พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 586 พี่น้องได้พบหน้าในที่สุด
ความรู้สึกนั้นแปลกประหลาดมาก เหมือนกับว่ามีอะไรสักอย่างมากระทบอารมณ์ ทุกครั้งที่หัวใจเต้น ก็จะเจ็บปวดขึ้นทีละนิดๆ กระตุ้นให้นางไปยังทิศทางหนึ่ง
ฉับพลันนั้นก็รีบกล่าวลาแม่ทัพหลิง สะบัดแขนเสื้อ พาท่านปู่และท่านอาหกบินไปยังทางที่ร้องเรียกนาง
แม่ทัพหลิงครุ่นคิด ยกมือขึ้นส่งควันสีเขียวสายหนึ่งออกไป
“นี่ๆๆ เจ้าเลิกตามข้าได้แล้ว!” เสียงคุ้นเคยดังขึ้น
มั่วชิงเฉินพลันตกตะลึง เป็นถังมู่เฉิน!
“น้องชายตัวน้อย ให้ข้าดูดวงให้เจ้าสักหน่อยเถิด ข้าดูดวงดาวและฮวงจุ้ยได้ รู้ห้าร้อยปีก่อนและรู้ห้าร้อยปีให้หลัง” ชายชราเรือนผมสีขาวดึงแขนเสื้อของถังมู่เฉินเอาไว้
ถังมู่เฉินดึงแขนเสื้อของตนเองเอาไว้แน่น “ไม่ดูๆ เป็นผีแล้วจะดูดวงอะไรล่ะ…เหวอ…”
ระหว่างที่ดึง ธูปหอมที่เหลือครึ่งดอกก็หล่นลงมาจากแขนเสื้อ ตกลงสู่พื้น
เมื่อธูปหอมตกลงสู่พื้น เปลวเพลิงที่เดิมลุกไหม้อย่างมั่นคงก็กะพริบวาบๆ เปลวเพลิงใกล้จะมอดดับ
มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าถูกอะไรสักอย่างโจมตี ชั่วพริบตานั้นก็เจ็บจนหายใจไม่ออก
…
ณ ยอดเขาลั่วเถา พรรคเหยากวง กลางค่ายกลธงอาคมเก้าด้าม ร่างผ่ายผอมของเยี่ยเทียนหยวนสั่นเทา ล้มตึงลงกับพื้น
ลมยะเยือกพัดเข้ามา เปลวเพลิงบนเทียนไขสีขาวเก้าเล่มที่กำลังลุกโชนพลิ้วไหว ดูเหมือนว่าจะมอดดับได้ตลอดเวลา
“แย่แล้ว!” เจินจวินระดับก่อกำเนิดสองสามคนพลันหน้าเปลี่ยนสี ทุกคนล้วนสำแดงอาวุธป้องกันของตนเองออกมาคุ้มครองเทียนไขสีขาว
“นี่มันเรื่องอะไรกัน จิตวิญญาณดั้งเดิมของเทียนหยวนไม่ได้ใกล้จะมอดดับนะ!” เสวียนหั่วเจินจวินย่ำเท้าอย่างร้อนใจ
ลมยะเยือกพัดมาเป็นระลอกๆ พัดเสื้อผ้าสีเทาของกู้หลีจนพลิ้วไหว คาดไม่ถึงว่าให้ความรู้สึกเหมือนมีเพียงหนังหุ้มติดกระดูก ดูผ่านโลกมาอย่างโชกโชนเป็นอย่างยิ่ง
“เกรงว่าสหายตัวน้อยถังจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นในแดนผี” กู้หลีเอ่ยพลางจ้องไปที่เยี่ยเทียนหยวน สีหน้าแปลกประหลาด
หลิวซางเจินจวินที่กำลังควบคุมสมบัติอาคมป้องกันพลันเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม “ศิษย์น้องทุกท่านไม่ต้องคิดมาก พวกเราจะทำตามที่สหายถังบอก ปกป้องเทียนไขสีขาวเอาไว้ เรื่องอื่นก็รอดูลิขิตสวรรค์ก็แล้วกัน”
“รับทราบ!”
…
ณ แดนผี เมืองเซียวเหยา
ถังมู่เฉินมองเห็นธูปตกลงพื้นก็หน้าเปลี่ยนสี ร้องตะโกนแล้วกระโจนเข้าไปแย่ง
โดยไม่เห็นว่าชายชราผมขาวมีท่าทีอะไร ก็หยิบธูปหอมไป แล้วเอ่ยพร้อมเพ่งพินิจมอง “น่าสนใจๆ”
“รีบส่งมาให้ข้า!” ถังมู่เฉินร้อนใจร้อนตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว “ตั้งแต่ที่พบเจ้า ข้าก็ยิ่งซวยขึ้นเรื่อยๆ!”
หากอยู่ในยามปกติ ได้ฟังถังมู่เฉินกล่าวเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็คงหัวเราะไม่หยุด แต่ยามนี้กลับไม่มีความคิดจะหัวเราะ กดระงับความเจ็บปวดเอาไว้ แล้วขยับริมฝีปาก ตะโกนออกไปอย่างยากลำบาก “พี่ใหญ่…”
ถังมู่เฉินเงยหน้าขึ้น พอเห็นมั่วชิงเฉินก็มีสีหน้ายินดี “น้องสาว…”
พลันอ้าแขนโผมาหามั่วชิงเฉิน
เงาร่างคนพลิ้วไหว ชายชราผมขาวดันถังมู่เฉินไปอีกด้าน แล้วพุ่งเข้ามา พิจารณามั่วชิงเฉินขึ้นๆ ลงๆ แล้วเอ่ยว่า “เรื่องประหลาดมีมากมาย ปีนี้มีมากเป็นพิเศษจริงๆ”
เอ่ยไปพลางก้มหน้าลงมองธูปหอม แล้วขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าจะคิดอะไรได้ พลางเอ่ยพึมพำ “คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ เรื่อง เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้…”
เอ่ยไปพลางเอาธูปหอมไปวางใกล้ริมฝีปากแล้วเป่าเบาๆ เปลวเพลิงที่แต่เดิมใกล้จะมอดดับพลันลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
“ตาเฒ่าวิปลาส พอได้แล้ว เจ้ามาวุ่นวายกับข้ายังพอว่า ยังคิดจะทำน้องสาวข้าอีก!” ถังมู่เฉินเอ่ยไปพลางปัดตาเฒ่าไปอีกด้าน
“พี่ใหญ่…”
มั่วชิงเฉินเอ่ยยังไม่ทันจบ ก็ถูกถังมู่เฉินกอดเอาไว้ ใบหน้าสดใสราวกับราวกับแสงในฤดูใบไม้ผลิ “น้องสาว พี่ใหญ่หาเจ้าพบแล้ว เจ้าไม่รู้ ข้าตามหาเจ้าอย่างยากลำบากเพียงไหน…”
มั่วต้าเหนียนที่ยืนอยู่ด้านหลังมั่วชิงเฉินมาโดยตลอดลูบเคราแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “แปลก ข้ามีหลานเพิ่มขึ้นมาผู้หนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ร่างของมั่วชิงเฉินแข็งทื่อ กัดฟันเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่ใหญ่ ท่านกอดแน่นเกินไปหรือเปล่า”
ถังมู่เฉินเห็นสีหน้าของมั่วชิงเฉิน ก็รู้ว่าน้องสาวอยากจะยกก้อนอิฐขึ้นมาแล้ว พลันขบคิดในใจโชคดีที่ก้อนอิฐไม่ได้มากับนางด้วย จึงปล่อยมือออก แล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราะแหะๆ “น้องสาว ข้าตามหาเจ้าพบเลยดีใจมากไปหน่อย”
มั่วชิงเฉินถอนหายใจออกมาเบาๆ รู้สึกโศกเศร้าหรือดีใจก็แยกแยะไม่ถูก “พี่ใหญ่ เหตุ เหตุใดท่านก็ตายเช่นกัน”
ถังมู่เฉินรีบร้อนมองไปรอบๆ
ชายชราผมขาวพุ่งเข้ามา ฉีกยิ้มจนตาหยีพลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรๆ ผู้เฒ่าจะดูต้นทางให้”
ถังมู่เฉินมีสีหน้าเคร่งขรึม “ตาเฒ่า พวกเราสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
ชายชราผมขาวมีสีหน้าเจ็บปวด “น้องชายตัวน้อยกล่าวเช่นนี้ ผู้เฒ่าไปก็ได้”
“เดี๋ยวก่อน!” ถังมู่เฉินร้องตะโกน
ชายชราผมขาวรีบหันกายกลับมา
“เอาธูปหอมมาให้ข้า เกือบจะถูกเจ้าหลอกเอาไปแล้ว!”
ชายชราผมขาวเหลือบมองธูปหอมในมือแวบหนึ่งแล้วฉีกยิ้มพลางเอ่ย “ผู้เฒ่าเก็บได้จากพื้น ไม่ให้!”
เอ่ยจบก็แตะปลายเท้า บินพุ่งออกไปไกล
ถังมู่เฉินหน้าเปลี่ยนสี คว้าแขนของมั่วชิงเฉินเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “น้องสาว รีบตามไปเร็ว ในมือเขาคือธูปวิญญาณของลั่วหยางเจินจวิน!”
มั่วชิงเฉินได้ยินแล้วพลันใจสั่น ไม่สนใจสิ่งอื่นอีก ตบปลายเท้าไล่ตามไป
ชายชราสวมชุดสีเทาขาว ดูไม่ออกว่าพลังยุทธ์อยู่ในระดับใด แต่กลับบินอยู่ตรงหน้านางไม่ไกลนักตั้งแต่ต้นจนจบ
มั่วชิงเฉินตกตะลึงอยู่ในใจ พลังบริสุทธิ์รวมอยู่ที่ปลายเท้าไม่หยุด ร่างกายกลายเป็นควันสีเขียวอย่างรวดเร็ว
เจ้าหนีข้าไล่ตามไปเช่นนี้ไม่รู้นานเท่าไหร่ ฉับพลันนั้นชายชราก็หยุดลง ฉีกยิ้มชั่วร้ายให้กับมั่วชิงเฉิน
แม้ว่ามั่วชิงเฉินจะไม่รู้จักธูปวิญญาณว่ามีประโยชน์อะไร แต่กลับเข้าใจว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับลมหายใจของศิษย์พี่ ชายชราผู้นี้เห็นว่าลึกลับแปลกประหลาด จึงอยากจะทำความรู้จัก
เมื่อมาอยู่ตรงหน้าชายชราผมขาว นางก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ทำจิตใจให้สงบลงแล้วคารวะพลางเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส”
ชายชราผมขาวพลันตกตะลึง จากนั้นก็โบกมือพลางเอ่ยว่า “แม่นางเรียกผู้เฒ่าเช่นนี้ ผู้เฒ่าคงไม่อาจรับไว้ ผู้เฒ่าเป็นแค่คนดูดวง และมีเคล็ดวิชาลับในการหลบหนีเท่านั้น”
มั่วชิงเฉินไม่ได้โต้แย้ง พลันโคจรพลังเงียบๆ แรงกดดันระดับอาจารย์ผีแผ่ออกไป ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าเชื่อมั่นและมั่นคง “อนุชนมั่นใจว่า ไม่มีทางตามผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันไม่ทัน”
ยามที่นางประมือกับอาจารย์ชิงหยวน นางพบว่าไม่เพียงศรไม้ท้อจะมีผลในการควบคุมผีบำเพ็ญเพียร พลังบริสุทธิ์เองก็มีแรงกดดันต่อพลังวิญญาณ
ดังนั้นที่นางกล่าวว่าระดับไม่มีทางด้อยกว่าผีบำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกัน นั่นไม่ได้พูดเกินจริง
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นผีบำเพ็ญเพียรที่รักษาระยะห่างกับนางได้ตลอดโดยไม่เปลืองแรงนั้น คงเป็นราชันผีอย่างไม่ต้องสงสัย!
ชายชราผมขาวแววตาเปล่งประกาย คิดไม่ถึงจริงๆ คาดไม่ถึงว่านางหนูน้อยผู้นี้จะอยู่ในระดับอาจารย์ผี คาดไม่ถึงว่าข้าผู้เป็นราชันจะตาถั่ว
ความจริงแล้วสองคนนี้ มีความเข้าใจผิดกัน
มั่วชิงเฉินคิดว่าอยู่ต่อหน้าราชันผี พลังยุทธ์ที่แท้จริงของนางจะถูกมองออก เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ แน่นอนว่าจึงคืนกลับสู่พลังยุทธ์เดิม
แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นเพราะพลังบริสุทธิ์ที่โคจรอยู่ในร่างของนาง แตกต่างกับคุณสมบัติของผีบำเพ็ญเพียร ไม่ต้องพูดถึงราชันผี ต่อให้เป็นจักรพรรดิผีเสด็จลงมา ก็ดูไม่ออก
“ฮ่าๆ แม่นางน้อยน่าสนใจจริงๆ ที่ผ่านมาผู้เฒ่ามักจะเบื่อๆ ยามนี้ได้พบกับผู้ที่น่าสนใจสองคนแล้ว” ชายชราผมขาวหัวเราะร่า
มั่วชิงเฉินหลุบเปลือกตาลง จ้องเขม็งไปยังธูปหอมในมือของชายชรา
การพบกันอย่างกะทันหันเช่นนี้ ความรู้สึกกดดันจิตใจที่พลิ้วไหวไปตามเปลวเพลิงของธูปหอม ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ
“แม่นางน้อย ธูปหอมนี้ สำคัญกับเจ้ามากใช่หรือไม่” ชายชราผมขาวฉีกยิ้มจนตาหยีพลางเอ่ยถาม
มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ชายชราผมขาวฉีกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “แม่นางน้อย หากเจ้าบอกผู้เฒ่าว่าเจ้ากับพี่ใหญ่มาที่นี่ได้อย่างไร ผู้เฒ่าจะคืนธูปหอมให้เจ้า”
มั่วชิงเฉินได้ฟังก็มองชายชราแวบหนึ่งด้วยความประหลาดใจ “ผู้อาวุโสล้อเล่นแล้ว อนุชนย่อม…ต้องตายถึงมาได้”
เห็นสีหน้าของมั่วชิงเฉินไม่เหมือนแสร้งทำ ชายชราผมขาวก็ส่ายศีรษะอย่างแปลกประหลาด “ไม่ถูกต้องๆ”
เอ่ยไปพลางร่างกายก็โน้มไปด้านหน้า ชี้ไปที่หน้าผากของมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินทะยานหลบไปด้านหลังตามจิตสำนึก แต่กลับหลบไม่พ้น นิ้วของชายชรากดไปที่หว่างคิ้วของนาง จากนั้นก็เคลื่อนย้ายออก เผยสีหน้าเข้าใจแล้วออกมา “ผู้เฒ่าว่าแล้ว เส้นหยินหยางตรงหว่างคิ้วของเจ้ายังไม่ขาด ยังมีชีวิตอยู่ชัดๆ”
มั่วชิงเฉินได้ฟังพลันใจเต้น หัวเราะอย่างขมขื่นพลางเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสทำให้อนุชนสับสนแล้ว ตอนยังมีชีวิตอยู่อนุชนได้ประมือคนผู้หนึ่ง แต่เพราะพลังยุทธ์สู้ไม่ได้จึงถูกสังหาร วิญญาณจึงมาที่นี่ตั้งนานแล้ว จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”
ชายชราผมขาวตบศีรษะ “ผู้เฒ่าเข้าใจแล้ว เกรงว่าหากอยากเข้าใจ คงต้องถามเจ้าเด็กที่มาหาเจ้าผู้นั้น”
เอ่ยจบก็ส่งธูปหอมให้ “ถือให้ดี พวกเรากลับไปกันเถิด!”
มั่วชิงเฉินรับธูปหอมมา จิตใจสั่นคลอนคราหนึ่ง หางตามีหยาดน้ำตาหยดลงมาอย่างไม่รู้สึกตัว
“ศิษย์พี่ เป็นท่านใช่หรือไม่…”
…
ท่ามกลางค่ายกลธงทั้งเก้า ทารกปราณที่นั่งตัวตรงอยู่เหนือศีรษะเยี่ยเทียนหยวนขนาดหดเล็กลงกว่าครึ่ง หางตามีน้ำตาไหลออกมา
…
ชายชราผมขาวและมั่วชิงเฉิน คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลังบินกลับมายังที่เดิม แต่กลับไม่เห็นเงาของถังมู่เฉินและมั่วต้าเหนียนทั้งสามคน
มั่วชิงเฉินมีสีหน้าดูไม่ได้ ไม่ปกปิดพลังยุทธ์อีก เดินไปที่แผงน้ำชาที่อยู่ใกล้ๆ เอ่ยถามเจ้าของแผงว่า “สามคนเมื่อครู่ไปไหนแล้ว”
เจ้าของแผงเห็นผู้ที่ถามเป็นอาจารย์ผีผู้หนึ่งก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง เอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ใต้เท้าอาจารย์ผี ใช่ ใช่ชายชราคนหนึ่ง บุรุษหนุ่มคนหนึ่ง และยังมีแม่นางคนหนึ่งหรือไม่”
“ใช่แล้ว”
เจ้าของแผงไม่ลังเล พลางเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าน้อยเห็น ใต้เท้าอาจารย์หย่าและจอมพลไป๋ซิงทั้งสองพาพวกเขาไป”
มั่วชิงเฉินได้ยินแล้วพลันรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง “พวกเขาไปทางไหน”
“ทางนั้น” เจ้าของแผงยื่นนิ้วออกมา
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว นั่นน่าจะเป็นจวนของอาจารย์หย่า
เมืองเซียวเหยามีอาจารย์ผีอยู่สิบกว่าตน ทุกตนล้วนมีจวนของตนเอง นางมาที่นี่ก็เพราะอยากมีชีวิตเงียบๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาจึงทำความเข้าใจเรื่องราวของอาจารย์ผีเหล่านั้น รวมทั้งเรื่องจวนของพวกเขาอยู่ที่ใด
“แม่นางน้อย ผู้เฒ่าจะไปกับเจ้า ข้าอยากเห็นว่าเจ้าเด็กสองคนนั้นจะก่อเรื่องอะไร เหตุใดถึงพาคนที่ข้าสนใจไป” ชายชราผมขาวเอ่ยจบก็ชิงบินล่วงหน้าไปก่อน
มั่วชิงเฉินกลับรู้สึกมีลางสังหรณ์ อาจารย์ผีสองตนพาพวกถังมู่เฉินทั้งสามไป เกรงว่าคงไม่ได้สนใจถังมู่เฉิน แต่เป็น…ท่านอาหก!
ไม่นานนัก ทั้งสองก็ร่อนลงตรงหน้าจวนของอาจารย์หย่า
ผีน้อยที่รักษาการณ์อยู่หน้าประตูไม่รู้จักชายชรา สายตาตกอยู่บนร่างของมั่วชิงเฉิน “ใต้เท้า ท่านมาตามหาคนหรือ”
“ใช่แล้ว” มั่วชิงเฉินพยักหน้า
ผีน้อยรักษาการณ์รีบเปิดประตู “เชิญใต้เท้าขอรับ ใต้เท้าอาจารย์หย่าออกคำสั่งไว้แล้ว หากท่านมาก็ให้รีบเชิญท่านเข้าไป เขาและใต้เท้าไป๋ซิงอยากพบท่านสักครั้ง”
ผีน้อยเอ่ยไปพลางนำทางไปพลาง มั่วชิงเฉินตามอยู่ด้านหลัง ขบคิดในใจว่าเกรงว่าอาจารย์หย่าจะไม่รู้ว่าตนเป็นอาจารย์ผีตนหนึ่ง ปฏิบัติต่อผีบำเพ็ญเพียรที่มีพลังยุทธ์ต่ำกว่าขั้นหนึ่งอย่างมีมารยาทเช่นนี้ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกดีนัก
แต่แค่คิดถึงการกระทำเรื่องพาท่านปู่และพวกทั้งสามคนไป ในใจก็เกิดความโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก
“ใต้เท้าอาจารย์หย่า ใต้เท้าผู้นั้นมาแล้วขอรับ” ผีน้อยยืนเอ่ยเสียงสูงอยู่ที่ประตู
พลันได้ยินเสียงอ่อนโยนดังออกมา “รีบเชิญเข้ามา”