พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 577-1 ทฤษฎีหยินหยางการเกิดและดับสูญ (1)
“เจ้ามันยายแก่บ้า เก็บคนไว้ให้ข้า!” บุรุษชุดขาวตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว พุ่งเข้าไปหาพายุสีเขียวกลุ่มนี้
บุรุษสวมชุดสีดำไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว พลันโจมตีตรงๆ
กลับได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้น
เสียงนี้ดูคุ้นหูนัก ทั้งสองคนจึงหยุดเคลื่อนไหวตามจิตสำนึก
วายุระเบิดออกพลางพัดกระจายออกไป บนพื้นมีหญิงสาวนั่งอยู่คนหนึ่ง
หญิงสาวผู้นี้มีใบหน้างดงาม ร่างกายเย้ายวน แต่แค่ยามนี้กำลังนั่งก้นติดพื้น กุมหน้าอกของตนเอาไว้ ดูสภาพแล้วจนตรอกอยู่บ้าง
ยามนี้นางกำลังมองไปรอบๆ พลันเอ่ยด้วยโทสะ “นางหนูนั่นล่ะ คิดไม่ถึงว่าข้าที่ปราบห่านมาตลอดชีวิตกลับถูกห่านจิกตา!”
ยามนี้พวกเฮยไป๋ทั้งสองคนมีสีหน้าตกตะลึง แล้วเอ่ยออกมาพร้อมกัน “อะไรนะ แม่นางผู้นั้นทำร้ายเจ้าได้หรือ”
หลังจากที่คนตายไปแล้ว ร่างวิญญาณที่สามารถฝึกฝนวิถีของผีบำเพ็ญเพียรได้จะถูกเรียกว่าร่างผีทิพย์ และก็เป็นวิญญาณผีที่มีคุณสมบัติ
แม้ว่าคนธรรมดาและผู้บำเพ็ญเพียรล้วนสามารถกลายเป็นร่างผีทิพย์ได้เหมือนกัน แต่ความจริงแล้ว เป็นเพราะผู้บำเพ็ญเพียรฝึกฝนจิตสัมผัส จิตวิญญาณดั้งเดิมจึงแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ดวงวิญญาณย่อมแข็งแกร่งกว่าดวงวิญญาณของคนธรรมดา เช่นนั้นอัตราที่พวกเขาจะกลายเป็นร่างผีทิพย์จึงมากกว่าคนธรรมดามาก
นับตั้งแต่สภาพแวดล้อมของแดนมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป ผู้ที่มีรากวิญญาณลดน้อยลง ไม่ว่าจำนวนของผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำหรือระดับสูง ล้วนสู้จำนวนของผู้บำเพ็ญเพียรในอดีตไม่ได้ แดนผีเองก็ซบเซาลงตามไปด้วย
แดนผีถูกสิบใต้เท้าราชันผีปกครอง ต่างขยายอำนาจออกไป รากฐานก็คือร่างผีทิพย์เหล่านี้ การแข่งขันในการชักจูงผู้มีร่างผีทิพย์จึงดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขาทั้งสามสังกัดอยู่ภายใต้เมืองสามเมือง คุ้มครองอยู่ในเมืองวั่งเซิง คอยรับสมัครผู้มีร่างผีทิพย์ ต่อสู้กันมาสองสามร้อยปีแล้ว เข้าใจพละกำลังของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
พวกเขาทั้งสามมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับขุนพลผี สามารถผนึกร่างจริงได้แล้ว เทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานในแดนมนุษย์
แม้ว่าขุนพลผีในแดนผีจะเป็นผีบำเพ็ญเพียรระดับต่ำ แต่ก็เกือบจะสามารถก้าวหน้าไปได้แล้ว ถึงอย่างไรเสียแม่ทัพผีอาจารย์ผี ขนหงส์เขากิเลนหล่านั้น ถึงอยากจะพบก็ยาก
และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังสู้กันมาสองสามร้อยปี ประสบการณ์ในการต่อสู้เองก็ไม่ใช่สิ่งที่มือใหม่ผู้เพิ่งบรรลุระดับขุนพลผีจะเทียบเทียมได้ นับตั้งแต่นั้นทั้งสามคนต่างมีชัยเสมอมา แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้แม่นางเฟิงจะถูกขุนพลผีแรกเข้าทำให้ได้รับบาดเจ็บ นี่จะให้อีกสองคนไม่ตกตะลึงได้อย่างไร
“แม่นางเฟิง คงไม่ใช่ว่าเจ้าเห็นแม่นางผู้นั้นอยู่ในระดับขั้นผีธรรมดา ก็เลยเล่นซ่อนแอบกับนางหรอกนะ” บุรุษสวมชุดสีขาวกะพริบตาปริบๆ
แม่นางเฟิงฉุนเฉียว “ไป๋ต้า หากข้าบอกว่าสะดุดล้มหัวฟาดพื้น เจ้าคิดว่ายางอายของข้าน่าดูหรือ”
เห็นนางจ้องถมึงทึงใส่ บุรุษชุดขาวก็เชื่อ
“แม่นางเฟิง แม่นางผู้นั้นทำร้ายเจ้าได้อย่างไร” บุรุษชุดดำเอ่ยถาม
แม่นางเฟิงมีสีหน้าสับสนงงงวยฉายแวบผ่าน แล้วส่ายศีรษะขณะเอ่ย “เป็นวิชาที่ร้ายกาจจริงๆ พริบตาที่ข้าจับทรวงอกนางได้ ก็ไม่รู้เพราะเหตุใด หัวใจดูเหมือนจะถูกอะไรสักอย่างแทงเข้า เจ็บจนข้าทนไม่ไหวล้มลงกับพื้น ส่วนนางหายตัวไปอย่างไรนั้นยิ่งไม่แน่ใจ ไม่ต้องพูดถึงว่าวันนี้ข้าสะดุดล้ม!”
