พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 601 หนึ่งกระบี่ชำระแค้น
มั่วหร่านอีไม่ใช่คนความคิดเจ้าเล่ห์ เมื่อได้รู้ว่าเหยาเจียฉีวางแผนเพื่อบางสิ่งจากนิกายมารแดง จึงร่วมมือด้วยความยินดี เพื่อเป็นการแก้แค้นที่ตระกูลถูกทำลาย แต่คิดไม่ถึงว่าพวกนางวางแผนต่อผู้อื่น สุดท้ายกลับติดกับแผนการของคนอื่นเสียเอง
ฮวาเชียนซู่ขยับขลุ่ยมรกต เกี่ยวผ้าแพรแดงเอาไว้ ออกแรงเพียงเบาๆ ก็ดึงมั่วหร่านอีมาด้านหน้าได้ แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “สาวน้อย ในเมื่อรอออกเรือนกับเจ้าบ่าวแทบไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าสมหวัง”
พูดจบก็อุ้มตัวมั่วหร่านอีขึ้น แล้วเดินออกไปข้างนอก
มั่วหร่านอีหน้าซีดสนิท “ฮวาเชียนซู่ เจ้ามันเป็นมารร้าย ไม่ช้าจะต้องถูกฟ้าดินลงทัณฑ์!”
“จริงหรือ” แววตาของฮวาเชียนซู่อ่อนโยนหวานเยิ้ม ยื่นมือออกไปบีบคางมั่วหร่านอี “ข้าไม่เชื่อหรอก เชื่อแต่เพียงว่าชีวิตข้า ข้ากำหนดเอง ไม่ใช่ฟ้าดิน…”
ทันทีที่พูดจบ ท้องฟ้าที่สว่างแจ่มใส ปรากฏอัสนีบาตสายหนึ่งผ่าลงมา ฮวาเชียนซู่สีหน้าเปลี่ยนทันที รีบหลบไปอีกด้านโดยพลัน
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหว ท่ามกลางฝุ่นควันที่คลุ้งโขมงมีลูกศรอันเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาโจมตี
ฮวาเชียนซู่ปล่อยมืออย่างไม่แยแส สะบัดพัดหนึ่งที กลายเป็นม่านแสงสว่างกันลูกศรเย็นเอาไว้ ขลุ่ยมรกตในมือหมุนพุ่งออกไปยังทิศทางที่ลูกศรเยือกเย็นลอยออกมา
มั่วหร่านอีที่กำลังจะร่วงลงกับพื้น ก็ถูกเถาวัลย์ยาวม้วนตัวเอาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วร่างก็ลอยขึ้นมา
“น้องสิบหก!” มั่วหร่านอีเห็นหน้ามั่วชิงเฉิน และยังเห็นมั่วเฟยเยียนที่ยืนเคียงไหล่อยู่ นางอ้าปากกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็เม้มริมฝีปากลง ใบหน้าซีดขาวขึ้นมา
มั่วเฟยเยียนไม่ได้มองนาง ยกมือขึ้นหนึ่งทีมีดลับดอกบ๊วยสีครามคู่หนึ่งก็ลอยออกไป หมุนไปรอบขลุ่ยมรกตราวกับผีเสื้อ
สมบัติวิเศษแต่ละชิ้นประชันกัน แสงวิญญาณที่ปะทะกันสร้างกระเซ็นไปรอบทิศราวกับดอกไม้ไฟ
เมื่อฮวาเชียนซู่ได้เห็นผู้ที่มาเยือนอย่างชัดเจนก็ใจเต้นตุบ เรียกขลุ่ยมรกตกลับมาลอยอยู่กลางอากาศ มองลึกไปยังมั่วชิงเฉินหนึ่งที แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คิดไม่ถึงว่างานแต่งของผู้แซ่ฮวา พี่น้องตระกูลมั่วจะตามมาร่วมพิธีด้วย ช่างเป็นเกียรติอย่างที่สุด”
