พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 569 มาถึงหมู่บ้านสกุลมั่ว
“อะแฮ่ม ตู้รั่ว เจ้าดีขึ้นบ้างไหม” มั่วชิงเฉินยิ้มน้อยๆ ขณะมองหน้าลูกศิษย์ที่ยังบึ้งตึง แต่ในใจอยากขำมากกว่า
“ดีขึ้นแล้วขอรับ” ใบหน้าตู้รั่วแดงขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนคืนกลับดังเดิมทันที ไม่กล้าแม้แต่จะมองมั่วชิงเฉินแล้ว
มั่วชิงเฉินกลับเข้าใจความรู้สึกของหนุ่มน้อยผู้นี้ดี เปลี่ยนเป็นใครก็ตามที่ถูกพิษเสน่ห์แล้วมาอยู่ต่อหน้าอาจารย์ เกรงว่าก็ต้องอับอายสุดๆ เหมือนกัน คิดๆ ดูจึงกระแอมไอแล้วปลอบโยน
“ตู้รั่วหนอ เจ้าก็อย่าคิดมากเลย ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร บุรุษเก่งกล้าสามารถคนใดไม่เคยถูกพิษเสน่ห์สักครั้งสองครั้งบ้าง อะแฮ่ม นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเจ้าเก่งกล้าสามารถมาก…”
“อาจารย์!” ตู้รั่วอับอายจนโกรธ ได้แต่แหงนหน้ามองท้องฟ้าเงียบๆ
มีอาจารย์ใจร้ายเช่นนี้ด้วยหรือ นางเตรียมจะเปลี่ยนไปเป็นปีศาจสาวแล้ว หรือไม่ก็…ธาตุแท้ปรากฏหลังสำเร็จระดับก่อกำเนิด
พอมั่วชิงเฉินเห็นท่าทางอยากจะชกหน้าตนแต่ไม่กล้าของตู้รั่ว ก็หัวเราะหึๆ ขึ้นมา ทำให้อารมณ์แปรปรวนที่เกิดจากการเผชิญหน้ากับหลิวหลิงจือค่อยๆ สงบลง
หมู่บ้านสกุลมั่ว ยังมีหมู่บ้านเล็กๆ ที่ไม่ทราบชื่อเมื่อตอนมาครั้งแรกอีก อย่างไรก็ควรกลับไปเยี่ยมเยียนสักหน่อย ไม่รู้ว่ามีผลที่ตามมามากน้อยเพียงใดที่ต้องแก้ไข
พอนึกถึงเภทภัยที่เพิ่งเกิดกับตู้รั่ว พิจารณาถึงการบำเพ็ญเพียรได้เพียงระดับสร้างรากฐานของเขา มั่วชิงเฉินก็เก็บรอยยิ้มกลับ
“ตู้รั่ว โอสถเก้าแปรผันยึดปราณดั้งเดิม ข้าหลอมเสร็จแล้ว อย่างไรเจ้านำกลับสำนักไปก็แล้วกัน”
ตู้รั่วหน้าเปลี่ยนสี ก่อนประสานมือ “อาจารย์ เมืองจงอวี๋มีพรรคสาขาอยู่ นำโอสถเก้าแปรผันยึดปราณดั้งเดิมให้พวกเขานำกลับพรรคใหญ่จะดีกว่า ศิษย์อยู่ในระดับสร้างรากฐานขั้นสมบูรณ์มานานหลายปี จึงอยากตามอาจารย์ออกท่องโลกกว้างสักครั้ง”
เห็นตู้รั่วมีสีหน้าเคร่งเครียด มั่วชิงเฉินค่อยรู้ว่าตนคิดวิเคราะห์ยังไม่ถึงที่สุด
เขากำลังติดอยู่ในช่วงคอขวดของขั้นตอนที่มีความพิเศษ พอออกจากพรรคก็เผชิญกับอุปสรรคเช่นนี้อีก ตนคิดแต่เรื่องความปลอดภัย ถึงได้ให้เขากลับพรรคไป ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อการเคี่ยวกรำจิตใจของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
นึกย้อนถึงตอนที่ตนอยู่ในระดับสร้างรากฐาน การดูแลเอาใจใส่ของอาจารย์กำลังพอดี ซึ่งน้อยจนไม่มีร่องรอยให้เห็น ตอนนี้จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะตัวเอง เมื่อเทียบกับอาจารย์แล้ว ตนยังห่างชั้นอีกไกล
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ตู้รั่ว เจ้าก็ตามข้าไปหมู่บ้านสกุลมั่วก่อนแล้วกัน”
