พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 596 ที่อยู่ของอสูรวิญญาณ
“อาจารย์ ต้องเข้มงวดเพียงนั้นเลยหรือ” จื่อซีเจินจวินถูกคำพูดของหลิวซางเจินจวินทำให้ตกใจจนสะดุ้งโหยง
ผู้อื่นไม่เข้าใจ หลิวซางเจินจวินรู้ดีอยู่แก่ใจ ศิษย์คนโตผู้นี้เป็นผู้ที่ไม่สนใจกฎระเบียบมากที่สุด ยามนั้นจึงปั้นหน้าบึ้งตึงเอ่ย “หนทางการฝึกบำเพ็ญเพียร ยากเย็นแสนเข็ญ ยามนี้โลกผู้บำเพ็ญเพียรไม่ทำเพื่อสำนักพรรคตระกูล ก็เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน การไล่ล่าหาข้อมูลในการฝึกบำเพ็ญเพียรล้วนเป็นเรื่องปกติ พรรคอื่นข้าไม่สน แต่พวกเจ้าล้วนเป็นเสาหลักของเหยากวง จำเอาไว้ การที่พลังยุทธ์เพิ่มขึ้นอีกขั้นก็จะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนใฝ่ฝันมาตลอดชีวิต แต่เส้นตายที่ควรมีกลับไม่อาจทำลายได้ ตัดขาดวัฏสงสารเป็นตายของคน รบกวนความสมดุลของสวรรค์ นี่ไม่ใช่การเป็นเซียน แต่เป็นการเข้าสู่หนทางแห่งมาร”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้สายตาก็ค่อยๆ กวาดไปมองทุกคน จากนั้นก็เอ่ยว่า “ความประพฤติของศิษย์น้องทุกท่าน ข้าย่อมเชื่อถือได้ แต่หากข่าวแพร่งพรายออกไป โลกผู้บำเพ็ญเพียรล่วงรู้เรื่องการใช้ร่างวิญญาณหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการถอดดวงจิต เกรงว่าคงก่อให้เกิดคลื่นมรสุมคาวโลหิตไม่น้อย ถึงครานั้นเหยากวงของพวกเราคงหลบเลี่ยงความผิดได้ยาก”
มั่วชิงเฉินก้มหน้าลงฟัง ในใจมีความเคารพหลิวซางเจินจวินทะลักเข้ามา
หากเป็นเรื่องความเย้ายวนใจจากการพัฒนาไปสู่ระดับถอดดวงจิตของผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว มีผู้ใดจะมากไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายอย่างหลิวซางเจินจวิน
สำหรับผู้อื่น ล้วนไม่มีหวัง สำหรับเขาแล้ว นั่นเป็นเพียงแค่อีกก้าวเดียวเท่านั้น
แต่ก้าวนี้ระยะห่างห่างไกลเสียยิ่งกว่าท้องฟ้าและผืนดิน หากข้ามไปไม่ได้ ยศถาบรรดาศักดิ์ทั้งหมดก็จะกลับคืนสู่ผงธุลี
หลายปีที่ผ่านมา เพื่อผลประโยชน์ของพรรค หลิวซางเจินจวินเองก็เคยทำสิ่งที่เสียสละเพื่อผลประโยชน์ของลูกศิษย์ แต่ปัญหาทางหลักการที่ยึดถือนั้น ต่อให้มีแรงดึงดูดมากขนาดไหน ก็ยังคงตราตรึงในหัวใจได้ และยิ่งเพียงพอจะทำให้ดูออกถึงน้ำใจของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายของเขา
ต้องเข้าใจว่านางเข้าไปในแดนผีโดยบังเอิญ หลังจากฝึกฝนจิตวิญญาณจนแข็งแกร่งเกินไปเลยไม่อาจกลับคืนสู่ร่างได้นั้น ถึงได้ไปเป็นของบำรุงให้จิตวิญญาณดั้งเดิมของศิษย์พี่ นี่เป็นสิ่งที่เรียกว่ามีประโยชน์ร่วมกัน
ต่อมาเกิดเรื่องประหลาดขึ้น ถึงแม้จะกล่าวว่ารู้สึกงุนงงกับการพัฒนาไปสู่ระดับถอดดวงจิตเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าหนทางนี้เป็นหนทางที่ถูกต้อง
แต่หากผู้บำเพ็ญเพียรผู้อื่นรู้ข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับการถอดดวงจิตแม้เพียงเสี้ยวหนึ่ง ต้องมีคนไม่ยอมปล่อยไปแน่
พวกเขาไม่มีวาสนาเหมือนมั่วชิงเฉิน หากอยากได้ดวงวิญญาณมาหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ ก็มีเพียงต้องเดินเข้าสู่หนทางชั่วร้าย
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ ก็ต้องเอ่ยถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับโลกผู้บำเพ็ญเพียรและเรื่องราวของยมโลกในยามนี้สักหน่อย
โลกผู้บำเพ็ญเพียรในยามนี้ นิกายอิ่นซือนับว่าเป็นนิกายที่เกี่ยวข้องกับคนตายมากที่สุด แต่พวกเขากลับใช้ประโยชน์แค่กายเนื้อ ไม่ได้สนใจดวงวิญญาณ
สำนักพรรคข้างเคียงส่วนน้อยก็เรียนรู้เคล็ดวิชาป้องกันตัวจากผี หลังจากเจ้าของร่างตายแล้ว ดวงวิญญาณที่ถูกหล่อเลี้ยงไม่ถูกผูกมัด ก็สามารถกลับคืนสู่ยมโลกได้ และยิ่งไปกว่านั้นเหล่าผีน้อยที่อาจารย์ไล่ผีเลี้ยงดูเอาไว้ก็มีจำนวนจำกัด ต่อให้จะไม่ได้ชั่วช้าสามานย์อย่างไรก็ตาม
แสงสว่างกับความมืด ความดีกับความชั่ว สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ในขอบเขตการได้รับอนุญาตจากความสมดุลของสวรรค์อยู่แล้ว
แต่หากหมายจะบ่มเพาะดวงวิญญาณ กักดวงวิญญาณของคนที่เพิ่งตายเอาไว้ในแดนมนุษย์ เลี้ยงดูดวงวิญญาณ รอจนดวงวิญญาณแข็งแกร่งค่อยนำมากินเป็นของบำรุง ดวงวิญญาณเหล่านั้นย่อมไม่มีทางกลับคืนสู่หนทางแห่งวัฏสงสารได้
และระหว่างทางที่เดินไป ก็ไม่รู้ว่าจะมีดวงวิญญาณมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้อีกเท่าไหร่
หากคิดในมุมที่ร้ายแรงยิ่งกว่า ผู้บำเพ็ญเพียรคนไหนจะมาเจอคนที่เพิ่งตายได้มากมายเช่นนั้น เพื่อพัฒนาระดับขั้น เกรงว่าคงเป็นฝ่ายลงมือด้วยตนเอง
ถึงยามนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องโลกผู้บำเพ็ญเพียรจะเกิดมรสุมคาวโลหิต แม้แต่สิ่งที่เหมือนกับสวรรค์ลงทัณฑ์ในบันทึกโบราณ ยุทธภพถูกทำลายจนล่มสลาย ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
แม้จะกล่าวว่าผลลัพธ์อาจจะร้ายแรง แต่สิ่งล่อใจในปัจจุบัน ก็ยังคงทำให้เข้าใจได้ว่าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทุกคนจะทำเช่นนี้ได้
“น้อมรับบัญชาตามคำสอนของศิษย์พี่ประมุขพรรค” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหลายคนเอ่ยด้วยเสียงแหลมสูง
สิ่งที่ควรพูดก็พูดเสร็จแล้ว หลิวซางเจินจวินจึงส่งสัญญาณให้ทุกคนแยกย้ายกันไป
เมื่อเห็นว่าผู้คนจากไป ก็ส่ายศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็มีสีหน้าแข็งทื่อ ควักคันฉ่องหลากสีแปดสมบัติออกมาจากแขนเสื้อกว้าง
มองรอยแตกบนคันฉ่อง กลับไม่ได้มีบุคลิกน่านับถือเหมือนยามที่ตักเตือนเหล่าศิษย์น้องเมื่อครู่อีก แต่มีสีหน้าโศกเศร้า
“อาจารย์…” จื่อซีเจินจวินที่จากไปและย้อนกลับมาเห็นหลิวซางเจินจวินมีสีหน้าโศกเศร้า ก็ตกตะลึงค้าง
หลิวซางเจินจวินมีสีหน้าเคร่งขรึมทันทีพลางเอ่ยอย่างมีน้ำโหว่า “นางหนูนี่ อย่างไรก็เป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดผู้สง่างาม เหตุใดถึงร้องโวยวายเสียงดังเช่นนี้ เข้ามาก็ไม่รู้จักเคาะประตู! หือ”
จื่อซีเจินจวินเบะปาก “ที่แท้อาจารย์ก็เจ็บปวดใจจนเลอะเลือน ศิษย์แค่ออกไปส่งเหล่าเจินจวินเท่านั้น ยังไม่ได้ปิดประตู”
หลิวซางเจินจวินสะบัดมือเก็บคันฉ่องหลากสีแปดสมบัติเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “จื่อซี เหตุใดเจ้าถึงทำตัวเหมือนแต่ก่อนอยู่ได้ คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป ต้องเข้าใจว่านะว่าตอนนี้เจ้า…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ จื่อซีเจินจวินก็กระโจนเข้ามา คว้าคันฉ่องหลากสีแปดสมบัติที่หลิวซางเจินจวินเพิ่งจะเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ พร้อมเอ่ยด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ๆ ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดผู้สง่าผ่าเผยมิใช่หรือ อาจารย์ หลังจากที่ศิษย์ผนึกทารกปราณได้ ก็ได้ยินท่านพูดคำนี้มาไม่ต่ำกว่าแปดร้อยรอบแล้ว”
หลิวซางเจินจวินพยายามยื้อแย่ง ในที่สุดก็ไม่สำเร็จ เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พูดมา มีเรื่องอะไร”
“อาจารย์ หลายวันที่ก่อนศิษย์ลงภูเขาไป ได้พบกับสหายที่เชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาดูดวงดารา เขาบอกว่าเขาเดินทางผจญภัยมาถึงที่นี่ และเห็นความผิดปกติบนท้องฟ้า จึงทำนายเสี่ยงทาย จากคำทำนายมีมีดาวแฝดคู่หนึ่งกะพริบรางๆ พุ่งผ่านหมู่เมฆ เป็นลางบอกเหตุว่าพรรคของเราอาจจะมีผู้ยิ่งใหญ่ปรากฏตัวขึ้น แต่แค่หนึ่งในดาวแฝด มีดาวปีศาจมาโจมตี เกรงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เดิมศิษย์คิดว่าสหายผู้นั้นแค่พูดส่งเดช แต่สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นก็ดูเหมือนจะหมายถึงลูกสาวฝาแฝดรากวิญญาณสวรรค์ของข้าคู่นั้น ยามนี้พวกนางอยู่แค่ระดับสร้างรากฐาน รอจนแหวกหมู่เมฆเก้าชั้นออกมาได้ก็ต้องใช้เวลาอีกไม่รู้กี่ปี ยามนี้กังวลว่าจะหาเรื่องใส่ตัวเอง จึงเลิกคิดเรื่องนี้มิได้ แต่หลังจากผ่านเรื่องราวในวันนี้ ศิษย์พลันนึกขึ้นได้ ดาวแฝดคู่นั้นคงไม่ใช่ลั่วหยางและชิงเฉินหรอกกระมัง”
เห็นหลิวซางเจินจวินมีสีหน้าเคร่งขรึมไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “แต่ไม่รู้ว่าดาวปีศาจหมายถึงสิ่งใด จากพละกำลังของลั่วหยางและชิงเฉินในยามนี้ ตามหลักการแล้วก็สร้างปัญหาได้กับคนไม่กี่คนหรอก”
หลิวซางเจินจวินเงียบขรึมไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เรื่องคำทำนายนั้น ก็ต้องคอยสังเกตการณ์สวรรค์แล้ว สิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ที่สุด ก็คือจะเชื่อคำพูดของสหายเจ้าทั้งหมดไม่ได้”
จื่อซีเจินจวินพยักหน้า “อืม เขาเองก็บอกแล้ว เป็นเพราะท้องฟ้าแปลกประหลาด จึงทำนายตามนิสัย ไม่ได้เพ่งสมาธิใดๆ การทำนี้เช่นนี้เป็นแค่การเตือนเท่านั้น”
“เช่นนี้แหละ ก็ต้องระวังหน่อย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้ากลับไปบอกพวกลั่วหยางทั้งสองคน ช่วงนี้ให้พักผ่อนอยู่ในพรรค อย่าออกไปหาประสบการณ์ที่ไหน” หลิวซางเจินจวินเอ่ย
“อืม พักอยู่ในพรรค จะไปสนดาวปีศาจอะไรนั่นทำไม มันไม่อยากเข้ามาด้วยซ้ำ”
ทางด้านเจินจวินระดับก่อกำเนิดหลายท่านที่ออกจากยอดเขาโฮ่วเต๋อ ต่างก็หันกายกลับจวนพำนักของตนเอง
มั่วชิงเฉินถึงได้มีโอกาสร้องทักกู้หลี
กู้หลีฉีกยิ้มให้ทั้งสองคน “ฟื้นกันหมดแล้วก็ดี รีบกลับไปพักผ่อนเถิด ชิงเฉิน ยามนี้อสูรวิญญาณของเจ้าอยู่ในยอดเขาป่าไผ่ ไม่ต้องกังวล”
มั่วชิงเฉินตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็มีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
แม้ว่าในแดนผีจะเคยได้ยินถังมู่เฉินเอ่ยถึง อู๋เย่ว์และหมาป่าน้อยล้วนให้ชิงเกอดูแล ไม่มีอุปสรรคมากนัก แต่ตั้งแต่ที่ตื่นขึ้นมาก็ยังไม่เห็น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้ถาม เพียงกังวลอยู่ในใจ คิดไม่ถึงว่าจะไปอยู่ที่อาจารย์
“อาจารย์ พวกมันไปอยู่กับท่านได้อย่างไร” มั่วชิงเฉินเอ่ยถาม ฉับพลันนั้นก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ชั่วพริบตาก็เอ่ยว่า “คงจะไม่ใช่ว่า อาเสวียนมากระมัง”
กู้หลีหัวเราะน้อยๆ ออกมา “ชิงเฉิน เจ้าเข้าใจอสูรวิญญาณของตนเองจริงๆ”
มั่วชิงเฉินกรอกตา “ข้ารู้อยู่แล้ว”
เห็นกู้หลีอมยิ้มไม่พูดอะไร ก็เลิกคิ้วเอ่ยถาม “อาจารย์ คิดดูแล้วสุราวิญญาณที่ศิษย์ฝังอยู่ใต้ต้นท้อ คงถูกเจ้านั่นย้ายไปอยู่ที่ยอดเขาป่าไผ่แล้วกระมัง”
ในที่สุดกู้หลีก็หัวเราะหึๆ ออกมา แววตากระจ่างใส “ก็คิดว่ามันช่วยแสดงความกตัญญูแทนเจ้าแล้วกัน อาจารย์กลับไปจะไปบอกพวกมันว่าพวกเจ้าฟื้นแล้ว ให้พวกมันกลับไป ทว่าหมาป่าน้อยกำลังหลับลึก ไม่สะดวกเคลื่อนย้าย เช่นนั้นก็ให้มันพักอยู่ที่ยอดเขาป่าไผ่ก่อนสักระยะหนึ่งก็แล้วกัน”
มั่วชิงเฉินรู้สึกประหลาดใจ “หมาป่าน้อยหลับลึก หรือว่าสิบปีอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี”
“อาการบาดเจ็บหายตั้งนานแล้ว อาจจะเป็นเพราะอย่างอื่นกระมัง” กู้หลีเอ่ยอย่างราบเรียบ ก็มองไปทางเยี่ยเทียนหยวน “ศิษย์น้องลั่วหยาง เจ้ากับชิงเฉินโชคดีนัก เคยจิตวิญญาณดั้งเดิมออกจากร่าง แม้ไม่ต้องเอ่ย ความรู้สึกที่ทั้งสองคนมอบให้แก่กันก็อาจจะมีประโยชน์อย่างอื่นแน่ เหอกวงก็ไม่รบกวนเวลาของพวกเจ้าแล้ว”
กู้หลีพลันพยักหน้า หันกายหมายจะจากไป ฉับพลันนั้นก็ได้ยินเยี่ยเทียนหยวนเอ่ยปาก “ศิษย์พี่เหอกวง ลั่วหยาวหลับมาสิบปี มีเรื่องมากมายอยากคุยกับท่านเทียด ชิงเฉินเองก็คงคิดถึงภูเขาไม่ไผ่น้อย มิสู้ให้นางตามท่านไป ก็จะได้ดูหมาป่าน้อยด้วย”
กู้หลีประหลาดใจเล็กน้อย
กลับเห็นมั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “ศิษย์พี่พูดถูก ชิงเฉินก็กำลังอยากไป หลับไปสิบปี มีเรื่องอะไรก็ค่อยคุยกันอีกหลายวันเถิด ตอนนี้ข้าเอียนเตียงจะตายอยู่แล้ว”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็ไปกันเถิด รีบไปรีบกลับ” กู้หลีเอ่ยอย่างราบเรียบ
เมื่อแยกกับเยี่ยเทียนหยวน ทั้งสองก็บินไปยังยอดเขาป่าไผ่
ลูกศิษย์อาจารย์ไม่ได้เจอมาสิบปี กู้หลีก็ยังคงเหมือนเดิม ทั้งไม่เงียบขรึม และไม่เผยความรู้สึกออกมาภายนอก เพียงเล่าเหตุการณ์สิบปีที่ผ่านมาให้มั่วชิงเฉินฟังอย่างเนิบนาบ
มั่วชิงเฉินฟังด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย เมื่อได้ยินสิ่งที่สนใจก็เอ่ยถาม
กู้หลีตอบอย่างอดทน
เมื่อมาถึงยอดเขาป่าไผ่ กู้หลีก็ร่อนลงไปก่อน มองเงาหลังซูบผอมของเขา ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็หุบยิ้ม ทนไม่ไหวพลางเอ่ยว่า “อาจารย์ ท่านผอมลง”
กู้หลีชะงักฝีเท้า
มั่วชิงเฉินเดินมาขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “ผอมเป็นต้นไผ่แล้ว”
กู้หลีฉีกยิ้มอย่างจนปัญญา “ผู้ใดให้อาจารย์เลอะเลือนรับลูกศิษย์ที่เอาแต่ทำให้เป็นห่วงมาในตอนนั้นเล่า นี่เป็นความผิดพลาดจนเกิดเป็นความแค้นชั่วนิรันดร์กระมัง”
“อาจารย์ ท่านคงไม่เสียใจภายหลังกระมัง” มั่วชิงเฉินเม้มปากขณะมองกู้หลี
ศิษย์อย่างนางช่างทำให้ปวดหัวเสียจริง มีความคิดเช่นนั้นตั้งนานแล้ว ทำให้เขาลำบากใจอย่างไม่ใส่ใจ ตอนนี้คิดดูแล้ว ก็เพราะนิสัยของอาจารย์เป็นเช่นนี้ถึงได้มีสภาพเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นอาจารย์ผู้อื่นคงตีนางไปแล้ว
จากนั้นก็ต้องกังวลใจกับเรื่องเล็กน้อยไม่หยุด…
ไม่อาจคิดต่อไปได้ หากคิดต่อไปก็จะรู้สึกต่ำต้อยแล้ว
กู้หลีได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉิน ก็เงียบขรึมไปเล็กน้อย เห็นมั่วชิงเฉินมองมาตาปริบๆ ก็เดินไปด้วยพลางหัวเราะไปด้วย “จะเสียใจภายหลังได้อย่างไร สุราของชิงเฉิน ก็เป็นกำไรของอาจารย์แล้ว”
สิ้นเสียง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเสนาะโสตดังขึ้น “นั่นะสิ พี่กู้ ข้าอิจฉายิ่งนัก หากรู้ว่าศิษย์ของท่านมีความสามารถเช่นนี้ ตอนนั้นที่อยู่ในโรงเตี๊ยมหลิวอวิ๋น ข้าคงดึงตัวนางมาก่อนแล้ว ไหนเลยจะเหมือนดั่งตอนนี้ เพียงเพื่อดื่มสุรา ก็ยังต้องวิ่งมาหาท่าน”