“ศิษย์พี่ ท่านไปรับมือกับเจ้านิกายมารแดงก่อน ฮวาเชียนซู่มอบให้พวกเราจัดการเถอะ” มั่วชิงเฉินพูดขึ้นมาเบาๆ เยี่ยเทียนหยวนบอกให้ระมัดระวังตัว จากนั้นก็บินพุ่งเข้าไปในห้องโถง
สำนักนิกายมารใหญ่ทั้งสองไม่รู้แปรพักตร์กันเพราะเหตุใด แขกเหรื่อที่มาร่วมงานมงคลบางคนแอบกลับไปเงียบๆ บางคนคิดจะฉวยโอกาสหาประโยชน์บางอย่าง แอบหลบอยู่ในมุมมืดคอยเฝ้ามอง
ทางฮวาเชียนซู่ ไม่รู้ว่ามีสายตากี่คู่ที่จับจ้องจากมุมมืด
มั่วชิงเฉินมองไปยังฮวาเชียนซู่ด้วยสายตาเย็นชา แล้วยิ้มเยาะ “ข้าเองก็คิดไม่ถึง คุณชายฮวาที่ถูกฟ้าผ่าเมื่อครู่จะยังคงสงบนิ่งได้เช่นนี้ ไม่ต้องพล่ามให้มากความ วันนี้พวกเราพี่น้องมาหาเจ้าเพื่อชำระแค้น…”
ไม่รอให้พูดจบ มั่วเฟยเยียนก็กลายร่างเป็นเงาควันสีขาว บินพุ่งไปยังฮวาเชียนซู่
มั่วชิงเฉินเหยียดปาก
อีกาไฟหัวเราะอย่างร้ายกาจหนึ่งที “นายท่าน เทียบกับพี่เก้าของท่านแล้ว ท่านดูเหมือนจะพูดมากไปนะ”
มั่วชิงเฉินหน้านิ่วทันที “หุบปาก ให้เจ้าทำฟ้าผ่ายังเบี้ยว ไม่มีสิทธิ์จะมาพูด”
จากนั้นก็เรียกหมาป่าน้อยออกมา แล้วพูดสั่งว่า “หมาป่าน้อย ดูแลพี่สิบของข้าให้ดี”
เมื่อมอบหมายเสร็จก็มองไปกลางลาน มั่วเฟยเยียนและฮวาเชียนซู่กำลังผลัดกันรุกผลัดกันรับ ปะมือไปมากันนับร้อยครั้ง
สมบัติวิเศษในมือของมั่วเฟยเยียนคือมีดลับดอกบ๊วยสีครามคู่ ส่องประกายเย็นวาบ รวดเร็วราวกับดาวตก พันรอบพัดของฮวาเชียนซู่เอาไว้
แต่อาวุธโจมตีที่แท้จริงก็คือโซ่ยาวสีเงินหนึ่งเส้น เมื่อตวัดออกไปก็ราวกับงูสีเงินแผ่ไปทั่วท้องฟ้า แน่นหนาแม้ลมยังไม่อาจผ่าน
ฮวาเชียนซู่ยืนอยู่กลางอากาศ ดูสุขุมเยือกเย็น ขลุ่ยมรกตกลายร่างเป็นงูสีครามเลื้อยวนอย่างคลุ้มคลั่ง
มองไปปราดหนึ่ง มั่วชิงเฉินก็รู้ได้ว่า มั่วเฟยเยียนไม่ใช่คู่มือของฮวาเชียนซู่
พวกเขาทั้งสองล้วนแต่เป็นระดับก่อกำเนิดขั้นต้น วิชาสายน้ำแข็งของมั่วเฟยเยียนอานุภาพน่าสะพรึงกลัว ตามหลักแล้วเมื่อเชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันย่อมเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่วิชาของฮวาเชียนซู่นั้นดูแปลกพิกล
ดูราวกับว่ามั่วเฟยเยียนยังไม่ทันได้ขยับ เขาก็รู้แล้วว่านางจะทำอะไรต่อไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ มั่วเฟยเยียนก็ถูกต้อนเป็นฝ่ายรับ ไม่ช้าก็เร็วคงจะแพ้