ไป๋ต้ามองทั้งสอบปราดหนึ่ง “ทั้งสองท่าน ข้าว่า กลับไปรายงานสักหน่อยเถิด เกรงว่าแม่นางผู้นั้นจะมีประวัติความเป็นมา”
เมืองผีทั้งสามที่พวกสังกัดอยู่ต่างสนิทสนมใกล้ชิดกัน แม้ปกติจะแข่งขันกันอย่างดุเดือด ความจริงแล้วเมื่อเผชิญหน้ากับอีกเจ็ดเมืองที่เหลือ กลับมีเจตนาสามัคคีกันอย่างลับๆ การเป็นลูกสมุนระดับล่างสุด แน่นอนว่าย่อมรู้ดีว่าทำอย่างไรจะเหมาะสมที่สุด
คนที่เหลืออีกสองคนพยักหน้า ไม่พูดอะไรให้มากความอีก ต่างแยกย้ายกันไปยังสาขาย่อยของตนที่ตั้งอยู่ในเมืองวั่งเซิงอย่างเข้าใจซึ่งกันและกัน
มั่วชิงเฉินในยามนี้ ปะปนอยู่ในกลุ่มผีอันชุลมุน คิดถึงเรื่องเมื่อครู่ มุมปากก็กระตุก
นางเพิ่งมาถึงแดนผี ก็บุ่มบ่ามเข้ามาในขุมอำนาจอะไรสักอย่างอย่างเลือกได้ยาก วิธีที่ดีที่สุดคือต้องหยุดอยู่นิ่งๆ ก่อน ค่อยๆ เรียนรู้สถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เมื่อได้ยินบุรุษชุดขาวพูดว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขึ้นไปสามารถพกสมบัติวิเศษเจ้าชะตาและวัตถุวิญญาณบางอย่างเข้ามาได้ นางก็แอบลอบตรวจสอบเล็กน้อย และในการตรวจสอบครั้งนี้ นางก็เกือบจะเผยความปีติยินดีออกมาทางสีหน้าแล้ว
นางไม่เพียงนำธนูเขียวซ่อนเร้นมาด้วย แม้แต่น้ำเต้าน้อยที่แขวนอยู่ตรงคอและกระสวยผสมปราณก็อยู่!
เหตุใดถึงนำน้ำเต้าน้อยและกระสวยผสมปราณมาด้วยได้ มั่วชิงเฉินขบคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ แต่นี่ไม่ได้กระทบต่อความเร็วในการตรวจจสอบสมบัติวิเศษทั้งสามของนาง จนกระทั่งมั่นใจแล้วว่าคันธนูเขียวซ่อนเร้นและกระสวยผสมปราณใช้ได้
เดิมมั่วชิงเฉินคิดจะถือโอกาสที่ทั้งสองคนต่อสู้กันใช้กระสวยผสมปราณหนีไป คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะมีผีผู้หญิงปรากฏตัวออกมาร่วมแย่งชิงด้วย
พริบตาที่ผีผู้หญิงคว้าตรงตำแหน่งทรวงอกของนาง นางก็เห็นกับตาว่ามีลำแสงสีทองสายหนึ่งผนึกรวมตัวกันเป็นเส้น พุ่งออกมาจากปากน้ำเต้า จมหายเข้าไปในหัวใจของอีกฝ่าย
แน่นอนว่านางจึงถือโอกาสนั้นกระตุ้นกระสวยผสมปราณหนีไป
ทว่าสิ่งที่ทำให้นางคิดไม่ถึงก็คือ หลังจากกระตุ้นกระสวยผสมปราณแล้วเงาร่างท่อนล่างของนางพลันอ่อนจางลง รู้สึกว่ากินเรี่ยวแรงเสียเหลือเกิน
เมื่อมองผีที่ไปๆ มาๆ เหล่านั้น มั่วชิงเฉินพลันหัวเราะอย่างไร้สุ้มเสียง
เช่นนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรไม่ดี นางดูไม่สะดุดตาเลยสักนิด เมืองผีอันใหญ่โตขนาดนี้ ทั้งสามอยากตามหานางก็ต้องงมเข็มในมหาสมุทรแล้ว
ทว่าเรื่องด่วนที่ต้องจัดการในทันทีก็คือ รีบทำความเข้าใจสถานการณ์ในแดนผี จากนั้นก็…ตามหาท่านปู่
มั่วชิงเฉินแบมือขึ้นเงียบๆ มองไข่มุกสีดำสองเม็ด
สิ่งที่ตามนางมานอกจากสมบัติสามชิ้นแล้ว ก็ยังมีไข่มุกหยินคู่นี้ แบ่งเป็นวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ของท่านปู่และวิญญาณของท่านป้าหก
สวรรค์คุ้มครองนางไม่เบาเลย!
