พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 568 พบเจอหลิวหลิงจืออีกครั้ง
“คุณหนูใหญ่ทำไมหรือ” หญิงสาวอีกคนถามเสียงเรียบ
หญิงสาวคนก่อนหน้ายิ้ม “ศิษย์พี่ ข้าเดาว่าท่านไม่รู้หรอก”
“อย่ามาทำให้อยากแล้วจากไป ข้าเพิ่งออกจากการกักตนได้ไม่นาน เจ้าก็ใช่ว่าไม่รู้”
แม้คิดว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ หญิงสาวคนก่อนหน้าก็ยังกดเสียงลงตามสัญชาตญาณ “หลังจากคุณหนูใหญ่เข้าร่วมพิธีบรรลุระดับก่อกำเนิดของชิงเฉิงเจินจวินแห่งพรรคเหยากวง และออกเดินทางท่องโลกอยู่นานเพราะรู้สึกหดหู่ ที่สุดแล้วก็กลับสำนักมาได้ เมื่อไม่นานนี้เอง พวกเขาบอกว่า…คุณหนูใหญ่คล้ายเปลี่ยนไปเป็นคนละคน”
“เปลี่ยนไปเป็นคนละคนหรือ คำพูดนี้หมายความว่าอะไร”
หญิงสาวพูดเสียงต่ำ “อารมณ์ร้ายกาจในอดีตของคุณหนูใหญ่หายเกลี้ยง พอเห็นคนในสำผู้บำเพ็ญเพียร อย่างศิษย์ระดับสร้างรากฐานก็แย้มยิ้มให้ กระทั่งคุณชายสกุลสวี่มาขอแต่งงาน คุณหนูใหญ่ก็ไม่ได้ด่าว่าแล้วไล่ออกไปเหมือนเมื่อก่อน กลับนั่งคุยด้วย จากนั้นก็ตกปากรับคำ”
“นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรือ ในฐานะคุณหนูใหญ่แห่งสำนักลั่วสยาที่เอาแต่ลุ่มหลงลั่วหยางเจินจวินแห่งพรรคเหยากวง จนก่อเรื่องขำขันเหล่านั้นขึ้น ทำให้สำนักเราถูกผู้คนเย้ยหยันอยู่นาน สกุลสวี่แม้เป็นสกุลบำเพ็ญเพียรระดับกลาง แต่คุณชายสวี่มีรากวิญญาณสวรรค์ธาตุทอง ไม่แน่ว่าต่อไปอาจประสบความสำเร็จไม่ด้อยไปกว่าลั่วหยางเจินจวินด้วยซ้ำ คุณหนูใหญ่ทำเช่นนี้ได้ ท่านเจ้าสำนักต้องดีใจมากแน่ๆ” หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบ
“ก็ใช่นะสิ หลายวันมานี้ท่านเจ้าสำนักยิ้มบ่อยกว่าเมื่อก่อนมาก เพียงแต่แปลกใจอยู่บ้าง ที่เหตุใดจู่ๆ คุณหนูใหญ่ถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้” หญิงสาวก่อนหน้าว่า
“ไม่เห็นมีอะไรแปลก อย่างไรคุณหนูใหญ่ก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว ออกจากบ้านไปหาประสบการณ์หลายปี การรู้แจ้งเห็นจริงในค่ำคืนเดียวก็เป็นไปได้อยู่”
“ศิษย์หลานทั้งสองคุยอะไรกันอยู่หรือ” เสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังมา
มั่วชิงเฉินที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดหันมอง เห็นคนคุ้นเคยคนหนึ่ง
ไม่ถูกต้อง
มั่วชิงเฉินมองปราดเดียว ในใจก็เกิดความรู้สึกชนิดหนึ่งขึ้น
คนผู้นั้นสวยใสมีเสน่ห์อย่างเป็นธรรมชาติ หน้าตาโดดเด่นเป็นพิเศษ เห็นชัดว่าเป็นหร่วนหลิงซิ่ว แต่บุคลิกกลับแตกต่างกันมาก
นางสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อน ยิ้มอ่อนโยน ที่แน่ๆ คือ กดรูปลักษณ์สดใสไว้ แสดงความเป็นผู้หลุดพ้นจากโลกียวิสัยออกมา
มั่วชิงเฉินเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นในใจ
การที่ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งบำเพ็ญจิตแล้วเลื่อนระดับขึ้น บุคลิกย่อมเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้
ตามนิสัยของหร่วนหลิงซิ่ว หลังจากสลัดความลุ่มหลงเหล่านั้นออกไป ความร้ายกาจก็น่าจะเปลี่ยนเป็นความเย้ายวน ยากจะจินตนาการเป็นท่าทางหลุดพ้นจากโลกียวิสัยเช่นนี้ นี่ไหนเลยใช่การเปลี่ยนบุคลิก เปลี่ยนไปเป็นอีกคนชัดๆ!
พอนึกถึงตรงนี้ มั่วชิงเฉิงก็เอะใจ จึงเกิดความคิดที่ไร้เหตุผลข้างต้นขึ้นมา
ศิษย์สาวสองคนของสำนักลั่วสยาทำการคารวะอย่างเกรงกลัว แล้วเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลของหร่วนหลิงซิ่วก็ดังมา
ไม่ว่านางเปลี่ยนไปอย่างไร มั่วชิงเฉินก็ไม่สนใจ พาตู้รั่วจากไปอย่างเงียบๆ
หญ้าวิญญาณชนิดที่ใช้ในการปรุงโอสถเก้าแปรผันยึดปราณดั้งเดิม อยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาหมิงสยา ซึ่งมั่วชิงเฉินไม่ค่อยเข้าใจภูมิศาสตร์แถบนี้ จึงเดินวนอยู่ครึ่งค่อนวัน ถึงหาเจอ และเด็ดหญ้าวิญญาณมาได้อย่างราบรื่น
หญ้าวิญญาณชนิดนี้ ต้องใช้ตอนเด็ดสดๆ จะเกิดประสิทธิภาพมากสุด มั่วชิงเฉินจึงไม่กล้ารอช้า เลือกถ้ำที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง สร้างห้องหินสองสามห้องให้เดินต่อกันได้ แล้วเริ่มหลอมโอสถ
การหลอมโอสถเก้าแปรผันยึดปราณดั้งเดิมต้องใช้เวลาราวหนึ่งเดือน ตู้รั่วไม่ค่อยสนใจการหลอมโอสถ และเรื่องนี้เกี่ยวพันกับชีวิตในอนาคตของนักพรตจื่อซี มั่วชิงเฉินจึงไม่ต้องการให้มีคนดูอยู่ข้างๆ ซึ่งส่งผลต่อการสำแดงพลัง จึงให้ตู้รั่วไปไหนมาไหนได้ตามอำเภอใจ เพียงแต่หนึ่งเดือนให้หลัง กลับมาที่นี่ก็พอ
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว มั่วชิงเฉินหลอมโอสถได้อย่างราบรื่น เก็บโอสถเก้าแปรผันยึดปราณดั้งเดิมสำเร็จสิบเม็ดด้วยกัน จึงก้าวออกจากถ้ำอย่างชื่นใจ
ทว่าตู้รั่วกลับไม่อยู่
ตามความเข้าใจในตัวตนของศิษย์ สัญชาติญาณแรกของมั่วชิงเฉินคือ ตู้รั่วประสบกับเรื่องยุ่งยาก
จึงหยิบกระดิ่งดอกไม้ออกมาเขย่าเบาๆ เงี่ยหูฟัง แล้ววาบร่างไปตามทิศทางนั้น
“นางปีศาจ เจ้ากล้าไม่น้อย ที่มาทำเรื่องสกปรกเช่นนี้ในอาณาบริเวณสำนักลั่วสยาของข้า” หร่วนหลิงซิ่วสวมชุดสีเขียว มือจับแส้ยาวสีทอง มองผู้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชา
หญิงสาวตรงหน้าแต่งตัวประหลาดมาก ชุดกระโปรงมีอยู่ห้าสีด้วยกัน แดง เหลือง น้ำเงิน ขาว ม่วง ส่วนเสื้อก็เป็นแบบเอวลอยเห็นเอวบอบบางขาวๆ ไม่ว่าจะยืนท่าไหน ก็มีเสน่ห์เย้ายวนใจไปหมด
นางจับแขนของชายผู้หนึ่งไว้แน่น ชายผู้นี้มวยผมหลุดลุ่ย หน้าแดงผิดปกติ แต่กลับจ้องมองหญิงสาวเสื้อหลากสีอย่างโกรธเคือง ถ้าสายตาฆ่าคนได้ คงสับนางเป็นหมื่นๆ ชิ้นไปแล้ว
ชายผู้นี้ ก็คือตู้รั่ว
“หึๆๆ สายตาข้างไหนของเจ้ามองว่าข้าเป็นปีศาจ ข้าว่า เจ้านั่นแหละ นางปีศาจ” หญิงสาวหัวเราะคิกคักขึ้นมา
“หุบปาก!” หร่วนหลิงซิ่วตวาด “ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ปล่อยคนไป แล้วข้าจะคิดว่าเจ้าไม่เคยมาที่นี่”
หญิงสาวป้องปากหัวเราะ “แหม คุณหนูใหญ่ของสำนักลั่วสยาช่างใจดีจริงจริ๊ง ยุ่งเรื่องชาวบ้านเขาไปทั่ว ขนาดคนไม่มีชื่อเสียงอย่างข้า ยังเคยได้ยินอยู่หลายครั้งว่า เจ้าหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็จะเป็นภรรยาน้อยของคนเขาให้ได้ ข้ายังนึกว่าทักคนผิดไปเสียแล้ว!”
“เช่นนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก!” หร่วนหลิงซิ่วกลับไม่โมโหอย่างที่หญิงสาวเสื้อหลากสีคิด สะบัดแส้ทองฟาดเข้าไป
หญิงบำเพ็ญเพียรเสื้อหลากสีผลักตู้รั่วไปด้านข้าง ก่อนประมือกับหร่วนหลิงซิ่ว
ตอนมั่วชิงเฉินรุดมาถึง ก็เห็นภาพหญิงสาวเสื้อหลากสีผลักตู้รั่วออก แล้วยืนประจันหน้ากับหร่วนหลิงซิ่วพอดี ส่วนตู้รั่วที่ถูกมัดด้วยเชือกวิญญาณก็ล้มไปด้านข้าง แต่ถูกมือข้างหนึ่งพยุงไว้
“อาจารย์” พอเห็นมั่วชิงเฉิน หน้าตู้รั่วก็แดงทันที อยากมุดดินหนีให้รู้แล้วรู้รอดไป
มั่วชิงเฉินรีบคลายเชือกวิญญาณออก “ตู้รั่ว เกิดอะไรขึ้น”
“ข้า…”
ตู้รั่วหน้าแดงจนหยดออกมาเป็นโลหิตได้ ร่างกายที่รู้สึกแปลกๆ ทำให้เขาอยากฟาดตัวเองให้สลบ
มั่วชิงเฉินคลับคล้ายดูออกว่าตู้รั่วถูกพิษเสน่ห์ จึงนำน้ำที่ผ่านการทำให้บริสุทธิ์จากเขาเดี่ยวของเขาน้อยหยดให้ดื่ม ก่อนมองดูการต่อสู้กันอย่างดุเดือดของสองสาวอย่างใจเย็น “ใครกันน่ะ”
“ที่สวมเสื้อหลากสีนั่น…” ตู้รั่วตอบเสียงแหบแห้ง ริมฝีปากมีรอยกัดลึก สายตาที่มองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเสื้อหลากสีเย็นชายิ่ง
มั่วชิงเฉินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว โบกแขนเสื้อแรงๆ หนึ่งที
หญิงสาวเสื้อหลากสีกับหร่วนหลิงซิ่วถูกพลังลมพัดกะทันหัน ทำให้ตกลงไปนอนกับพื้นพร้อมกัน จึงหันมองอย่างโกรธแค้น
“เจ้า…เจ้าคือชิงเฉิงเจินจวิน?” แววตาหร่วนหลิงซิ่วมีความสับสนวาบผ่าน ก่อนดึงสติคืนกลับ แล้วจ้องมองมั่วชิงเฉินด้วยแววตาซับซ้อนยิ่ง
มั่วชิงเฉินไม่ตอบ กลับพุ่งเป้าสายตาไปยังใบหน้าของหญิงสาวเสื้อหลากสี
“พี่หลิงจือ ทำไมเป็นท่าน…”
หญิงสาวเสื้อหลากสีผู้นี้เป็นเพื่อนเล่นในวัยเด็กที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี หลิวหลิงจือ!
พอหลิวหลิงจือได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉิน ก็เบิกตาโต ไม่พูดพร่ำเพรื่อ ลุกขึ้นยืน เรียกสมบัติวิเศษเหินหาว แล้วกระโดดขึ้นไป
มั่วชิงเฉินไหนเลยจะยอมให้นางไป แต่ก็รู้สึกว่าคำพูดบางคำไม่สะดวกพูดกับนางขณะอยู่ต่อหน้าหร่วนหลิงซิ่วกับตู้รั่ว ใต้เท้าจึงปรากฏก้อนเมฆขึ้น แล้วไล่ตามไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะปล่อยหมาป่าน้อยออกมาคุ้มกันความปลอดภัยให้ตู้รั่ว
หลิวหลิงจืออยู่ในระดับก่อแก่นปราณ แม้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสมบัติวิเศษเหินหาวมีความโดดเด่นหรือมีการปรับแต่งให้ใช้งานเป็นพิเศษ ถึงเหาะได้เร็ว แต่ไหนเลยจะเทียบกับมั่วชิงเฉินได้
ทว่ามั่วชิงเฉินก็จงใจลดความเร็วลง รอจนถึงหุบเขาลึกที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ค่อยปรากฏตัวตรงหน้าหลิวหลิงจือ
“พี่หลิงจือ ทำไมทุกครั้งที่เจอกัน ท่านต้องคอยหลบหน้าข้าเหมือนหลบงูเงี้ยวเขี้ยวขอด้วย”
หลิวหลิงจือจ้องมองมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน ไม่ส่งเสียงอยู่นาน
“ทำไมล่ะ พี่หลิงจือ ครั้งนี้ท่านยังจะพูดว่าข้าจำคนผิดอยู่อีกหรือ” ในใจมั่วชิงเฉินยากจะบอกว่าดีใจหรือเศร้าใจ เพียงรู้สึกว่าลิขิตฟ้ายากคาดเดา
หลิวหลิงจือจ้องมองใบหน้างดงามของมั่วชิงเฉิน พลันยิ้มเย็นชาออกมา
“ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า เด็กน้อยที่เคยไม่มีอันจะกินกระทั่งขนมวัววัวโถว วันนี้ได้กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว โชคดีมากจริงๆ!”
คำพูดที่เย็นชา แฝงไปด้วยการถากถางเช่นนี้ ไหนเลยจะมีมิตรภาพในวัยเด็กสักครึ่งอยู่อีก
มั่วชิงเฉินรู้สึกหนาวเหน็บ แม้รู้ว่าหลิวหลิงจืออาจพบกับความยากลำบากอะไรมา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดแรงกลับไป “ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นเดียวกันว่า พี่หลิงจือที่เคยสดใสใจดี วันนี้กลายเป็นนางปีศาจที่ต้องใช้หยางบำรุงหยินไปแล้ว มีความสามารถมากจริงๆ!”
หลิงหลิงจือตัวสั่นอย่างแรง การถากถางเช่นนี้ ทำให้นางพูดเรื่องเก่าๆ ที่เก็บไว้ในส่วนลึกของใจออกมาจนได้ “เด็กน้อย ในโลกนี้ ทุกคนมีสิทธิ์ด่าว่าข้า ยกเว้นเจ้า!”
“ท่านหมายความว่าอะไร” แม้มั่วชิงเฉินรู้ตัวว่าตนจงใจแดกดันนาง เพื่อกระตุ้นให้นางเปิดใจพูด แต่กลับไม่รู้สึกยินดี รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา
“หลังจากที่เจ้าจากไปสองปีกว่า ในหมู่บ้านก็มีคนจำนวนหนึ่งเข้ามา สืบถามเรื่องพ่อแม่เจ้า สุดท้ายก็หาบ้านน้าชายเจ้าเจอ พ่อข้าเห็นท่าไม่ดี จึงไปขวางทางน้าชายเจ้าที่กำลังรีบพาอาฝูกลับบ้าน ต่อมาพอคนเหล่านั้นรู้ว่า พ่อข้าเป็นคนไปส่งข่าว เจ้ารู้ไหมว่าพวกเขาทำอะไร” หลิวหลิงจือพูดแล้วก็อารมณ์พลุกพล่านขึ้นมา ทรวงอกกระเพื่อมอย่างแรง “พวกเขาฆ่าพ่อแม่ข้า ฆ่าพี่สาวกับหลานข้าที่เพิ่งกลับมาเยี่ยมบ้าน สงสารก็แต่หลานข้าที่เพิ่งสามขวบ! ถ้าไม่ใช่เพราะข้าไปยืมไข่ไก่ที่บ้านอาสะใภ้หลี่ ถึงได้รอดมาได้ โลกนี้ก็ไม่มีหลิวหลิงจือแล้ว! สาวน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่า ข้าเกลียดเจ้า เกลียดเจ้าจริงๆ!”
