พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 575 ปิ่นหยกเสียบมวยผม
คำพูดของเขาน้อยดุจอสุนีบาต ฟาดลงข้างหูหลัวอวี้เฉิง สะเทือนจนได้ยินเสียงดังเวิ้งว้างในหู
“เขาน้อย เจ้ากำลังล้อเล่นใช่ไหม” สีหน้าของหลัวอวี้เฉิงสงบนิ่งผิดปกติ ขณะถามเน้นทีละคำ
เขาน้อยส่ายศีรษะ น้ำตาไหลพราก “เขาน้อยไม่ได้ล้อเล่น นายท่าน นายท่านนางตายแล้วจริงๆ…”
“นั่นเป็นไปไม่ได้” หลัวอวี้เฉิงพูดเสียงเย็นๆ พลางเดินไปทางมั่วชิงเฉิน
หุ่นเชิดห้าธาตุคือของขวัญวันแต่งงานที่เขามอบให้มั่วชิงเฉิน เป็นสิ่งที่ได้จากเลือดหัวใจของเขาขณะบำเพ็ญเพียร แต่ถูกเจ้าปีศาจลั่วเฟิงทำลายในพริบตาเดียว ซึ่งหลัวอวี้เฉิงรับรู้ได้แต่แรกแล้ว
ปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือ มั่วชิงเฉินพานพบคู่ต่อสู้ที่ทรงพลัง นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขารีบรุดมา
และใช้พลังลมสายหนึ่งฟาดใส่หร่วนหลิงซิ่วจนกระเด็น พอเห็นร่างสวมเสื้อเขียวอันคุ้นเคยนอนนิ่งอยู่บนพื้นหญ้า ก็นึกว่านางบาดเจ็บ
ทว่า นางไม่มีทางตายเป็นอันขาด!
ฝีเท้าของหลัวอวี้เฉิงค่อนข้างล่องลอย ขณะในใจมีความคิดอย่างหนึ่งวนเวียนอยู่
หญิงสาวที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ขนาดเขายังถูกนางหยอกล้อจนทำอะไรไม่ถูก จะตายได้อย่างไรกัน!
ใช่แล้ว ต้องเป็นเพราะมั่วชิงเฉินบาดเจ็บสาหัสเกิน ลมหายใจรวยริน เขาน้อยไม่รู้เรื่อง จึงพูดไปเรื่อย
หลัวอวี้เฉิงเป็นบุรุษที่เฉลียวฉลาดเกินคน และจุดนี้ก็ทำให้เขายากจะเชื่อการวิเคราะห์ของผู้อื่น แม้ผู้พูดเป็นอสูรวิญญาณที่เชื่องสุดของมั่วชิงเฉินก็ตาม
ตอนนี้ความคิดเดียวของเขาก็คือ รีบไปให้ถึงข้างกายมั่วชิงเฉิน
“อวี้เฉิงเจินจวิน ท่าน ท่านเข้าไปไม่ได้” เขาน้อยตุปัดตุเป๋ลุกขึ้นยืนกั้นขวางอยู่ตรงหน้ามั่วชิงเฉิน
หลัวอวี้เฉิงอึ้ง จ้องมองเขาน้อยด้วยสายตาเย็นชา
เขาน้อยถูกดวงตาที่เย็นชาและแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกของเขามองจนรู้สึกอึดอัดใจ แต่แล้วกลับยืดอกขึ้น รวบรวมความกล้าแล้วว่า “เขาน้อยรับปากพี่หญิงอู๋เย่ว์ไว้ว่า นอกจากเหอกวงเจินจวินแล้ว จะไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้นายท่าน เว้นแต่ เว้นแต่จะข้ามศพเขาน้อยไป”
“อู๋เย่ว์?” หลัวอวี้เฉิงเหลือบมองอีกาไฟที่นอนสลบอยู่ข้างๆ มั่วชิงเฉิน แล้วเหลือบมองหมาป่าน้อยที่เหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย
จากสายตาที่โดดเด่นเกินคนของเขา ความจริงแวบแรกก็มองสภาพของอสูรวิญญาณทั้งสองออก แต่จิตใต้สำนึกกลับไม่ยอมคิดมาก เพียงเพราะอยากเข้าไปดูด้วยตัวเองสักหน่อย ให้แน่ใจว่ามั่วชิงเฉินเป็นอย่างไรบ้าง
ไม่อย่างนั้นแล้ว ใครพูด เขาก็ไม่เชื่อ!