ต่อมา มั่วชิงเฉินจึงส่งจดหมายหาลูกศิษย์พรรคสาขาของพรรคเหยากวงในเมืองจงอวี๋ สั่งให้พวกเขานำโอสถเก้าแปรผันยึดปราณดั้งเดิมกลับพรรคใหญ่ ส่วนตนก็พาตู้รั่วเหาะไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ท้องฟ้าที่ห่างไกลเต็มไปด้วยเมฆยามพระอาทิตย์ตก และแล้วเมืองลั่วหยางที่ห่างไกลก็กำลังอยู่ในสายตา
เมืองลั่วหยางในตอนนี้ กลายเป็นเมืองแห่งการบำเพ็ญเพียรไปทั้งเมืองแล้ว ไม่เห็นคนธรรมดาอีก
โดยคนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในเมืองลั่วหยางได้ย้ายออกไปเมื่อหลายสิบปีก่อน พวกเขายึดเมืองลั่วหยางเป็นจุดศูนย์กลาง แล้วกระจายตัว อาศัยอยู่กันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในช่วงรัศมีร้อยลี้
ตอนนี้หมู่บ้านรอบๆ เมืองลั่วหยาง จึงมีขนาดใหญ่กว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนมาก
หน้าตาอย่างมั่วชิงเฉินหรือตู้รั่ว ขืนเดินเข้าไปในหมู่คนธรรมดา อาจทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นได้ เพื่อลดทอนความยุ่งยาก ทั้งสองจึงใช้วิชาบังตา ให้มีท่าทางเหมือนคนทั่วไป ขณะเดินอยู่ในหมู่คนธรรมดา
เดินไปเช่นนี้หลายสิบหมู่บ้าน ก็ยังหาหมู่บ้านสกุลมั่วไม่พบ
มั่วชิงเฉินคิดทบทวนอีกครั้ง มีความมั่นใจว่า ปีนั้นสกุลมั่วไม่ได้ถูกล้างบาง เช่นนั้นตอนนี้เป็นไปได้มากว่าอาจเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามไป
ขณะหยุดพักเท้าจิบน้ำชาในอำเภอที่คึกคักแห่งหนึ่ง มั่วชิงเฉินก็สืบถามจากเสี่ยวเอ้อร์ผู้ยกน้ำชามา “พี่ชายน้อยท่านนี้ ไม่ทราบว่าเคยได้ยินชื่อหมู่บ้านสกุลมั่วหรือไม่”
พี่ชายน้อยอึ้ง เหลือบมองมั่วชิงเฉิน แววตามีความระแวดระวังวาบผ่าน ก่อนพูดเสียงเบา “ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้ยิน”
มั่วชิงเฉินลอบส่ายหน้า และแล้วหนุ่มน้อยก็เก็บอาการไม่อยู่
รู้สึกว่าตนโชคดี เดิมทีคิดว่าคนอายุน้อยเช่นนี้ไม่น่าจะรู้อะไร ไหนเลยจะคิดว่า ถามไปเรื่อยเปื่อย กลับถามได้ถูกคน
นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด เมื่อหาเบาะแสหมู่บ้านสกุลมั่วพบ ก็ไม่จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ อีก จึงร่ายคาถาสั้นๆ เปล่งพลังปราณเล็กน้อย เตรียมสร้างโลกในจินตนาการ “พี่ชายน้อย บอกตามตรง ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียร หมู่บ้านสกุลมั่วกับข้า มีบางอย่างผูกพันกันอยู่”
พอได้ยินคำว่า ‘ผู้บำเพ็ญเพียร’ หนุ่มน้อยก็ทำตาโต หลุดสีหน้าตื่นตกใจออกมา
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด พี่ชายน้อยเป็นคนสกุลมั่วใช่หรือไม่” มั่วชิงเฉินถามพลางยิ้มบางๆ
ร่างของหนุ่มน้อยอดไม่ได้ที่จะสั่น “ท…ท่านเซียน ท่าน ท่านคิดจะทำอะไร”
พอเห็นหนุ่มน้อยมีท่าทางกลัวจนตัวสั่น มั่วชิงเฉินก็หัวเราะ “พี่ชายน้อยไม่ต้องกลัว ข้าก็เป็นคนหมู่บ้านสกุลมั่วเหมือนกัน”
หนุ่มน้อยเบิ่งตามอง “ท่านเซียนพูดจริงใช่ไหม”
“ข้าจะหลอกคนธรรมดาอย่างเจ้าไปทำไมกัน” มั่วชิงเฉินทำหน้าจริงจัง ก่อนแสดงพลังของผู้บำเพ็ญเพียรออกมา
หนุ่มน้อยเพียงรู้สึกตื่นตระหนก ก่อนรวบรวมความกล้า “ท่านเซียนตามหาหมู่บ้านสกุลมั่ว เพื่อ…”
มั่วชิงเฉินไม่อยากเสียเวลาอีก จึงพูดออกไปตรงๆ “ข้ามาจากบ้านสกุลมั่ว ตอนนี้ประสบความสำเร็จเล็กๆ ในการบำเพ็ญเพียรแล้ว ครั้งนี้มาก็เพื่อจะดูว่า คนในหมู่บ้านสกุลมั่ว ใครมีรากวิญญาณบ้าง จะได้ชี้แนะวิถีเซียนให้ เป็นทายาทสืบสกุลมั่ว”
หนุ่มน้อยดีใจมาก ตื่นเต้นจนคุกเข่าคารวะ “ท่านเซียน เชิญตามผู้น้อยมา”
มั่วชิงเฉินหันไปสบตากับตู้รั่ว แล้วทั้งสองก็เดินตามหนุ่มน้อยออกจากร้านน้ำชาไป
พอได้ยินคำพูดของหนุ่มน้อย ค่อยรู้ว่าอำเภอที่คึกคักนี้ เคยเป็นหมู่บ้านสกุลมั่วเดิม เพียงแต่ต่อมา พอหลายคนอพยพออก ก็ค่อยๆ พัฒนาจนเป็นเช่นนี้ ส่วนคนในหมู่บ้านสกุลมั่วเดิมก็กลายเป็นคนธรรมดาในตระกูลใหญ่ อาศัยอยู่ทางตะวันตกของเมือง
“พี่ชายน้อย ข้าเห็นตอนแรกที่ได้ยินคำว่าผู้บำเพ็ญเพียร เจ้ามีท่าทางหวาดกลัวมาก เป็นเพราะเหตุใดหรือ” มั่วชิงเฉินถาม
หนุ่มน้อยรีบว่า “ท่านเซียนเรียกผู้น้อยว่าโก่วต้าน (ไข่หมา) ก็พอ”
“โก่วต้าน?” พอได้ยินเสียงลมหายใจธรรมดา แต่ชื่อลึกซึ้งเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็ยิ้มน้อยๆ
โก่วต้านรู้สึกผิดจึงว่า “บิดาผู้น้อยเป็นเพียงยามเฝ้าประตูหมู่บ้านคนหนึ่ง ไม่รู้จักหนังสือ พี่ชายผู้น้อยชื่อต้าโก่ว (หมาใหญ่) พี่รองชื่อเอ้อร์โก่ว (หมารอง) ผู้น้อยเป็นคนสุดท้อง เลยชื่อโก่วต้าน”
พูดถึงตรงนี้ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เดิมทีผู้น้อยมักเห็นผู้บำเพ็ญเพียรไปๆ มาๆ และไม่เคยเห็นพวกเขารังแกคนธรรมดา จึงไม่ได้กลัวมาก เพียงแต่ในตระกูลมีกฎที่สืบทอดกันมาร้อยกว่าปี ให้คนในตระกูลระวังผู้บำเพ็ญเพียรที่มาสืบข่าวโดยเฉพาะ บอกว่า…อาจนำมาซึ่งภัยพิบัติของตระกูล”
มั่วชิงเฉินแอบเดา นี่กลับเป็นคำเตือนที่สกุลมั่วได้รับเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ตอนนั้นสกุลมั่วถูกคนสกุลฮวา กับสกุลหลัว สองสกุลรวมทั้งพรรคมาร ร่วมมือกันฆ่าล้างบาง
“เช่นนั้น หลายปีมานี้ มีผู้บำเพ็ญเพียรมาบ้างไหม”
โก่วต้านส่ายหน้า ”เมื่อก่อนไม่รู้ แต่ตอนผู้น้อยเกิดจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามี”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าเออออไปเช่นนั้นเอง รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง หรือว่า หลายปีมานี้ พี่เก้ากับพี่สิบไม่เคยมาหมู่บ้านสกุลมั่วเลย
