออกไปโดยเร็ว “นี่ๆ น้องชิงเกอ อย่าเห็นกันเป็นอื่นไกลอย่างนี้สิ…”
ในขณะที่ทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรต่างตกอยู่ในความตื่นเต้น เสวียนหั่วเจินจวินผู้แตกต่างจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนอื่นกลับบินร่อนลงไปยังหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ๆ อย่างรีบร้อน แล้วตามหาหมอตำแยในหมู่บ้านเพื่อไปทำคลอดให้นักพรตจื่อซี
ผ่านไปสองสามชั่วยาม เสียงร้องไห้กระจองอแงของทารกน้อยก็ดังแว่วมา
พวกเสวียนหั่วเจินจวินสามคนที่รออยู่ข้างนอกสีหน้าจึงคลายลง จากนั้นก็ได้ยินเสียงของมั่วชิงเฉินพูดขึ้นด้วยความแปลกใจระคนยินดีว่า “โอ้ ยังมีอีกหนึ่งคน!”