“เขาน้อย เจ้าก็รู้นี่ว่าข้ากับนายเจ้าเป็นสหายกัน” หลัวอวี้เฉิงไม่อยากประมือกับอสูรวิญญาณของมั่วชิงเฉิน จึงข่มกลั้นความกระวนกระวายใจไว้ ก่อนพูดเรียบๆ
เขาน้อยรีบพยักหน้า “อืม เขาน้อยรู้”
หลัวอวี้เฉิงเลิกคิ้ว “เช่นนั้นข้าเข้าไปได้หรือยัง”
“ไม่ได้” พอเห็นหลัวอวี้เฉิงมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาน้อยก็แข็งใจพูด “เว้นแต่ เว้นแต่ท่านจะข้ามศพเขาน้อยไป”
เส้นเอ็นบนหน้าผากหลัวอวี้เฉิงปูดโปน พยายามพูดอย่างอ่อนโยน “เขาน้อย ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว ความเชี่ยวชาญที่มี มิใช่อสูรวิญญาณขั้นหกอย่างพวกเจ้าจะมีได้ หรือไม่ก็นายเจ้าอาจยังไม่ตาย เพียงแต่พวกเจ้าเข้าใจผิดไปเอง”
เขาน้อยเงยศีรษะขึ้นทันที พร้อมสีหน้าปีติยินดี “อวี้เฉิงเจินจวิน พวกเราเข้าใจผิดจริงๆ หรือ นายท่าน นายท่านอาจยังไม่ตายหรือ”
หลัวอวี้เฉิงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนพูดเสียงอ่อนโยนที่ไม่ค่อยได้ยินเขาพูด “อืม ดังนั้น ข้าต้องเข้าไปดูเสียหน่อย”
เขาน้อยลังเลใจสักพัก แล้วจึงใช้ดวงตากลมโตที่ชื้นแฉะจ้องมองหลัวอวี้เฉิง “อวี้เฉิงเจินจวิน ท่านคิดเข้าไป ใช่ว่าจะไม่ได้…”
หลัวอวี้เฉิงนึกว่าเขาน้อยถูกตนพูดจนหวั่นไหว จึงอมยิ้มรอฟังต่อ
เห็นสีหน้าเขาน้อยมีความเด็ดเดี่ยววาบผ่าน จากนั้นก็พูดอย่างจริงจัง “ท่านสามารถข้ามศพเขาน้อยไป”
หลัวอวี้เฉิงข่มกลั้นความโกรธไว้ในใจ เวลานี้เขาเพียงอยากต่อว่ามารดา มีอสูรวิญญาณดื้อด้านเช่นนี้ด้วยหรือ!
“เขาน้อย ถ้าเจ้ายังไม่หลีกไปอีก อาจทำให้อาการบาดเจ็บของนายเจ้าถูกลากยาวออกไป” หลัวอวี้เฉิงสูดหายใจเข้าลึกๆ
“เช่นนั้นท่านก็ข้ามศพเขาน้อยเข้าไป”
“เขาน้อย ถ้าเป็นเช่นนี้ รอนายเจ้าฟื้นขึ้นมา มิเสียใจแย่หรือ เจ้ารีบหลีกไป อย่ามาล้อเล่นดีกว่า” หลัวอวี้เฉิงแทบจะระเบิดอารมณ์ออกมา
“เช่นนั้นท่านก็ข้ามศพเขาน้อยเข้าไป…”
หลัวอวี้เฉิง “…..”