มั่วชิงเฉินเพียงรู้สึกเจ็บแปลบในใจ
ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!
เสียงของหลิวหลิงจือราวกับดังมาจากสุดขอบฟ้า “คนเหล่านั้นมีวิชา ข้ารู้ว่าผู้ที่พาเจ้าไปเป็นเซียน หากคิดแก้แค้น ข้าก็ต้องกลายเป็นคนเช่นนั้น ฮ่าๆ ข้าทำได้แล้ว และฆ่าคนเหล่านั้นด้วยมือข้าเอง แต่ต่อมาข้าค่อยสืบรู้ว่า คนเหล่านั้นเป็นแค่คนธรรมดาที่พวกผู้บำเพ็ญเพียรเลี้ยงไว้ใช้งาน คู่แค้นจริงๆ ของข้า คือพวกผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่ทะยานอยาก! คุณสมบัติข้าไม่นับว่าดี ในทางกลับกัน เมื่อมีวาสนาได้เข้านิกายเหอฮวน กลับมีคุณสมบัติในการฝึกวิชามหาเสน่ห์ได้อย่างดีเยี่ยม เจ้าว่า ถ้าข้าไม่เป็นนางปีศาจ ยังจะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้อีกหรือ”
“ข้าจำได้ว่า…ท่านกับศิษย์สองสามคนในนิกายก่อเรื่องขึ้น…” มั่วชิงเฉินพูดเสียงแหบแห้ง
หลิวหลิงจือหัวเราะอย่างไม่ยี่หระ “หึๆๆ ดังนั้นนะ คนอย่างข้า ไม่เหมาะจะมีบ้าน มีสหายหรอก ข้าคนเดียวอยากเป็นนางปีศาจก็เป็นนางปีศาจ อยากเป็นนางมารก็เป็นนางมาร ทำไม ชิงเฉิงเจินจวิน เจ้าจะปราบปีศาจกำจัดมารอย่างนั้นรึ”
ขณะมองดูท่าทางที่คลุ้มคลั่งของหลิวหลิงจือ มั่วชิงเฉินก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา “ขออภัยด้วย พี่หลิงจือ”
หลิวหลิงจือแค่นเสียงเย็นชา
มั่วชิงเฉินจึงพูดอย่างสงบ “ข้าเสียใจมากที่อาใหญ่กับอาสะใภ้หลิวเคราะห์ร้าย ถึงท่านโทษข้า ข้าก็ไม่มีปัญญาเปลี่ยนแปลง ส่วนทางที่ท่านเลือกเดิน ข้ายิ่งไม่มีสิทธิ์กังขา อย่างไรทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฟ้าลิขิต นี่เป็นของวิเศษสองอย่างที่ข้าใช้ขณะอยู่ระดับก่อแก่นปราณ และโอสถจำนวนหนึ่งที่ข้าหลอมเองกับมือ ท่านจะรับหรือไม่รับไว้ ข้าก็วางไว้ตรงนี้ พี่หลิงจือ ข้าอาศัยอยู่ที่พรรคเหยากวง บนเขาลั่วเฉิน วันใดที่ท่านไม่เกลียดข้าแล้ว ก็ไปหาข้าได้ ไว้เจอกัน”
มั่วชิงเฉินพูดจบ ก็วางร่มไผ่เหมันต์ ต่างหูปะการังแดง กับโอสถที่เหมาะกับการบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองสามขวดไว้บนพื้น พยักหน้าให้หลิวหลิงจือ แล้วหันกายจากไป
หลิวหลิงจือชะเง้อมองตามทางที่มั่วชิงเฉินหายไปอยู่นาน ก่อนเตะของวิเศษกับโอสถวิเศษออกอย่างแรง แต่สุดท้าย ขณะหันกายคิดจากไป ก็หันกลับมาเก็บของไว้จนได้