ไม่รู้ว่าฮวาเชียนซู่หลายปีมานี้ ฝึกฝนวิชาชั่วร้ายอะไรมา
มั่วชิงเฉินเห็นฮวาเชียนซู่ในในชุดสีแดงทั้งตัว ยิ่งรู้สึกรังเกียจขึ้นมา
มือซ้ายถือคันธนูมือขวารั้งสาย ศรแหลมคมเล็งไปกลางหน้าผากของฮวาเชียนซู่ ทันทีที่ปล่อยมือ ศรแหลมคมก็กลายเป็นแสงสีทองลอยพุ่งออกไป
ฮวาเชียนซู่ดูเหมือนจะรู้ตัว ขยับหลบโดยเร็ว เมื่อเห็นมั่วเฟยเยียนฉวยโอกาสโจมตีเข้ามา ก็โบกพัด ลมหมุนดำทะมึนลูกหนึ่งพุ่งออกไป
ชุดสีหิมะทั้งตัวของมั่วเฟยเยียนโบกสะบัดไม่หยุด แต่ร่างกายกับหยุดนิ่ง มือขวายกขึ้นสูงแล้วตบลง ลมหมุนดำทะมึนก็หยุดลง อากาศควบแน่นเป็นน้ำแข็ง เข็มน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งไปยังฮวาเชียนซู่
ฮวาเชียนซู่มือถือพัดโบกออกไปเบาๆ เปลวไฟสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ส่องประกายแสงเย็นรอต้อนรับ
เข็มน้ำแข็งนับหมื่นนับพันถูกเปลวไฟสีดำหลอมละลาย ปะทุออกแล้วร่วงลง สีขาวและสีดำประชันกันดูงามพิกล
เสียงกดทับดังแว่วมา
ฮวาเชียนซู่ยกมุมปากยิ้ม แสงสีทองสว่างพร่าตา ลูกศรสีทองดอกหนึ่งลอยพุ่งเข้ามา
ฮวาเชียนซู่มองไปยังมั่วชิงเฉินที่ถือธนูยาวสีเข้มในมือไม่ไกลออกไปจากที่นั่น หัวใจรู้สึกราวกับถูกบางอย่างมาสะกิด หมดสนุกที่จะกลั่นแกล้งมั่วเฟยเยียน เสียงพุ่งกรีดลมดังหวิวแว่วเข้าหู พลังอันน่าสะพรึงถาโถมไปยังมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินหรี่ตาลง มือข้างที่กุมธนูยาวกำแน่น
ระดับก่อกำเนิดขั้นกลาง
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า เพียงช่วงเวลาอันสั้นวิชาปริศนาในการเพิ่มระดับการบำเพ็ญเพียรของฮวาเชียนซู่จะพัฒนาไปไกลเพียงนี้ ดูจากสภาพการณ์และความเร็ว แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก
ศัตรูแข็งแกร่งขึ้นมาฉับพลัน แต่มั่วเฟยเยียนสีหน้าก็ยังคงไม่เปลี่ยน มือทั้งคู่ซ้อนสลับโบกพลิก ไอเย็นสีขาวหลายลูกออกมาจากกลางฝ่ามือของนาง ชั่วพริบตาเดียวก็ปกคลุมพื้นที่กว้างนับสิบจั้ง
น้ำแข็งแทนกระดูก หิมะแทนร่างกาย กลายเป็นดินแดนน้ำแข็งเฉพาะตน นี่คืออภิญญาแรกที่มั่วเฟยเยียนบรรลุ
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ลึกลงไปในดินแดนน้ำแข็ง ต่อให้ระดับการบำเพ็ญเพียรสูงกว่านางขั้นหนึ่ง แต่การเคลื่อนไหวก็จะถูกไอเย็นขัดขวาง อาจจะพ่ายให้กับนาง