“เช่นนั้นท่านก็เหยียบศพเขาน้อยเข้าไป…”
และแล้วอารมณ์ที่ดีมาตลอดของหลัวอวี้เฉิงก็ระเบิดออก พอเห็นเขาน้อยอ้าปาก กำลังจะพูดประโยคที่เหมือนท่องคาถาสาปแช่งออกมาอีก ก็ปล่อยใบมีดวายุเข้าไป ทำให้มันสลบไสล แล้วก้าวยาวๆ ดุจดาวตกเข้าไป
ตอนนี้ ฟ้าดินล้วนเงียบสงบ เขาพลันเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงการระเบิดอารมณ์ของมั่วชิงเฉิน ว่าสะใจแค่ไหน มิน่าเล่านางถึงได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีชีวิตชีวาเช่นนั้น
หลัวอวี้เฉิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก นึกถึงภาพเมื่อครั้งอยู่หุบเขาไร้วิญญาณ ที่ถูกมั่วชิงเฉินใช้กำปั้นข่มขู่ครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่พอเห็นสีหน้ามั่วชิงเฉินในตอนนี้ รอยยิ้มก็ค้างอยู่ที่มุมปาก
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หลัวอวี้เฉิงจึงค่อยๆ นั่งคุกเข่าข้างเดียว แล้วจับมือมั่วชิงเฉินขึ้น
พลังวิญญาณออกสำรวจ เคลื่อนไปตามเส้นชีพจรที่ไร้ชีวิต ในที่สุดก็มาถึงตันเถียน และสัมผัสได้ถึงทารกปราณตัวน้อยที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
“เกิดอะไรขึ้น” หลัวอวี้เฉิงหันมามองหมาป่าน้อยที่เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย
บาดแผลจากลำคอถึงส่วนท้องของหมาป่าน้อยม้วนออกตลอด แต่เพราะน้ำลายของเขาน้อยให้ความชุ่มชื้น จึงยังคงเป็นสีแดงสด
แต่มันกลับหอบหายใจพลางจ้องมองหลัวอวี้เฉิง โดยไม่มีแรงพูดแม้เพียงครึ่ง
การถูกเจ้าปีศาจลั่วเฟิงจู่โจมใส่ แล้วสามารถมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้ ถือเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
ท่าทางสงบนิ่งของหลัวอวี้เฉิงผิดปกติอยู่บ้าง ขณะค่อยๆ ก้าวเข้าหาเขาน้อย เขาตบเข้าที่จุดวิญญาณของมัน เขาน้อยจึงค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา
“อวี้เฉิงเจินจวิน?” เขาน้อยกะพริบตาปริบๆ
“เขาน้อย เจ้าเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดหน่อยว่า นายเจ้าพบเจอเรื่องอะไรบ้าง” เสียงของหลัวอวี้เฉิงเยือกเย็นจนแทบไม่มีความรู้สึก ปกคลุมจนอึดอัดไปรอบตัว ทำให้หายใจไม่ออก
ประกายตาของเขาน้อยมืดหม่นลง ก่อนเล่าเรื่องราวให้เขาฟังอย่างละเอียด
“เจ้าปีศาจ…” หลัวอวี้เฉิงเปล่งคำนี้ออกมาช้าๆ พลางมองดูหญิงสาวที่คล้ายกำลังหลับลึก เสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน ด้วยกลัวว่าจะรบกวนจนผู้ที่อยู่ตรงหน้าตื่น “เด็กโง่ ความแค้นของเจ้า อวี้เฉิงสะสางให้”