ยามนี้ คาดไม่ถึงว่ามั่วชิงเฉินจะโชคดีอยู่บ้าง
ยามวัยรุ่นที่มีอนาคตไร้ขีดจำกัดนั้นย่อมไม่อยากเพลี้ยงพล้ำอยู่แล้ว แต่เทียบกับผู้ที่นำทรัพย์สินเงินทองติดตัวไปไม่ได้นั้น นางก็ดีกว่ามากแล้วไม่ใช่หรือ
อย่างน้อยๆ ในที่สุดนางก็สามารถแสดงความกตัญญูให้กับท่านปู่ได้
มั่วชิงเฉินลอยอยู่บนถนนสองสามวัน ในเวลาเดียวกันกับที่คุ้นเคยกับเมืองวั่งเซิงแล้ว นางก็สัมผัสได้ถึงปราณมรณะระหว่างฟ้าดินที่ค่อยๆ บำรุงร่างกายของนาง ทว่าด้วยความเร็วเท่านี้ หากอยากฟื้นฟูกลับมาเท่ากับตอนแรก กลับต้องใช้เวลาอีกไม่รู้เท่าไหร่
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วอย่างไม่รู้สึกตัว เช่นนี้ดูเหมือนจะไม่ได้
แม้ว่าธนูเขียวซ่อนเร้นและกระสวยผสมปราณที่นางพกมาจะใช้ได้ แต่หากว่ากันตามสถานการณ์แล้ว เกรงว่าเมื่อใช้อีกสามถึงห้าครั้ง ร่างวิญญาณของนางก็คงสลายหายไป
และนอกจากสมบัติวิเศษทั้งสองชนิดและน้ำเต้าที่ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดกันแน่แล้ว นางก็ไหนเลยจะมีความสามารถในการปกป้องตนเองอีก
ความจริงแล้วมั่วชิงเฉินเองก็รู้ดี ในแดนผีแห่งนี้ยังคงหนีจากลิขิตสวรรค์ไม่ได้ ในเมื่ออยู่ในลิขิตสวรรค์ เช่นนั้นก็หนีจากความสมดุลไม่ได้
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขึ้นไปสามารถพกสมบัติวิเศษเจ้าชะตามาได้ ก็นับว่ามีวาสนาน่าตกตะลึงแล้ว หากใช้ได้อย่างไร้ยางอาย แดนผีก็สูญเสียความสมดุลแล้ว
การกระทำและความพยายามในตอนที่ยังมีชีวิตนั้น ทำให้ผู้คนเมื่อเข้ามาในแดนผีแล้วได้เปรียบโดยธรรมชาติ แต่ก็แค่นั้น
“เช่นนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขึ้นไปที่มายังแดนผี หากไม่เปลี่ยนไปฝึกฝนวิถีผีบำเพ็ญเพียรเพราะมีร่างผีทิพย์ ก็ต้องเอาสมบัติวิเศษเจ้าชะตามาหลอมเป็นศาสตราผี หากไม่มีคุณสมบัติ ก็ทำได้เพียงมองสมบัติวิเศษเจ้าชะตาที่พกมากลายเป็นของไร้ค่า กลับไปเกิดใหม่อย่างจนปัญญา” มั่วชิงเฉินคาดเดาอย่างเงียบๆ
สามคนนั้นล้วนบอกว่าตนมีคุณสมบัติ รึว่า ตนต้องเปลี่ยนไปฝึกฝนวิถีผีบำเพ็ญเพียรอย่างนั้นหรือ
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อคิดถึงตรงนี้ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกขัดแย้งอยู่ลึกๆ
ไม่ว่าอย่างไร ฝึกฝนเคล็ดวิชาของผีบำเพ็ญเพียรก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด