พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 570 ความผิดปกติของตู้รั่ว
ตู้รั่วถือจานทดสอบวิญญาณในมือ พอเห็นเด็กที่มาทดสอบไม่กระตุ้นให้จานเกิดปฏิกิริยาใดๆ ก็พูดเสียงเรียบ “คนต่อไป”
มั่วชิงเฉินนั่งดูอยู่ด้านข้างเงียบๆ ในมือถือแก้วหนึ่งใบ และยกสุราวิญญาณขึ้นจิบเป็นระยะ
หัวหน้าตระกูลอายุแปดสิบกว่านั่งตัวสั่นถัดลงมา พลางจ้องมองเด็กที่มาทดสอบทุกคนเขม็ง ทุกครั้งที่ผลออกมาว่าไม่มีรากวิญญาณแล้วเด็กก้าวออก แสงในดวงตาของเขาก็จะมืดลงส่วนหนึ่ง
ขณะมองดูเด็กในตระกูลที่อายุไม่ถึงสิบสี่เหลือเพียงไม่กี่คน
ในสายตาของหัวหน้าชราที่เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อก็คิดว่า คงไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆ เกิดขึ้นอีก เด็กที่เหลือล้วนเป็นเด็กธรรมดาซึ่งไม่มีรากวิญญาณ
หัวหน้าชราจึงทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้ สีหน้ากลัดกลุ้ม ใช้สายตาขุ่นมัวจ้องมองมั่วชิงเฉิน ริมฝีปากสั่นเทา คล้ายอยากจะพูดอะไร
ซึ่งผลลัพธ์เช่นนี้ มั่วชิงเฉินกลับไม่แปลกใจ
ผู้มีรากวิญญาณ เดิมทีมีอัตราส่วนหนึ่งในหมื่น จวนสกุลมั่วทั้งจวน เด็กที่มีอายุสิบสี่เต็มมีไม่ถึงร้อยคน ไม่มีใครมีรากวิญญาณถือเป็นเรื่องปกติ
“แบบนี้ก็แล้วกันหัวหน้า ท่านเรียกคนในตระกูลที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบออกมา ข้าจะทดสอบอีกสักหน่อย” มั่วชิงเฉินพูดขึ้น
“ดี…ดี” หัวหน้าชราพยักหน้าติดต่อกัน
ไม่นาน คฤหาสน์สกุลมั่วที่ใหญ่โตก็เบียดเสียดไปด้วยหนุ่มสาวหลายร้อยคน
“ตู้รั่ว ลำบากเจ้าแล้วนะ” มั่วชิงเฉินผงกศีรษะน้อยๆ ให้ตู้รั่ว
“ขอรับ” ตู้รั่วขานรับ แล้วเริ่มทดสอบรากวิญญาณให้คนเหล่านี้
พวกเขาบ้างดูงุนงง บ้างกังวล บ้างประหม่า สายตาที่มองกลับมา ราวกับมองดูเซียน และจานทดสอบวิญญาณเล็กๆ อันหนึ่ง ที่ส่งผลต่ออารมณ์ อีกทั้งยังตัดสินชะตาชีวิตของพวกเขาในภายภาคหน้า ตู้รั่วเหมือนตระหนักในจุดนี้อยู่บ้าง ความคิดจิตใจคล้ายก้าวหน้าขึ้น แต่มือก็ยังขยับไม่หยุด
“อาจารย์ ทดสอบหมดแล้ว” ตู้รั่วลุกขึ้นยืน แล้วส่งจานทดสอบวิญญาณที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คืนให้มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินโบกมือ นำจานทดสอบวิญญาณเก็บไว้ในแขนเสื้อ แล้วมองหัวหน้าตระกูล
หัวหน้าชราขวัญเสีย แลดูแก่ชราลงไปอีก
ขณะมั่วชิงเฉินกำลังจะพูด หัวหน้าชรากลับเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จ้องมองเหล่าคนหนุ่มสาวพลางว่า “ลูกหลานสกุลมั่วทุกคนอยู่ที่นี่กันหมดหรือเปล่า ยังมีคนที่ไม่ได้รับการทดสอบไหม”
ชะตาเซียนอยู่ตรงหน้า ยังคว้าไว้ไม่ได้ เขาไม่ยอมจริงๆ
อยู่มาจนปูนนี้แล้ว เข้าใจโลกมากกว่าหนุ่มสาวเหล่านี้มาก ถ้าพลาดโอกาสนี้แล้ว ต่อไปสกุลมั่วก็ต้องลดสถานะเป็นตระกูลคนธรรมดาในที่สุด เป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้บำเพ็ญเพียรมาสรรหาคนอีก
ภายในคฤหาสน์เงียบกันหมด
“หัวหน้า การบำเพ็ญเพียรพิถีพิถันเรื่องชะตาเซียน เมื่อคนในตระกูลไม่มีใครมีรากวิญญาณ ก็ไม่ต้องเสียใจจนเกินไป ผลไม้วิญญาณกับสุราวิญญาณเหล่านี้ท่านเก็บไว้เถิด ข้าขอลาล่ะ” มั่วชิงเฉินสะบัดแขนเสื้อ ตรงหน้าหัวหน้าปรากฏตะกร้าผลไม้วิญญาณกับสุราวิญญาณหลายไห
กลิ่นหอมของผลไม้วิญญาณโชยออกมา ผู้ได้กลิ่นเพียงรู้สึกสบายไปทั้งตัว
โอสถของผู้บำเพ็ญเพียร คนธรรมดารับประทานไม่ได้ แต่ผลไม้วิญญาณกับสุราวิญญาณเหล่านี้กลับรับประทานได้ มีผลให้อายุมั่นขวัญยืน และบำรุงความงาม
มั่วชิงเฉินผงกศีรษะส่งสัญญาณให้ตู้รั่ว ตู้รั่วจึงก้าวมายืนที่ด้านหลังนาง
มั่วชิงเฉินเขย่งปลายเท้า เหยียบลงบนก้อนเมฆ นำพาตู้รั่วเหาะขึ้นไปช้าๆ
“ท่านเซียนๆ รอเดี๋ยว” เสียงหนึ่งดังขึ้น มั่วชิงเฉินก้มลงมามอง เป็นโก่วต้าน ผู้ที่นำทางพวกเขามา
“ท่านเซียน ข้านึกขึ้นได้ว่า ตระกูลเรายังมีอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ทดสอบ” โก่วต้านตะโกนเสียงดัง
มั่วชิงเฉินเหาะลงมา ก่อนถามอย่างอ่อนโยน “ยังมีใครอีกหรือ”
“เป็น เป็นญาติผู้พี่ถัง” โก่วต้านตื่นเต้นอยู่บ้าง
พอคำนี้หลุดออกจากปาก มั่วชิงเฉินก็ได้ยินกลุ่มคนซุบซิบเสียงต่ำ
หัวหน้าชรากระแทกไม้เท้ากับพื้นติดต่อกัน “โก่วต้าน ยังไม่กลับออกไปอีก เจ้าเป็นมารอุปสรรคหรือไร ถึงได้กล้าแนะนำคนผู้นี้ให้ท่านเซียน!”
โก่วต้านหน้าถอดสี ก้าวถอยหลังติดต่อกัน
“หัวหน้า เกิดเรื่องอะไรกับญาติผู้พี่ของโก่วต้านหรือ” มั่วชิงเฉินถามเรียบๆ
หัวหน้าชราถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง “ท่านเซียน ญาติผู้พี่ของโก่วต้านชื่อ โก่วเซิ่งเอ๋อร์ (หมาเหลือขอ) ปีนี้อายุสามสิบพอดี จะว่าไปเด็กนั่นก็จัดว่าเป็นเด็กที่มีชะตาชีวิตรันทดคนหนึ่ง ไม่มีพ่อแม่แต่เด็ก จึงอาศัยอยู่กับครอบครัวโก่วต้าน ดวงไม่ค่อยจะดี กินพ่อกินแม่กินน้า กระทั่งแต่งเมียสามครั้ง อยู่กันได้ไม่ถึงสองปี เมียก็จากโลกนี้ไปเสีย ตอนนี้จึงอยู่ตัวคนเดียว แถมมีแผลพุพองเต็มหัวเต็มตัวไปหมด นอนอยู่บนเตียงทั้งวัน มีชีวิตอยู่ได้ด้วยเงินบริจาคของคนในตระกูล ท่านดูสิ คนเช่นนี้ จะให้ออกมารกหูรกตาท่านได้อย่างไรกัน”
มั่วชิงเฉินยิ้มบางๆ “เมื่อข้าพูดว่า ผู้ที่มีอายุสามสิบล้วนทดสอบได้ ก็รบกวนท่านหัวหน้าพาเขาออกมาเถิด”
“นี่…” หัวหน้าชราลังเลใจอยู่บ้าง แต่พอสบกับสายตาใสๆ ที่มั่วชิงเฉินมองมา จึงกลืนคำพูดลงไป หันไปโบกมือให้คนในตระกูล “ไปพาโก่วเซิ่งเอ๋อร์มา”
ไม่นาน ก็มีชายสองคนแบกคนหนึ่งเข้ามา กลุ่มคนต่างปิดปากปิดจมูก พากันเลี่ยงออก พร้อมสีหน้าขยะแขยง
ตู้รั่วก้าวเข้าไป เหลือบมองชายหนุ่มปราดหนึ่ง
คนผู้นี้หน้าแดง ผมร่วงไปกว่าครึ่ง จนเห็นหัวล้านกลางกระหม่อม บนกระหม่อมมีแผลแดงๆ ขึ้นเป็นแผ่นๆ และมีน้ำเหลืองไหลออกมา
“ช่วยวางมือลงบนนี้หน่อย” สีหน้าตู้รั่วไม่แสดงความผิดปกติใดๆ ขณะยื่นจานทดสอบวิญญาณเข้าไป
สายตาคนผู้นี้นิ่งค้าง ไม่ขยับเขยื้อน
“โก่วเซิ่งเอ๋อร์ นี่คือท่านเซียนนะ เจ้าบ้าไปแล้วรึ ยังไม่รีบทำตามอีก!” หัวหน้าตระกูลตะคอก ด้วยรู้สึกขัดหูขัดตา
คนผู้นี้จึงขยับ โดยการค่อยๆ วางมือลงบนจานทดสอบวิญญาณ
ทันใด แสงสีแดงก็เปล่งออกอย่างเจิดจ้า พร้อมรัศมีสีเหลืองจางๆ
กลุ่มคนอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้
มั่วชิงเฉินก้าวเข้าไปยืนตรงหน้า ใช้นิ้วมือทาบลงบนข้อมือเขา สักพักก็เก็บมือกลับ แล้วพึมพำ “เป็นรากวิญญาณคู่ปฐพีกับอัคคีจริงๆ ด้วย อีกทั้งรากวิญญาณอัคคียังครอบงำไปเก้าส่วน มิน่า มิน่าเล่า”
ไฟมีคุณสมบัติเป็นหยาง คนผู้นี้เป็นบุรุษ และรากวิญญาณก็มีคุณลักษณะถึงขีดสุด การที่ไม่มีโอกาสบำเพ็ญเพียร ส่งผลให้พลังหยางในร่างหลงเหลือเกินขนาด
มารดาของเขาเป็นเพียงคนธรรมดา คิดว่าตอนอยู่ในท้องมารดา เขาอยู่ในสภาวะโกลาหลก่อนกำเนิด รากวิญญาณจึงเปลี่ยนไปดูดซับพลังปราณฟ้าดินร่วมกับพลังปราณดั้งเดิมของมารดา ร่างกายมารดารับไม่ไหว จึงเสียชีวิตลง
ส่วนภรรยาทั้งสามของเขา เห็นชัดว่ารับพลังหยางที่แรงเกินไปของเขาไม่ไหว พลังหยินเสียหายมากเกินไป ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง และเสียชีวิตในที่สุด
พอไม่มีผู้หญิงบรรเทาพลังหยางในร่าง นานวันเข้า พลังหยางที่ล้นเกินขนาดก็ตกตะกอนอยู่บนผิวหนัง ซึ่งพิษจากไฟ ทำให้เกิดเป็นฝี
“ท่านเซียน โก่วเซิ่งเอ๋อร์เขา เขามีรากวิญญาณจริงหรือ” หัวหน้าชราถามอย่างเหลือเชื่อ
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “ไม่ผิด และเป็นรากวิญญาณคู่ชั้นยอดด้วย”
พูดถึงตรงนี้ ก็หันมองคนผู้นี้ พลางถามอย่างอ่อนโยน “เจ้ายอมบำเพ็ญเพียรหรือไม่”
“บำเพ็ญเพียร?” โก่วเซิ่งเอ๋อร์มีสีหน้างุนงง ยังไม่ตระหนักว่าชีวิตของเขากำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
หัวหน้าชราก้าวสั่นๆ เข้ามา ยื่นมือเหี่ยวๆ หยิกเขาแรงๆ ไปหนึ่งที
โก่วเซิ่งเอ๋อร์ค่อยมีสติ พยักหน้าหงึกๆ
“หัวหน้า รบกวนท่านจัดเตรียมห้องเงียบๆ ให้ห้องหนึ่ง เขาอายุมากแล้ว ข้าต้องช่วยเขาดึงพลังเข้าร่าง” มั่วชิงเฉินหันมาพูดกับหัวหน้าชรา
มั่วชิงเฉินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว มีนางคอยช่วย ไม่เกินสามวัน โก่วเซิ่งเอ๋อร์ก็ดึงพลังเข้าร่างสำเร็จ
ก่อนจากไป นางยังกำชับ “คุณสมบัติของเจ้าดีมาก เพียงเสียดายที่เติบโตในโลกิยะ ไม่มีคนชี้แนะ ร่างกายจึงถูกพลังไฟที่มีอยู่มากเกินไปทำลาย ตอนนี้แม้เหยียบเข้ามาในวิถีเซียนแล้ว แต่อายุเกินเกณฑ์ไปหน่อย ต่อไปก็อย่าบำเพ็ญเพียรอย่างหักโหมก็แล้วกัน ทุกอย่างปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็พอ”
พูดจบยังมอบคาถาที่เหมาะกับการบำเพ็ญเพียรของรากวิญญาณอัคคี และโอสถที่ต้องใช้ขณะฝึกพลังปราณไว้ด้วย ซึ่งในนี้มีโอสถสร้างรากฐานรวมอยู่ อีกทั้งยังมอบอาวุธให้อีกสองชนิด ค่อยเตรียมตัวจากไป
โก่วเซิ่งเอ๋อร์คุกเข่าลงเสียงดัง กึก “ท่านเซียน คุณความดีของท่าน โก่วเซิ่งเอ๋อร์ไม่มีวันลืม ขอท่านตั้งชื่อให้โก่วเซิ่งเอ๋อร์ด้วย ถ้า ถ้าหากโก่วเซิ่งเอ๋อร์บำเพ็ญเพียรสำเร็จ จะไปเยี่ยมเยียนท่าน”
มั่วชิงเฉินครุ่นคิดสักพัก จึงว่า “วาสนาของข้ากับหมู่บ้านสกุลมั่วสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ ต่อไปเกรงว่าคงไม่ได้มาอีก หมู่บ้านสกุลมั่วทั้งหมู่บ้านมีเจ้าเพียงคนเดียวที่มีรากวิญญาณ คิดว่าตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนต่อไป เจ้าต้องรับไว้อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าเจ้าจะเดินในเส้นทางบำเพ็ญเพียรได้ไกลแค่ไหน จำไว้ว่าอย่าลืมปกป้องคนในตระกูล เจ้าชื่อมั่วเซิงก็แล้วกัน”
“ขอบคุณท่านเซียนที่ตั้งชื่อให้” มั่วเซิงจรดหน้าผากกับพื้น แสดงความเคารพจากใจจริง แล้วจึงเงยหน้าขึ้น ไหนเลยยังมีร่างของมั่วชิงเฉินกับตู้รั่วอยู่อีก
“อาจารย์ ต่อไปเราจะไปไหน” ขณะยืนอยู่บนก้อนเมฆ ตู้รั่วหันมองมั่วชิงเฉินพลางถาม
สายตาของมั่วชิงเฉินเหม่อมองไปยังที่ไกลแสนไกล พลางพูดเสียงเบา “ต่อไป ไปดูๆ ที่ที่ข้าเกิดหน่อย”
“อาจารย์ก็เกิดในโลกโลกิยะหรือ”
“อืม ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง” มั่วชิงเฉินพาตู้รั่วเหาะไปยังทิศทางในความทรงจำ
หลังจากนั้นหนึ่งวัน มั่วชิงเฉินก็ชี้ไปยังภูเขาเขียวขจีที่อยู่ไกลออกไป “ตู้รั่ว เห็นไหม ข้ามเทือกเขานั่นไป ก็น่าจะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ นั่นแล้ว ข้าจำได้ ทุกครั้งในเวลาเช่นนี้ เนินเขาบนภูเขาจะเต็มไปด้วยดอกท้อที่เบ่งบานทั่วทุกหย่อมหญ้า หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านจึงถูกล้อมรอบด้วยทะเลดอกไม้”
ตู้รั่วมีท่าทางแปลกๆ อยู่บ้าง “อาจารย์ ไม่รู้ทำไม ตรงนั้นทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคยมาก เป็นกันเองมาก”
มั่วชิงเฉินยิ้มตาหยี “หรือเป็นเพราะรู้ว่าตรงนั้นเป็นที่ที่อาจารย์เติบโตมา ก็เลยคิดว่ารักนกต้องรักรังนกด้วย อะแฮ่ม ตู้รั่วหนอ เจ้าเคารพครูบาอาจารย์เช่นนี้ ทำให้อาจารย์เขินนา”
มุมปากตู้รั่วกระตุก ข่มกลั้นไว้ไม่กล้าพูดอีก แต่ยิ่งเหาะเข้าใกล้เท่าไหร่ ความรู้สึกแปลกๆ ก็ยิ่งรุนแรง
ตอนภูเขาเขียวขจีอยู่ใกล้แต่เอื้อม คล้ายมีลมปราณแปลกๆ สัมผัสผ่านหัวใจ ต่อมาตู้รั่วก็พบว่าภายในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง พลังวิญญาณโคจรเองอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว
ปราณวิญญาณฟ้าดินรอบทิศรวมตัวกันเข้ามา
สีหน้ามั่วชิงเฉินเปลี่ยนเล็กน้อย “ตู้รั่ว เจ้ากำลังจะเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณแล้ว!”
พูดจบก็สนใจอะไรไม่ได้อีก ยกมือขึ้น ปราฏปราณกระบี่หลายสายฟันศิลาภูเขาแตก ขุดเป็นห้องศิลาออกมาห้องหนึ่ง ห่อตัวตู้รั่ว แล้วเตะเขาเข้าไป “ตั้งใจเข้าฌานดีๆ ล่ะ อาจารย์คุ้มกันให้อยู่ด้านนอก”
ว่าแล้วก็โบกมือ ประตูศิลาค่อยๆ ปิดลง เห็นเพียงท่าทางของตู้รั่วที่อยากพูดอะไร แต่ก็หยุดชะงักไป
เมื่อต้องพบเจอสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ต่อให้หมู่บ้านอยู่ตรงหน้า มั่วชิงเฉินก็เข้าไปไม่ได้แล้ว
ศิษย์ในพรรค ขณะเลื่อนระดับบำเพ็ญเพียร ล้วนเลือกเข้าฌานในพรรค เพื่อรับประกันความปลอดภัยยกเว้นต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกจริงๆ
ตู้รั่วอยู่ในสภาวะคอขวดมาหลายปี ตอนนี้พลันเข้าสู่สภาวะพิชิตระดับก่อแก่นปราณ นางจึงต้องช่วยคุ้มกันเขา ป้องกันเขาจากการถูกรบกวนโดยไม่คาดคิด
ยังดี นางได้ให้โอสถที่จำเป็นต้องใช้ในการพิชิตระดับก่อแก่นปราณไว้กับเขาเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ตอนนี้เขาจึงไม่ถึงกับทำอะไรไม่ถูก
ระยะเวลาสองปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว มั่วชิงเฉินนั่งหลังตรงหลับตาอยู่หน้าปากถ้ำ ซึมซับอยู่กับการศึกษาเคล็ดวิชากระบี่โบราณ
วันนี้จู่ๆ พายุก็พัดมา เห็นแสงวิญญาณนับหมื่นพัน มั่วชิงเฉินพลันลุกขึ้นยืน เม้มริมฝีปากยิ้มน้อยๆ
ปรากฏการณ์บนฟ้า ตู้รั่วก่อแก่นปราณสำเร็จแล้ว!
ทว่าทันใด รอยยิ้มน้อยๆ กลับค้างอยู่ที่ริมฝีปาก
พายุพัดกระหน่ำรอบทิศ แสงวิญญาณกระจายเต็มท้องฟ้า สว่างไสวสุดจะเปรียบ ร่างเสมือนจริงร่างหนึ่งปรากฏขึ้นช้าๆ
รูปร่างคล้ายอสูร มีปีกคู่อยู่ด้านหลัง นั่นคือ…บุตรมังกรคนที่สาม เฉาเฟิง![1]
——
[1] มังกรมีบุตรเก้าคน บุตรคนที่สามนามว่าเฉาเฟิง มีลักษณะดั่งสัตว์สี่เท้า คล้ายสุนัข รักการเสี่ยงอันตราย ทั้งยังชอบทอดสายตาออกไปยังที่ห่างไกล รูปปั้นของมันมักถูกผู้คนติดตั้งไว้ตามแนวปั้นลมของหลังคา เชื่อกันว่าข่มขวัญมารร้าย ขจัดเภทภัยได้