พอหวนคิดสักพักก็ตระหนักในทันที อาจเป็นเพราะทัศนคติไม่ตรงกัน พวกนางเติบโตในจวนสกุลมั่วแต่เด็ก ส่วนคนในหมู่บ้านสกุลมั่ว สำหรับพวกนางแล้ว แม้สถานะคนรับใช้ก็ยังไม่เข้าข่าย ย่อมไม่ถือว่าที่นี่เป็นรากเหง้าสกุลมั่ว ไม่คุ้มค่าที่จะมา
เช่นเดียวกับสกุลฮวากับพรรคมารในตอนนั้น ที่สังหารคนในจวนสกุลมั่วจนหมด แต่กลับมีเหตุผลในการปล่อยให้คนในหมู่บ้านสกุลมั่วดูแลตัวเอง
โดยสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรพื้นเมืองเหล่านี้แล้ว คนธรรมดากับผู้บำเพ็ญเพียรต่างกันเกินกว่าที่นางคิดไว้มาก
“ท่านเซียน ถึงแล้ว” โก่วต้านพูดพลางชี้ไปยังคฤหาสน์ที่เรียบง่ายแต่ใหญ่โต ก่อนวิ่งเข้าไปเคาะประตู
“เอ๋ นี่มันโก่วต้านนี่ ช่างกล้าจริง ใครใช้ให้เจ้ามาเคาะประตูใหญ่” คนรับใช้ท่าทางวัยกลางคนโผล่หน้าออกมาเอ็ดกันตรงๆ แล้วทำท่าจะปิดประตู
โก่วต้านรีบยันประตูใหญ่ไว้ “น้าฝาน ไปรายงานหัวหน้าตระกูลเร็ว ผู้บำเพ็ญเพียรสกุลมั่วเรากลับมาแล้ว”
“เด็กเวร เจ้าพูดซี้ซั้วอะไรน่ะ เหวอ…” ขณะผู้รับใช้วัยกลางคนพูด พลันหันไปเห็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่อยู่ด้านหลังโก่วต้าน กลายเป็นเงาร่างสายเขียวสายดำเหาะเข้ามา จึงกรีดร้องด้วยความตกใจ
ภายใต้ความหวาดกลัว เขาไม่สนใจอื่นใด วิ่งตรงไปยังระฆังโบราณข้างฉากกั้น คว้าไม้แล้วตีลงไปที่ระฆัง
เสียงดังกังวานใสของระฆัง ดังก้องไปทั่วคฤหาสน์สกุลมั่ว มั่วชิงเฉินกวาดจิตสัมผัสไปรอบๆ เห็นคนมากมายมีท่าทางร้อนรน ไม่ย้ายถังน้ำถังหนึ่งตรงลานบ้านออก ก็ยกหม้อพังๆ เก่าๆ ใบหนึ่งในบ้านขึ้น เผยให้เห็นหลุมที่อยู่ด้านล่าง แล้วจึงลากสมาชิกในบ้านมุดลงไป
บางบ้าน หม้อมีสนิมเกรอะจนติดหลุม ยกไม่ขึ้น ทำเอาคนทั้งบ้านร้อนรนจนร้องไห้ออกมา
มั่วชิงเฉินยิ้มเจื่อนๆ ก่อนคืนสู่สีหน้าปกติ เหาะขึ้นฟ้าแล้วเปล่งเสียง “ข้ามาจากสกุลมั่วแห่งเมืองลั่วหยาง เรียนเชิญหัวหน้าตระกูลออกมาพบเจอกัน”
เสียงนี้ดังก้องอยู่แต่ในคฤหาสน์ ด้วยถูกมั่วชิงเฉินใช้คาถาปิดกั้นไว้ นอกคฤหาสน์สกุลมั่วไม่มีใครล่วงรู้ความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
ผ่านไปเนิ่นนาน ชายชราผู้หนึ่งพร้อมกลุ่มคนห้อมล้อม เดินตัวสั่นๆ มายืนตรงหน้ามั่วชิงเฉิน ก่อนพูดเสียงแหบ “ยินดีต้อนรับท่านเซียน ลูกหลานทั้งหลายไม่รู้ความ จึงดูแลไม่ทั่วถึง ขอท่านเซียนโปรดอภัย”
มั่วชิงเฉินค่อยๆ เหาะลงมายืนยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไร เป็นเพราะข้าอยากพบเจอท่านหัวหน้าตระกูลเร็วหน่อย จึงเสียมารยาทไปบ้าง”
แรกเริ่มชายชราไม่กล้าแม้หายใจ แต่พอเห็นมั่วชิงเฉินมีสีหน้าเป็นกันเอง ก็รวบรวมความกล้าแล้วว่า “ที่ท่านเซียนบอกว่า มาจากจวนสกุลมั่วแห่งเมืองลั่วหยาง ไม่ทราบว่า…”
พูดถึงตรงนี้ ก็ไม่ได้พูดต่อ แต่มั่วชิงกลับชัดเจนดี จึงพูดอย่างภาคภูมิใจ “เมื่อร้อยห้าสิบกว่าปีก่อน จวนสกุลมั่วแห่งเมืองลั่วหยางเกิดการเปลี่ยนแปลง ตอนข้าไปจากที่นั่น อายุไม่ถึงแปดขวบ จึงไม่มีสิ่งของพิสูจน์สถานะอะไร แต่ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องหลอกลวงพวกท่าน เพื่อทำความรู้จักบรรพบุรุษสุ่มสี่สุ่มห้าอีก”
พลังปราณที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเปล่งออกมา ทำให้จิตสังหารในที่นี้ถูกเก็บกลับคืน
ในสายตาหัวหน้าตระกูลมั่ว เพียงรู้สึกว่า มั่วชิงเฉินมีอำนาจอันไร้ขอบเขต ราวกับเป็นคนจากสรวงสวรรค์ จึงเชื่อในคำพูดของนางอย่างบอกไม่ถูก
“ท่านหัวหน้า ข้ามาในครั้งนี้ มีเรื่องสองอย่างที่คิดจัดการ จึงอยากจะเชิญคนในตระกูลเหล่านี้ถอยออกไปก่อน” มั่วชิงเฉินพูดเบาๆ
ชายชรารีบพามั่วชิงเฉินเข้าไปในห้องโถงเล็กๆ ห้องหนึ่ง จากนั้นก็โบกมือให้คนในตระกูลถอยออกไป แล้วพูดอย่างนอบน้อม “ไม่ทราบว่าท่านเซียนต้องการกำชับเรื่องอะไร”
มั่วชิงเฉินหรี่ตา “เรื่องแรก ไม่ทราบว่าท่านหัวหน้ารู้หรือไม่ว่า เมื่อร้อยกว่าปีก่อน หลังจากจวนสกุลมั่วถูกฆ่าล้างบางแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านสกุลมั่ว”
“เรื่องนี้ ข้าเคยได้ยินหัวหน้าตระกูลคนก่อนพูดถึง…” ดวงตาที่ขุ่นมัวของชายชราสดใสขึ้นบ้าง เมื่อตกอยู่ในภวังค์แห่งความทรงจำ
พอฟังชายชราเล่าจบ มั่วชิงเฉินก็ลอบพยักหน้า เรื่องเหล่านี้ไม่ต่างจากเรื่องที่เคยฟังอวิ๋นจือเล่าเท่าไหร่
“เช่นนี้ จดหมายฉบับนั้นก็ยังอยู่ในตระกูล” มั่วชิงเฉินถาม
“อยู่ๆ หัวหน้าตระกูลคนก่อนโน้น เก็บจดหมายฉบับนี้ไว้เป็นอย่างดีในหอบรรพชน ไม่เคยย้ายไปไหน” ชายชราตอบ
“รบกวนท่านหัวหน้านำจดหมายฉบับนี้ออกมาด้วยเถิด”
ชายชราไม่กล้าคัดค้าน เข้าไปในหอบรรพชนแล้วหยิบจดหมายออกมาด้วยตัวเอง มอบให้มั่วชิงเฉิน
จดหมายเขียนลงบนผ้าไหมอย่างดี ซึ่งยังคงความแวววาวเหมือนของใหม่ มั่วชิงเฉินคลี่ออก กวาดตาอ่านหนึ่งรอบ
เงาร่างที่รักอิสระปรากฏขึ้นในสายตา ราวกับก้อนเมฆเคลื่อนที่ สายน้ำไหลริน
พออ่านจบ มั่วชิงเฉินก็คลับคล้ายเกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับลายมือในจดหมาย แต่พอคิดพิจารณาสักพัก กลับชัดเจนหมดจด จึงเก็บจดหมายขึ้นหน้าตาเฉย “ส่วนเรื่องที่สอง ข้าอยากดูหน่อยว่า เด็กในตระกูลมีหรือไม่มีรากวิญญาณ ถ้ามี ก็จะชี้นำพวกเขาเข้าสู่วิถีเซียน สืบทอดเชื้อสายสกุลมั่ว”
เช่นนี้ ท่านปู่กับหัวหน้าตระกูลท่านปู่ที่อยู่ในปรโลกก็จะน่าจะสบายใจได้
ขณะมั่วชิงเฉินกำลังคิด ก็ได้ยินเสียง ‘กึก’ ชายชราคุกเข่าลง ก่อนพูดเสียงสั่น “ท่าน…ท่านเซียน พูดจริงหรือ”
“แน่นอน…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นชายชราลุกขึ้นยืน แล้วก้าวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับเหาะ