พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 573 ผูกวิญญาณไว้กับผู้ใด
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงยกมือขึ้น กำลังจะสังหารอีกาไฟที่เหลือลมหายใจเฮือกสุดท้ายในฝ่ามือเดียว กลับเห็นแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้ามา
“นี่มันหมาป่าโลภฟ้านี่!” เจ้าปีศาจลั่วเฟิงจ้องเขม็ง
เขาพลันรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง การที่ผู้บำเพ็ญเพียรสามารถทำให้อีกาทองสามขากับหมาป่าโลภฟ้ามาเป็นผู้ติดตามเดนตายได้นั้นน่าสนใจจริงๆ เขาไม่ควรสังหารนางอย่างลวกๆ เช่นนี้
ความคิดนี้เพิ่งวาบปรากฏ ก็เห็นหมาป่าน้อยอ้าปากกว้างเข้ามา
ปราณสีเทาดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากปาก
ปราณสีเทาดำกลุ่มนี้ คืออารมณ์เชิงลบรูปแบบต่างๆ ที่หมาป่าน้อยเคยดูดซับมา เพิ่งพ่นออกมา เจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็รู้สึกได้ถึงความโกรธแค้นไร้ขอบเขตล้อมรอบตัวเขาไว้
“แย่ละ หมาป่าโลภฟ้าตัวนี้แปลงปราณชั่วร้ายเป็น” เจ้าปีศาจลั่วเฟิงหน้าเปลี่ยนสี
มั่วชิงเฉินกับอีกาไฟทำให้เขาบาดเจ็บติดต่อกัน ลำพังด้วยระดับบำเพ็ญเพียรของเขา การรับมือหมาป่าน้อยเดิมทีก็ไม่นับเป็นอะไร แต่ตอนนี้สามวิญญาณเจ็ดจิตของเขาเพิ่งกลับเข้าที่ จิตวิญญาณยังไม่มั่นคง ที่กลัวที่สุดกลับเป็นพลังชั่วร้ายอันไร้ขอบเขต
หมาป่าโลภฟ้าตัวนี้แค่ขั้นหก ตามหลักแล้วต้องยังแปลงพลังชั่วร้ายไม่ได้ แล้วเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้เล่า
ขณะเห็นพลังปราณสีเทาดำพุ่งเข้ามา เจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็ถอยหนีทันที
หมาป่าน้อยคลับคล้ายคลุ้มคลั่งไปแล้ว ดวงตาแดงก่ำ ดีดตัวขึ้น กระโจนเข้าใส่เจ้าปีศาจลั่วเฟิงตรงๆ
สภาพเช่นนี้นี่มัน เตรียมตกตายไปด้วยกันชัดๆ!
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงคิดไม่ตกอยู่บ้าง พอนางหนูนั่นตายไป สัตว์อสูรที่ลงนามในสัญญากับนาง ทั้งๆ ที่ได้รับอิสรภาพแล้ว แต่ทำไมถึงไม่ห่วงชีวิตตนเอง ยังมาสู้กับเขาอย่างเอาเป็นเอาตายอีก
เมื่อเห็นหมาป่าน้อยสู้ตายถวายชีวิต เจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมา
ถ้าเขาทุ่มเทพลังลงไปทั้งหมด ย่อมสามารถจัดการกับหมาป่าโลภฟ้าได้ แต่ถ้าหมาป่าตัวนี้ผสานพลังดีร้ายเข้าด้วยกัน ขณะจิตวิญญาณตนไม่มั่นคง แปดเปื้อนพลังชั่วร้ายเพียงนิดเดียว ก็จะเดือดร้อนไม่สิ้นสุด
นึกถึงตรงนี้ ก็รวบนิ้วมือเป็นดาบเล่มหนึ่ง ฟันใส่หมาป่าน้อยที่พุ่งเข้ามา
พายุคมมีดสีเขียวอ่อนฟันพลังสีเทาดำจนดับสลาย และตกกระทบลงบนร่างหมาป่าน้อย หมาป่าน้อยพลันหยุดการเคลื่อนไหว
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงจึงฉวยโอกาสนี้ พลิ้วตัวไปกับสายลม หนีไปยังที่ที่ไกลแสนไกล
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นต้นคนหนึ่ง กับสัตว์วิญญาณขั้นหกสองตัว ที่สุดแล้วก็บีบให้เจ้าปีศาจผู้โด่งดังลนลานและหนีไปได้ ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป เรื่องนี้ย่อมเป็นเรื่องปาฏิหาริย์เรื่องหนึ่ง
ต้องรู้ว่า ความโกลาหลแห่งวิกฤตอสูรในปีนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหลายคนระเบิดตนเอง ยังแลกมาได้เพียงผลลัพธ์เช่นนี้
แต่หนึ่งคนกับสองอสูร กลับตายหนึ่งเจ็บสอง
ภายใต้ความช่วยเหลือของดอกเบญมาศแดง ที่สุดแล้วเขาน้อยก็หลุดออกจากห่วงพันธนาการอสูร พุ่งตัวออกมาด้านนอก จากนั้นก็ดีดกีบเท้า ไปหามั่วชิงเฉิน
“นายท่าน นายท่าน ท่านตื่นสักหน่อยเถิด…” เขาน้อยใช้ลิ้นอันอ่อนโยนเลียใบหน้ามั่วชิงเฉินอย่างโศกเศร้าเสียใจ
พอเห็นมั่วชิงเฉินไม่ขยับเขยื้อน ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ก็กระโดดเข้าหาหมาป่าน้อยที่อยู่ใกล้สุด
“หมาป่าน้อย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
แผลเปิดยาวจากหน้าอกจนถึงท้องน้อย ผิวหนังเปิดจนเห็นอวัยวะภายใน ฟองโลหิตไหลออกจากมุมปากของหมาป่าน้อย ดวงตาแดงก่ำขยับ กลับพูดไม่ออกสักคำ
“เขา…เขาน้อย…” เสียงดังขาดๆ หายๆ ของอีกาไฟดังมา
ดวงตาเขาน้อยเกิดประกาย รีบวิ่งเข้าหาอีกาไฟ พอเห็นอีกาไฟขนชุ่มไปด้วยในโลหิต ก็ทนไม่ไหว ละล่ำละลักขึ้นมา “พี่หญิงอู๋เยว์ เขาน้อยควรทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี”
มุมปากอีกาไฟกระตุก เค้นคำพูดออกมาอย่างยากเย็น “เขาน้อย…เจ้าอย่าร้องไห้ไป ข้า…ข้ามีโอสถสมานแผลที่เมื่อก่อนนายท่านให้ไว้ เจ้าเอาให้ข้ากับ…”
พูดถึงตรงนี้ก็หายใจไม่ค่อยออก “กับหมาป่าน้อยใช้ เร็ว…”
เขาน้อยคาบยาสองสามขวดที่อีกาไฟส่งมาให้ ทั้งชนิดกินและชนิดทา ยุ่งอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ให้ยากับอีกาไฟและหมาป่าน้อยเสร็จ
เพียงแต่ไม้ตายของเจ้าปีศาจลั่วเฟิงไม่เหมือนคนทั่วไป โอสถเหล่านี้จึงใช้ได้เพียงยับยั้งโลหิต ฟื้นฟูปราณดั้งเดิมเล็กน้อย กลับไม่สามารถทำให้บาดแผลหายดี โดยเฉพาะบาดแผลส่วนท้องของหมาป่าน้อย ที่ผิวหนังยังคงพลิกม้วน ปิดไม่สนิท เห็นแล้วก็สยดสยอง
อีกาไฟฟื้นฟูปราณดั้งเดิมได้เล็กน้อย จึงใช้ดวงตาอันปวดร้าวจ้องมองเขาน้อย
“เขาน้อย เจ้าฟังข้านะ นายท่าน…นายท่านไม่มีลมหายใจแล้ว ดวงจิตดั้งเดิมต้องปรากฏ ถ้าเป็นไปตามคาด ภายในเจ็ดวัน เหอกวงเจินจวินจะรุดมาที่นี่ ข้า…ข้ากับหมาป่าน้อยไม่ไหวแล้ว ปกป้องร่างนายท่านไม่ได้ ในเจ็ดวันนี้ สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือ ปกป้องนายท่านให้ดี รอ…รอให้เหอกวงเจินจวินมา นอกจากเหอกวงเจินจวินแล้ว อย่า อย่าให้ผู้อื่นเข้าใกล้ร่างนายท่าน…จำได้ไหม”
เขาน้อยพยักหน้าติดต่อกัน “พี่หญิงอู๋เย่ว์ เขาน้อยจำได้ ผู้อื่นคิดเข้าใกล้ร่างนายท่าน เว้นเสียแต่ต้องข้ามศพเขาน้อยไปก่อน”
อีกาไฟเหลือบมองเขาน้อยอย่างจนปัญญา แล้วถลึงตามองหมาป่าน้อยอย่างโกรธเคือง
มันมัดหมาป่าน้อยกับเขาน้อยไว้ในถุงอสูรวิญญาณ เพราะอยากให้พวกมันจัดการเรื่องต่างๆ ในภายหลัง คิดไม่ถึงว่าหมาป่าน้อยกลับสุ่มสี่สุ่มห้ากระโจนออกมา และได้รับบาดเจ็บสาหัส
มอบนายท่านให้เขาน้อยที่ไม่มีกำลังต่อสู้ใดๆ มันวางใจไม่ลงจริงๆ
ความง่วงงุนค่อยๆ มาเยือน สุดท้ายอีกาไฟก็ทนไม่ไหว หลับตาลงพลางพึมพำ “มารดามันเถิด คราวนี้ข้ากำลังจะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราแล้ว…”
เขาน้อยไม่ได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายของอีกาไฟ พอเห็นมันหลับลึก ก็รู้ว่าเป็นการเข้าสู่ภาวะจำศีลเพื่อรักษาตนเองของอสูรปีศาจเวลาบาดเจ็บสาหัส จึงว้าวุ่นใจขึ้นวาบหนึ่ง
การให้อสูรเขาเดียวที่มีวิญญาณจิตบริสุทธิ์เผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ตามลำพัง เป็นการข่มเขาโคขืนให้กินหญ้าจริงๆ
ขณะมองดูมั่วชิงเฉินที่ไม่มีลมหายใจ ดวงตากลมโตเศร้าโศกของเขาน้อยก็มีความุ่งมั่นวาบผ่าน ก้มหน้าลากอีกาไฟกับหมาป่าน้อยมาอยู่ข้างกายนาง ให้นอนด้วยกัน
หมาป่าน้อยยังไม่หลับ ดวงตาจึงจับจ้องมั่วชิงเฉิน
เขาน้อยโน้มตัวเข้ามา ใช้ลิ้นเลียแผลให้หมาป่าน้อย
คนผู้หนึ่งกับสัตว์สามตัวอิงแอบแนบชิดกันเงียบๆ ไร้สุ้มเสียง
…
โรงเตี๊ยมหลิวอวิ๋น เมืองหลิวหั่ว
โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีมานานกว่าสองร้อยปี เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีของคนในเมืองรุ่นต่อรุ่นมาช้านาน
ในศาลาหลังหนึ่งหลังโรงเตี๊ยม สองบุรุษบุคลิกงามสง่าไร้ที่สิ้นสุด หนึ่งชุดเทากับหนึ่งชุดขาวกำลังเดินหมากฆ่าเวลากัน
หนุ่มชุดขาวไป๋จั่นหนิงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มในทีขณะมองดูกู้หลี
“พี่กู้ ไม่ได้เจอกันหลายสิบปี ระดับบำเพ็ญเพียรของท่านก้าวหน้ากว่าตอนไปแดนสวรรค์มี่หลัวตูด้วยกันขั้นหนึ่ง ทำเอาน้องอิจฉาจริงๆ”
ขณะมองสหายรักเก่าแก่ กู้หลีก็ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดตรงๆ “ขณะออกเดินทางท่องโลก มีวาสนานิดหน่อยเท่านั้น”
ไป๋จั่นหนิงเบ้ปาก เขย่าพัด แล้วว่า “การเปรียบเทียบคนกับคนนี่มันน่าโมโหจริงๆ ท่านว่าท่าน รากวิญญาณก็ดี วาสนาก็มาก ขนาดรับศิษย์คนเดียว ศิษย์ก็ยังสามารถบำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อกำเนิดได้ในระยะเวลาสั้นๆ ร้อยกว่าปี…”
พูดถึงตรงนี้ ก็เหลือบมองกู้หลีอย่างมีเลศนัย กลับเห็นสีหน้าเขาเรียบนิ่ง มุมปากแฝงรอยยิ้ม จึงหยั่งเชิงไม่ออก สหายรักอย่างตน เห็นทีต้องปล่อยวางแล้วจริงๆ
แต่พอนึกถึงเรื่องที่กู้หลีบำเพ็ญเพียรรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ไป๋จั่นหนิงก็วางใจลงได้เล็กน้อย
“พี่ไป๋ ท่านแพ้แล้ว” กู้หลีวางหมากตัวหนึ่งลง แล้วเงยหน้ามองไป๋จั่นหนิงพลางยิ้ม
ไป๋จั่นหนิงหงุดหงิดจนต้องตบโต๊ะเบาๆ เพิ่งคิดว่าจะพูดอะไร กลับเห็นกู้หลีจู่ๆ ก็หน้าซีด หมากในมือหล่นลงจากโต๊ะหินกลิ้งไปกับพื้น กระดูกส่งเสียงกรอบแกรบ ดังเสียดหูผิดปกติ
“พี่กู้ ท่าน…” ไป๋จั่นหนิงรู้สึกเครียด สหายรักสติหลุดเช่นนี้ ต้องเกิดเรื่องใหญ่อะไรแน่
กู้หลีกลับคล้ายไม่ได้ยินเสียงใดๆ นิ้วเรียวยาวที่สั่นเทาล้วงตะเกียงน้ำมันออกมาจากแขนเสื้อ
ตะเกียงน้ำมันเย็นแล้ว ไฟก็ดับแล้ว
ไป๋จั่นหนิงพลันหน้าเปลี่ยนสี ร้องเสียงหลง “พี่กู้ ทำไมถึง…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงก็เห็นกู้หลีลุกพรวดขึ้น แต่เพราะรีบเกินไป ร่างจึงซวนเซ พ่นโลหิตออกจากปากเลอะกระดานหมากรุก
โลหิตเป็นจุดๆ ขับให้หมากสีดำขาวเด่นสะดุดตา
“ชิงเฉิน…” กู้หลีจับตะเกียงน้ำมันแน่น กลายร่างเป็นเงาสีเทาสายหนึ่ง หายลับไปยังที่ไกลแสนไกล
ไป๋จั่นหนิงไม่สนใจผลที่ตามมา ยกเท้าเหาะตามไป
…
หุบเขาวิญญาณไฟ ดินแดนที่ไหม้เกรียม เปลวไฟเต็มท้องฟ้า กวาดตามองดู ฟ้าดินล้วนเป็นสีแดง
“สหายลั่วหยาง ยินดีด้วยที่เจ้ากำราบวิญญาณไฟได้” หญิงสาวผมแดงกล่าวอย่างแย้มยิ้ม
ชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ข้างหญิงสาว มีผมสีแดงเช่นเดียวกัน มองเยี่ยเทียนหยวนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเกรงกลัว แฝงความริษยาอยู่บ้าง
ไม่รู้ว่าลั่วหยางเจินจวินผู้นี้ มาที่หุบเขาวิญญาณไฟของพวกเขาที่แยกออกจากโลกมนุษย์ได้อย่างไร
หุบเขาวิญญาณไฟตั้งอยู่เชิงภูเขาไฟ ลึกลงไปมากกว่าเก้าหมื่นลี้ มีฟ้าดินเป็นของตนเอง มีชนเผ่าเตโชอาศัยอยู่ ชนเผ่าเตโชทุกคนล้วนมีรากวิญญาณเดี่ยวอัคคี ผมสีแดงตามธรรมชาติ พรสวรรค์เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม บรรลุการบำเพ็ญเพียรได้อย่างรวดเร็ว
เพียงแต่ชนเผ่าเตโชเหล่านี้ พอออกมาโลกภายนอก พลังวิญญาณภายในกลับถูกพลังลึกลับไว้ กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่างไป
เนื่องจากต้องเพิ่มพูนความรู้ และเก็บเกี่ยวทรัพยากรที่ใช้ในการบำเพ็ญเพียร ชนเผ่าเตโชเหล่านี้จึงต้องย้อมสีผม ไปท่องโลกภายนอกเป็นครั้งคราว แต่เพราะยากปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมภายนอก และการบำเพ็ญเพียรก็ถูกผนึก คนเหล่านี้จึงอยู่ในโลกภายนอกได้ไม่นาน และไม่ต้องการให้มนุษย์ค้นพบตัวตนของพวกเขา
ร้อยวันพันปีที่ผันผ่าน เป็นครั้งแรกที่หุบเขาวิญญาณไฟมีคนนอกเข้ามา
กลับคิดไม่ถึงว่า คนนอกผู้นี้จะเป็นผู้กำราบวิญญาณไฟผู้ชนเผ่าเตโชยกให้เป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้จริงๆ อีกทั้งยังทำให้ญาติผู้น้องหญิงที่ไม่เคยเกรงใจผู้ชายมาก่อน ต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
ในเผ่าเตโช ญาติกันแต่งงานกันได้
เยี่ยเทียนหยวนมองสัญลักษณ์วิญญาณไฟกลางฝ่ามือ เก็บสายตาลง ขณะกำลังจะพูด กลับรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ คล้ายถูกค้อนพันชั่งทุบอย่างแรง จากนั้นก็รู้สึกเสียใจและเจ็บปวดอย่างไร้ที่สิ้นสุด
“ศิษย์น้อง!” เพียงชั่วขณะ เยี่ยเทียนหยวนพลันตระหนักถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าจึงซีดขาวราวกระดาษ ไม่แม้แต่จะมองคนทั้งสอง เหาะตรงขึ้นไปทันที
ด้านบน เป็นปากถ้ำที่ลอยอยู่กลางอากาศ ด้านในมีเปลวไฟตะคุ่มๆ
นั่นคือเส้นทางหนึ่งเดียวที่ชนเผ่าเตโชใช้เป็นทางออกสู่โลกภายนอก ทุกคืนที่พระจันทร์เต็มดวง เปลวไฟในถ้ำจะดับ อุณหภูมิจะลดลงจนต่ำสุด มิเช่นนั้น แม้ชนเผ่าเตโชที่ชอบไฟแต่กำเนิดก็ไม่มีทางทนความร้อนจากเปลวไฟที่เผาไหม้ในถ้ำได้
“สหายลั่วหยาง เจ้าบ้าไปแล้ว วันนี้ชิวอิก เป็นช่วงที่เปลวไฟร้อนแรงสุด!” หญิงสาวผมแดงร้องเรียกอย่างร้อนรน อดไม่ได้ที่จะตามเยี่ยเทียนหยวนไป
เยี่ยเทียนหยวนไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ
หนุ่มผมแดงจับข้อเท้าของสาวผมแดงไว้ พลางตะโกน “น้องเยียน เจ้าจะทำอะไรน่ะ!”
สาวผมแดงรีบตอบ “ญาติผู้พี่ เขาจะถูกเปลวไฟเผาตายเอา!”
หนุ่มผมแดงโมโห “แล้วเกี่ยวอะไรกับเราด้วย น้องเยียน เจ้าอย่าลืมนะว่า เขากำราบวิญญาณไฟได้ ไม่มีทางตายจากการฝ่าเปลวไฟออกไปหรอก”
สาวผมแดงอยากจะพูดอะไรอีก กลับเห็นแผ่นหลังเขียวๆ หายเข้าไปในถ้ำแล้ว ในที่สุดก็ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย และเงียบไป
…
หมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบ ถูกเทือกเขาแยกออกจากโลกภายนอก ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบนภูเขาลูกนั้น
“เขาน้อย เจ้าไม่ต้องเลียให้ข้าแล้ว” หมาป่าน้อยพูดอย่างเยือกเย็น
“ได้อย่างไรกัน บาดแผลของเจ้าปิดไม่สนิทเสียที ถ้าไม่ได้น้ำลายข้าทำความสะอาด จะเป็นหนองได้” เขาน้อยปฏิเสธแข็งขัน แต่พลันหน้าเปลี่ยนสี “มีคนมา ต้องเป็นเหอกวงเจินจวินแน่”
พูดจบก็ลุกขึ้นยืน แล้ววิ่งไปอย่างยินดีปรีดา
หลายปีก่อน ผู้ที่กำราบเขาน้อยได้ จริงๆ แล้วคือกู้หลี แม้เขาน้อยลงนามในสัญญากับมั่วชิงเฉิน แต่ในใจมัน กลับรู้สึกอย่างไม่มีเหตุไม่มีผลว่ากู้หลีสนิทด้วยง่ายและพึ่งพาได้
กระทั่งรู้สึกว่า ขอเพียงกู้หลีมา นายท่านก็อาจรอด
แต่พอเห็นผู้มา เขาน้อยกลับหยุดฝีเท้าลง