พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 589 กลับมายังวิถีมนุษย์
“น้องสาว เจ้าจำเอาไว้ อีกเดี๋ยวหลังจากที่พวกเราออกเดินทาง เจ้าต้องอยู่ด้านหลังข้า อย่าพูดอะไรเด็ดขาด” ถังมู่เฉินออกคำสั่ง และไม่ได้อธิบายใดๆ ให้มากความ
มั่วชิงเฉินพยักหน้า
มือขวาของถังมู่เฉินค่อยๆ ถูกเปลวเพลิงสีเทาดำปกคลุม จากนั้นพลันแตะเบาๆ ที่กลางอากาศ ที่ตรงนั้นก็มีคันฉ่องแสงปรากฏขึ้น
“ไปกันเถิด” ถังมู่เฉินจูงมือมั่วชิงเฉิน เดินไปหาคันฉ่องแสง แล้วโบกมือไปด้านหลัง “ตาแก่ พวกเราไปแล้วนะ”
คันฉ่องเปล่งแสง ชั่วพริบตา ถังมู่เฉินและมั่วชิงเฉินก็เดินเข้าไปในคันฉ่อง
ได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวของเจินจวินฉินก่วงแวบมา “เจ้าเด็กบ้า เรียกท่านอาจารย์…”
เข้าไปในคันฉ่อง มั่วชิงเฉินพบว่าไม่เหมือนหนทางที่นางเข้ามา
เท้าจมอยู่ใต้น้ำสีน้ำตาลอ่อน ได้ยินเสียงน้ำไหลตามเท้า เท้ากลับไม่เปียกเลยสักนิด ดูเหมือนว่าจะมีตัวกลางไร้รูปร่างอะไรสักอย่างกั้นอยู่ระหว่างน้ำสีน้ำตาล
ระหว่างทาง มีเพียงนางและถังมั่วเฉินสองคน เดินไปด้านหน้าคนหนึ่งและหลังคนหนึ่งตามลำดับ
เช่นนี้ไม่รู้ว่าต้องเดินไปอีกนานเท่าไหร่ มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าน้ำสีน้ำตาลอ่อนแข็งตัว ทุกครั้งที่ยกเท้าล้วนรู้สึกกินแรงมาก
ถังมู่เฉินดูแล้วกลับผ่อนคลายเหมือนเก่า
เขาดูเหมือนว่าจะนึกถึงจุดนี้เอาไว้แล้ว คว้าแขนของมั่วชิงเฉินเอาไว้แน่น จูงนางเดินไปข้างหน้า
ต่อมา มั่วชิงเฉินพลันหอบหายใจ แม้ว่าจะถูกถังมู่เฉินจูง ก็ยกเท้าไม่ขึ้น
นางประหลาดใจเล็กน้อย ยามนี้ตนเองเป็นแค่วิญญาณชัดๆ เหตุใดถึงดูเหมือนมีน้ำหนักเป็นพันจวิน
แต่เพราะจำคำสั่งของถังมู่เฉินได้ นางจึงไม่ได้ส่งเสียง กัดฟันเคลื่อนตัวไป
ถังมู่เฉินหันหน้ากลับไป ย่อเข่าลง ชี้ไปที่แผ่นหลังของตัวเอง
มั่วชิงเฉินตกตะลึง ได้ปฏิกิริยาตอบสนอง ไม่สนใจคนหน้าซื่อใจคด ปีนขึ้นไปอย่างราบรื่น
ถังมู่เฉินหยัดกายลุกขึ้นยืน แบกมั่วชิงเฉินสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็วราวกับเหาะเหิน
หนทางยาวกว่าที่มั่วชิงเฉินจินตนาการเอาไว้ หมอบอยู่บนหลังของถังมู่เฉิน นางมองไปยังธูปวิญญาณในแขนเสื้อเป็นบางครั้งคราว
ธูปวิญญาณขนาดเท่านิ้วเล็กๆ ลุกไหม้อย่างไม่รีบร้อนและไม่เชื่องช้า ขี้เถ้าโรยไปบนเส้นทางแม่น้ำเหลืองอย่างเงียบเชียบ แผ่กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ออกมา
ทุกการลุกไหม้ส่วนหนึ่ง หัวใจของมั่วชิงเฉินก็จะบีบรัดคราหนึ่ง
ในที่สุด เบื้องหน้าก็มีลำแสงเจิดจ้าปรากฏขึ้นอยู่รางๆ
มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกดีใจ
หรือว่าจะถึงแล้ว
ยามที่เข้าใกล้ลำแสงนั้น ความเปลี่ยนแปลงก็ปรากฏขึ้น
น้ำสีน้ำตาลอ่อนกระโจนขึ้นมา เงาสีเทาดำสายหนึ่งกระโจนเข้าไปหามั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก ไม่ได้ส่งเสียง
ร่างกายของถังมู่เฉินถอยร่นไปด้านหลังอย่างรีบร้อน สองมือผลักไปด้านหน้า
ชั่วพริบตาเปลวเพลิงสีเทาดำก็โจมตีห่อหุ้มไปยังเงาสายนั้น เสียง เปรี๊ยะๆ ดังมา
ถังมู่เฉินสาวเท้าไปก้าวหนึ่ง กระโจนเข้าไปในคันฉ่องแสง
ชั่วพริบตานั้น ผิวของมั่วชิงเฉินทุกระเบียบนิ้วล้วนรู้สึกเหมือนถูกแผดเผา หลังจากที่นางได้สติกลับคืนมา ในที่สุดก็มองเห็นทัศนียภาพโดยรอบ
ธงสีขาวเก้าด้ามสะบัดโต้ลม ตรงใจกลางมีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง แผ่นหลังเหยียดตรง สีหน้าเย็นชา เหนือศีรษะมีทารกเล็กๆ อยู่คนหนึ่ง ทว่ามีขนาดเท่าเมล็ดมันฮ่อ กำลังกลิ้งไปมาด้วยความเจ็บปวด
“ศิษย์พี่!” มั่วชิงเฉินตะโกนออกไป
“พวกเขากลับมาแล้ว!” พวกหลิวซางเจินจวินหลายคนที่อยู่ด้านนอกค่ายกลพลันลุกขึ้น เผยสีหน้ายินดีออกมา
กู้หลีเดินไปทางค่ายกลเก้าธงอย่างไม่รู้ตัว แล้วหยุดชะงักฝีเท้า
มั่วชิงเฉินกระโดดลงมาอย่างรวดเร็ว พลางวิ่งไปหาเยี่ยเทียนหยวน
ถังมู่เฉินยื่นมือไปคว้านางเอาไว้ “น้องสาว ไม่ได้!”
มั่วชิงเฉินหันหน้ากลับไป เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น “เพราะเหตุใด”
“แผดเผาจิตวิญญาณดั้งเดิมให้กลายเป็นธูปวิญญาณเสาะหาวิญญาณ เมื่อพบวิญญาณที่ตามหา จิตวิญญาณดั้งเดิมที่ถูกแผดเผาจะรู้ตัว ความปรารถนาสำเร็จ จิตใจที่แน่วแน่จะผ่อนคลายลง จิตวิญญาณดั้งเดิมก็อาจจะแหลกสลาย” ถังมู่เฉินสาวเท้ายาวๆ ไปหาเยี่ยเทียนหยวน “รอให้ข้าใช้เคล็ดวิชาลับดับจิตวิญญาณดั้งเดิมก่อนแล้วเจ้าแล้วค่อยมา”
มั่วชิงเฉินตกใจจนไม่กล้าขยับตัวอีก
ถังมู่เฉินเดินมาอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนหยวน นิ้วร่ายอาคม จากนั้นก็ดีดไปเบาๆ
เสียง พรึ่บ ดังขึ้น เปลวเพลิงบนจิตวิญญาณดั้งเดิมก็มอดดับ
ร่างกายทารกปราณตัวน้อยยังคงกระตุกเกร็ง ไม่ขยับเขยื้อน
ปลายนิ้วของถังมู่เฉินมีลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกมา พันรัดทารกปราณ ผลักมันเข้าไปในหว่างคิ้วของเยี่ยเทียนหยวนอย่างระมัดระวัง
ภายใต้การบอกใบ้ของถังมู่เฉิน มั่วชิงเฉินถึงได้กล้าเดินมา ยื่นมือที่สั่นเทาไม่หยุดออกมา ทาบทับลงบนใบหน้าของเยี่ยเทียนหยวน
สัมผัสนั้นคาดไม่ถึงว่าจะเย็นเยียบไม่ต่างอะไรกับกายเนื้อของตนเอง
ชั่วพริบตาความหวาดกลัวก็ทะลักเข้ามาในจิตใจของมั่วชิงเฉิน
“พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ของข้าเขา…”
ถังมู่เฉินตบบ่านางด้วยความปลอบใจ “อย่างกังวลเกินไป นั่นเป็นเรื่องปกติ จิตวิญญาณดั้งเดิมของลั่วหยางเจินจวินเสียหายไปมาก จิตวิญญาณดั้งเดิมที่เหลือก็ทำได้เพียงรักษาประสิทธิภาพของร่างกายพื้นฐานเอาไว้เท่านั้น ไม่เพียงพอจะทำให้เขาตื่นได้”
ถังมู่เฉินขบคิดในใจ นี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวแล้ว หากหาเจอช้าอีกสองสามวัน ผลที่ตามมานั่นต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่ไม่กล้าคาดคิด
“ศิษย์พี่เขาจะตื่นตอนไหน”
ถังมู่เฉินครุ่นคิด “เกรงว่าอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งร้อยปีกระมัง”
“หนึ่งร้อยปีหรือ” มั่วชิงเฉินเอ่ยพึมพำ รู้สึกยากจะรับไหว
“น้องสาว เจ้าอย่าเพิ่งคิดมากเลย เรื่องที่เร่งด่วนก็คือ จิตวิญญาณของเจ้าต้องรีบกลับไปยังกายเนื้อ” ถังมู่เฉินเอ่ยไปพลางร่ายอาคมอย่างต่อเนื่อง ถอนธงทั้งเก้าออก
หลิวซางเจินจวินและพวกเข้ามาล้อมเอาไว้
ถังมู่เฉินพลันเข้ามาห้าม “อย่าเข้ามา ทุกท่านล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด และยังเป็นบุรุษ ปราณหยางมากเกินไป มีผลกระทบต่อการกลับเข้าร่างของชิงเฉิน”
พวกเขาพลันหยุดฝีเท้า
มั่วชิงเฉินกดความเป็นห่วงศิษย์พี่เอาไว้ในใจ คารวะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหลายคนเหล่านั้น “ชิงเฉินกลับมาแล้ว ทำให้เหล่าอาวุโสเป็นกังวลแล้ว”
“กลับมาแล้วก็ดีๆ” เสวียนหั่วเจินจวินหัวเราะแผ่วเบา
กู้หลีทำได้เพียงมองมั่วชิงเฉินอย่างเงียบๆ รอยยิ้มยังคงอ่อนโยนเหมือนเก่า
“ท่านอาจารย์…” มั่วชิงเฉินไม่กล้าเงยหน้ามองรูปร่างผ่ายผอมของท่านอาจารย์ ในใจเต็มไปด้วยการโทษตัวเอง
กู้หลีเอ่ยปาก “ชิงเฉิน รีบกลับสู่กายเนื้อเถิด ศิษย์น้องลั่วหยางยังต้องการเจ้าเป็นผู้ดูแล”
“เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินก้มหน้าลงตอบรับ
“เจินจวินทุกท่าน พวกท่านพาลั่วหยางเจินจวินไปก่อนเถิด อย่าให้ใครบุกเข้าไปในยอดเขาลั่วเถา รอให้ผ่านคืนนี้ไป ชิงเฉินก็จะไม่เป็นไรแล้ว”
ถังมู่เฉินไล่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหลายคนนั้นไป รอจนถึงยามเที่ยงคืน ก็พามั่วชิงเฉินเดินไปยังจุดที่กายเนื้อของนางเก็บรักษาอยู่
มองตนเองในโลงศพผลึกแก้ว ในใจของมั่วชิงเฉินพลันมีความรู้สึกแปลกประหลาดผุดขึ้นมา
“น้องสาว เจ้าเดินเข้าไปในหว่างคิ้วก็ได้แล้ว” ถังมู่เฉินเปิดฝาโลงผลึกแก้ว มือกำสมบัติวิเศษแน่น เตรียมตัวป้องกันสถานการณ์แปลกประหลาดที่จะเกิดขึ้น
มั่วชิงเฉินพยักหน้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ร่างกายค่อยๆ ลอยขึ้น ลอยพลิ้วไหวไปยังหว่างคิ้วของกายเนื้อ
ความเจ็บปวดส่งมา มั่วชิงเฉินเจาะเข้าไปด้านในด้วยความยากลำบากโดยไม่รู้เพราะเหตุใด
กายเนื้อปูดโปนส่งเสียง กรอบแกรบ เปล่งแสงออกมาเป็นระลอกๆ
ถังมู่เฉินหน้าเปลี่ยนสี ตะโกนออกไปด้วยเสียงร้อนใจ “น้องสาว รีบถอยออกมา!”
มั่วชิงเฉินถอยร่นไปด้านหลัง พลางร่อนลงสู่พื้น ท่าทางงุนงงเล็กน้อย “พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้น”
ถังมู่เฉินพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม สาวเท้ายาวๆ ไปคว้าข้อมือของมั่วชิงเฉิน หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็สั่นศีรษะ “แปลก ก่อนหน้านี้ที่ข้าตรวจสอบ แม้ว่าเจ้าอยู่ในแดนผีจะมีพลังยุทธ์ระดับอาจารย์ผี จิตวิญญาณกลับไม่ถูกปราณมรณะกลืนกิน ตามหลักการแล้วจิตวิญญาณต้องกลับเข้ากายเนื้อได้สิ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
“พี่ใหญ่ หรือว่า ข้าจะกลับไปไม่ได้แล้ว” มั่วชิงเฉินรู้สึกหัวใจบีบรัด
“ให้ข้าคิดสักหน่อย” ถังมู่เฉินจับเรือนผม ก้าวเดินกลับไปกลับมา
ไม่นาน ถังมู่เฉินก็ตบศีรษะ “ข้าเข้าใจแล้ว! น้องสาว แม้ว่าจิตวิญญาณของเจ้าจะไม่ถูกปราณมรณะกลืนกิน แต่มันแข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นกายเนื้อของเจ้าก็ไม่อาจรับได้ หากพยายามฝืนเข้าไป กายเนื้อจะแตกสลาย!”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็เกิดความหวาดกลัวขึ้น “โชคดีเมื่อครู่ข้ารู้สึกผิดปกติ ถึงได้ห้ามได้ทัน”
“เช่นนั้นข้าจะทำอย่างไร” ถังมู่เฉินหัวเราะอย่างขมขื่น เหตุใดนางถึงมักจะพบเจอเรื่องพลิกผันไปมาเช่นนี้กันนะ
“ข้าเองก็ไม่รู้” ถังมู่เฉินนั่งลงอย่างโศกเศร้า ฉับพลันนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ พลิกฝ่ามือ มีสมุดเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น
สมุดเล่มนี้มีรูปร่างกึ่งโปร่งใส ดูเหมือนล่องหนอย่างไรอย่างนั้น
ถังมู่เฉินกดมือไปบนสมุด ปากพลันบริกรรมคาถา
สมุดเปล่งลำแสงออกมาเป็นระลอกๆ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็ขยับแม้ไร้ลม พลิกหน้ากระดาษ ด้านบนมีตัวอักษรสีดำปรากฏขึ้นสองสามแถว ตัวอักษรสีดำหายวับไปอย่างรวดเร็ว
ถังมู่เฉินโอบกอดสมุดบันทึกหยินหยาง เหยียดมุมปากหัวเราะอย่างโง่เขลา
เห็นมั่วชิงเฉินมีท่าทีไม่เข้าใจ ก็เอ่ยอธิบายด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “น้องสาว เมื่อโอกาสมาถึงโชคชะตาของเราก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ ตาแก่นั่นมอบสมุดบันทึกหยินหยางมาให้นั้นนับว่ามีประโยชน์มาก ไม่เข้าใจก็ซักถาม ก็ได้คำตอบแล้ว”
เอ่ยไปก็อดดีอกดีใจไม่ได้ แล้วพลันเอ่ยถาม “ตาแก่ หญิงงามข้างสะพานไน่เหอผู้นั้น เป็นคนรักเก่าของท่านหรือ”
สมุดหยินหยางพลิกหน้ากระดาษ สุดท้ายก็นิ่งลง ด้านบนมีประโยคหนึ่งปรากฏขึ้น “ไสหัวไป วันข้างหน้านอกจากยามพระจันทร์เต็มดวง อย่ามารบกวนข้า ข้าจะตีเจ้าให้ตาย!”
ถังมู่เฉินร้องอุทานออกมาอย่างน่าอนาถ “ประมาทเกินไปแล้ว รักสนุกแต่ทุกข์ถนัด”
มั่วชิงเฉินนั่งหน้าเคร่งเครียดอยู่ด้านข้าง ในใจกลับรู้สึกผ่อนคลายลง เจ้าหมอนี่ฟื้นคืนกลับมาเป็นดั่งเช่นยามปกติ ก็พิสูจน์ได้ว่าเขามีวิธีแก้ปัญหา
เป็นดังที่คาดไว้ รอจนเขาฟื้นกลับมาเป็นปกติ ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้องสาว ตาแก่บอกว่า วิญญาณแข็งแกร่งเกินไปจะกลับเข้ากายเนื้อไม่ได้ ต้องทำให้จิตวิญญาณอ่อนแอลง”
“นี่ไม่ใช่คำพูดไร้สาระหรือ” มั่วชิงเฉินกรอกตา
ถังมู่เฉินเอ่ยอย่างคล้อยตาม “เป็นความจริง ตาแก่นั่นชอบพูดจาไร้สาระ ทว่าด้านหลังถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ เขาบอกว่า ดวงวิญญาณของเจ้าเป็นของบำรุงจิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้บำเพ็ญเพียร”
ทุกสรรพสิ่งล้วนย่อมมีการข่มกัน ในบทความก่อนหน้าได้เอ่ยเอาไว้ โลหิตบริสุทธิ์ของผู้บำเพ็ญเพียรเป็นของบำรุงให้กับแก่ร่างผี ในทางกลับกัน ดวงวิญญาณก็เป็นของบำรุงให้แก่จิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้บำเพ็ญเพียร
หลังจากที่แดนมนุษย์และแดนผีตัดขาดกันแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากในแดนมนุษย์ก็รู้เพียงอย่างแรก ผู้ที่รู้อย่างหลังกลับมีอยู่น้อยมาก
มั่วชิงเฉินมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว “ท่านจะบอกว่า จิตวิญญาณดั้งเดิมของศิษย์พี่เขา…”
ถังมู่เฉินหัวเราะหึๆ “เป็นดังที่เจ้าคิด ใช้ดวงวิญญาณของเจ้าบ่มเพาะจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขา ไม่แน่ว่า อาจจะเป็นทุกขลาภของเขาก็ได้!”
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกไม่สมดุลอีกแล้ว เรื่องดีๆ เช่นนี้ล้วนเป็นของผู้อื่น โชคร้ายล้วนเป็นของเขา!
มั่วชิงเฉินเอ่ยด้วยสีหน้ายินดี “เยี่ยมจริงๆ ข้าจะไปหาเขา พี่ใหญ่ รับไว้!”
“อะไร” มองมั่วชิงเฉินกลายเป็นควันสีเขียวสายหนึ่งพุ่งไกลออกไป ถังมู่เฉินก็ไล่ตามไปพลางเอ่ยถาม ก้มหน้าลงมอง เป็นขวดหยกเล็กๆ ใบหนึ่ง
เปิดออกด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย โอสถวิญญาณรูปร่างเหมือนทารกปราณสีขาวเม็ดหนึ่งนอนนิ่งอยู่ในนั้น
“โอสถอายุวัฒนะ!” ถังมู่เฉินหน้าเปลี่ยนสี
โอสถอายุวัฒนะสามารถเพิ่มอายุขัยได้ร้อยกว่าปี นั่นคืออายุขัยที่เขาเสียไป
นางรู้ขนาดนั้นได้อย่างไรกัน
ถังมู่เฉินขบคิดอย่างไม่เข้าใจ ต่อมาก็เอ่ยถาม มั่วชิงเฉินแค่เอ่ยว่า “เดาเอา”
เมื่อซักถามอีกถึงได้เอ่ยว่า “วิถีสวรรค์มีความสมดุล เกรงว่าผู้ที่ข้ามผ่านเส้นทางหยินหยางได้โดยมีพลังยุทธ์ไม่ถึงขั้น สามารถเข้าออกแดนผีได้ตามอำเภอใจ ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อย”