พูดจบก็ยื่นมือออก คิดเปลี่ยนเสื้อสีเขียวที่เลอะไปด้วยโลหิตให้มั่วชิงเฉิน แต่กลับค่อยๆ หดมือกลับ แล้วนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญเพียร
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลัวอวี้เฉิงที่หลับตานั่งนิ่งมาตลอดพลันลืมตา ลุกขึ้นยืน มือไพล่หลัง แหงนหน้ามองท้องฟ้า
แสงสีเขียวสายหนึ่งเหาะจากที่ไกลแสนไกลเข้ามาใกล้ และพริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้า กลายเป็นเงาร่างสีเทา
กู้หลีเหาะลงสู่พื้นดิน พลางมองมั่วชิงเฉินที่นอนอยู่บนพื้นหญ้า ความกล้าที่จะก้าวเท้าพลันหายไปฉับพลัน
เขาน้อยกระโจนเข้ามา แล้วถลาสู่อ้อมอกกู้หลี “เหอกวงเจินจวิน ในที่สุดท่านก็มา พวกข้ากำลังรอท่านอยู่”
กู้หลีตบศีรษะเขาน้อยเบาๆ น้ำเสียงยังคงอ่อนโยน “เขาน้อย อย่าร้องไห้”
พูดจบก็ยกเท้า ก้าวไปทางมั่วชิงเฉิน
หลัวอวี้เฉิงหลีกไปด้านข้างเงียบๆ ก่อนพูดอย่างสงบนิ่ง “เหอกวงเจินจวิน เมื่อท่านมาแล้ว ข้าน้อยก็ขอตัว”
กู้หลีเงยหน้าขึ้น พลางพูดเสียงเรียบ “ขอบคุณอวี้เฉิงเจินจวินมากที่คอยคุ้มครองศิษย์ข้า”
ทั้งสองล้วนเป็นผู้ชาญฉลาด แต่พอกู้หลีเห็นสภาพเขาน้อย ย่อมคิดได้ว่าผู้ที่ทำร้ายมั่วชิงเฉินไม่ใช่หลัวอวี้เฉิง
หลัวอวี้เฉิงกวาดตามองผมขาวที่ปล่อยลงมาของกู้หลี ต่อด้วยร่องรอยสีดำที่อยู่บนเสื้อสีเทาของเขา เม้มปากแล้วว่า “เหอกวงเจินจวิน พบกันใหม่โอกาสหน้า”
กู้หลีก็ผงกศีรษะ “พบกันใหม่โอกาสหน้า”
แล้วหลัวอวี้เฉิงก็หันมองมั่วชิงเฉินอย่างลึกซึ้งวาบหนึ่ง ก่อนเกิดลมใต้ฝ่าเท้า แล้วจึงหายไปกับทิวเขาเขียวขจีในพริบตา
กู้หลีค่อยๆ นั่งยองๆ ลง มองใบหน้ามั่วชิงเฉินนิ่ง
เนิ่นนาน ถึงอุ้มครึ่งร่างบนของนางขึ้น ค่อยๆ วางลงบนหัวเข่า ใช้นิ้วมือหวีผมสลวยที่ยุ่งเหยิงให้นาง
ครั้งแล้วครั้งเล่า หวีอย่างตั้งอกตั้งใจ
“เจินจวิน?” เขาน้อยโน้มตัวเข้ามา รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างขณะมองดูท่าทางของกู้หลี
พักหนึ่ง เสียงของกู้หลีก็ดังมา “เป็นใคร”
สุคนธ์ล่าวิญญาณหนึ่งวันที่ปะปนอยู่ในตะเกียงจิตดั้งเดิมเจ้าชะตา สูญเสียประสิทธิภาพการไล่ล่าศัตรู เพราะเลยเวลาที่กำหนด
“เป็นเจ้าปีศาจ” เขาน้อยตอบ
“เจ้าปีศาจ?” กู้หลีเงยหน้ามองเขาน้อย
เขาน้อยพยักหน้า “อืม เป็นเจ้าปีศาจจริงๆ เจ้าปีศาจบอกว่า ศิษย์ของนายท่าน ตู้รั่วเป็นจิตดวงหนึ่งของเขากลับชาติมาเกิด เขาต้องการผสานร่างกับตู้รั่ว นายท่านไม่รับปาก เขา เขาจึงฆ่านายท่าน…”
พูดถึงตรงนี้ เขาน้อยก็กรีดร้องขึ้นมา “เจินจวิน ท่าน ท่านเลือดไหลแล้ว!”
กู้หลีกลับคล้ายไม่ได้ยินเสียงของเขาน้อย ปล่อยให้เลือดจากหัวใจไหลออกจากมุมปาก หยดลงบนเสื้อสีเขียวของมั่วชิงเฉินหยดแล้วหยดเล่า
ตั้งแต่ใช้คาถาโยกย้ายด้ายพันจิตตรึงใจจากร่างมั่วชิงเฉินมาสู่ร่างตน แม้เขาอาศัยการบำเพ็ญเพียรที่ล้ำลึกข่มให้สลาย นานวันเข้าดูเหมือนไม่มีปัญหา แต่ในที่สุดก็เป็นภัยซ่อนเร้นที่ตกค้างอยู่
เมื่อเกิดความรู้สึกตื่นเต้นจนเกินเหตุ ก็จะถูกด้ายพันจิตตรึงใจที่ตกค้างโต้ตอบกลับ รัดหัวใจไว้แน่น จนกระอักโลหิตจากหัวใจออกมา
เพียงแต่เขานึกว่า การมอบชิงเฉินให้ลั่วหยาง แล้วได้เห็นนางอยู่ดีมีความสุข เขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดแบบนั้นตลอดไป
โลหิตจากหัวใจมีสีแดงฉานจนน่าตกใจ ไหลเป็นสายออกจากมุมปากของกู้หลี แล้วหยดลง
สีเลือดฝาดบนใบหน้าของเขาค่อยๆ หายไป
เขาน้อยลนลาน ร้องเสียงดัง “เจินจวินๆ ท่านรีบหยุดเลือดเถอะๆ เขาน้อยขอร้องล่ะ”
กู้หลีมองดวงตาอันบริสุทธิ์ของเขาน้อย พลางหัวเราะอย่างน่าเศร้า “เขาน้อย เจ้าไม่ต้องกลัว เลือดนี้ หยุดไม่ได้ รอให้ไหลจนพอก็จะหายเอง…”
“เพราะอะไร” เขาน้อยไม่เข้าใจ
มันรู้มาตลอดว่า ความรู้สึกที่เจินจวินมีต่อนายท่านลึกซึ้งมาก แต่กลับไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงได้เลือดไหลมากมายเช่นนี้
กู้หลีลูบศีรษะเขาน้อยอย่างอ่อนโยน พลางพึมพำ “เพราะ…ข้าก็เสียใจเป็น…”
เขาน้อยยิ่งงุนงง ในใจคิด เสียใจแล้ว เลือดจะไหลหรือ เขาน้อยก็เคยเสียใจ แต่ทำไมไม่เห็นเลือดไหลล่ะ
ทว่าพอเห็นท่าทางของกู้หลี กลับถามไม่ออกอีก
เงาร่างสีขาวสายหนึ่งพุ่งลงอย่างรวดเร็ว แล้วบึ่งต่อมาที่นี่
“พี่กู้…”
ขณะมองดูท่าทางของกู้หลี และเหลือบมองมั่วชิงเฉินที่เอนร่างอยู่บนหัวเข่าของเขา ไป๋จั่นหนิงก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา “พี่กู้ ระงับความเศร้าเสียใจด้วย”
“ข้ารู้แล้ว” กู้หลีหลุบตาลง มองดูใบหน้าที่คล้ายหลับลึกของมั่วชิงเฉินให้ถ้วนถี่เงียบๆ แล้วค่อยช่วยนางมวยผมสลวยขึ้น มือข้างหนึ่งมีปิ่นหยกเพิ่มมาหนึ่งอัน เขานำมันเสียบลงไปเบาๆ
เขานึกมาตลอดว่า ปิ่นหยกอันนี้ คงไม่มีทางส่งมอบตลอดกาล
หลายปีก่อน เขาเป็นอาจารย์นาง แกะสลักหยกปิ่นปักผมสีน้ำแข็งอันหนึ่งตามอำเภอใจ แล้วปักลงบนผมให้นาง
ต่อมาเขายังคงเป็นอาจารย์นาง ตั้งใจแกะสลักหยกเป็นปิ่นเสียบมวยผม แต่กลับไม่คิดว่าจะมอบให้นาง
กู้หลีอุ้มมั่วชิงเฉินขึ้น “พี่ไป๋ เหอกวงจะกลับแล้ว”
พูดจบ ก็พยุงอสูรวิญญาณทั้งสามขึ้น เหาะไปทางพรรคเหยากวง