ฮวาเชียนซู่กลับยิ้มขึ้นอย่างน่าประหลาด
เปลวไฟสีดำผุดขึ้นกลางดินแดนน้ำแข็ง ดูราวกับผีเสื้อที่ทะลุออกจากดักแด้โบยบินอยู่ท่ามกลางหิมะ
ชั่วพริบตาเดียว ในดินแดนน้ำแข็งก็มีไอมืดปรากฏขึ้น ทั้งสองประสานรวมกัน ทำให้ดินแดนน้ำแข็งถึงกับสั่นคลอน
ทันใดนั้นเสียงแตกร้าวก็ดังขึ้น ทั่วทั้งดินแดนน้ำแข็งราวกับกระจกที่ถูกทุบแตก ทุกระเบียดนิ้วแตกร้าวออกไป
มั่วเฟยเยียนตัวเซ เดินถอยไปด้านหลัง
เงาสีดำโฉบผ่าน อีกาไฟที่ได้รับคำสั่งจากมั่วชิงเฉินในตอนแรกคว้าตัวนางกลับมา
ฮวาเชียนซู่บินขึ้นไปที่ความสูงระดับเดียวกันกับมั่วชิงเฉิน จ้องหน้ากันผ่านความว่างเปล่า “ชิงเฉินน้อย ในที่สุดก็เหลือแค่พวกเราสองคนแล้ว”
มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างเย็นชา “ใช่แล้ว ในที่สุดก็ถึงคราวที่ข้าจะจัดการเจ้า”
ไม่พูดพล่ามทำเพลง ยกมือขึ้นแล้วขว้างก้อนอิฐออกไป
เห็นมั่วชิงเฉินโจมตีเข้ามาด้วยพลังอันหนักหน่วง ในแววตาของฮวาเชียนซู่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ใช่แล้ว ข้ารอวันนี้มานานแล้ว วันนี้ ไม่ข้าก็เจ้าต้องตายกันไปข้าง จะได้จบสิ้นเสียที”
เขาได้ฝึกฝนวิชาลับมาโดยไม่เสียดายที่จะต้องสูญเสียอายุขัยไปครึ่งหนึ่ง ทั่วทั้งสรรพางค์กายได้รับพลังเหนือสามัญ บางทีก็อาจเพียงเพื่อจะได้ต่อสู้อย่างสาแก่ใจในครั้งนี้
น้ำเสียงของฮวาเชียนซู่ถึงแม้ว่าจะต่ำ แต่มั่วชิงเฉินได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ มั่วชิงเฉินแอบด่าในใจว่าเจ้าคนวิปริต พลังบริสุทธิ์ไหลสู่ก้อนอิฐ หมุนวนพุ่งไปยังใบหน้าอันหล่อเหลาบริสุทธิ์ของอีกฝ่าย
“แค่กๆ” อีกาไฟหันหัว “ความรู้สึกรักหยกถนอมบุปผา แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีอยู่ในตัวนายท่านเลยสินะ”
หมาป่าน้อยเงยหน้าทำเสียงเย้ยหนึ่งที “เขาคู่ควรหรือ”
มั่วชิงเฉินมองออกแต่แรกแล้วว่าฮวาเชียนซู่แปลก เหมือนสามารถคาดเดาการกระทำต่อไปของอีกฝ่ายได้ จึงเลิกใช้ลูกไม้ทั้งหมด แล้วเข้าไปปะทะด้วยกำลังโดยตรง
นางอยากจะลองดูว่า ร่างกายน้อยๆ ของคุณชายรูปงามในสายตาของปุถุชนแห่งโลกมนุษย์ จะทนก้อนอิฐของนางได้สักเท่าไร
เป็นไปตามคาด เมื่อเผชิญหน้ากับก้อนอิฐที่หมุนจนเสียงดัง หึ่งๆ ของมั่วชิงเฉิน ท่าทีของฮวาเชียนซู่ที่สงบนิ่งในตอนแรกได้เปลี่ยนไป เขาหลบออกอย่างลำบากอยู่เล็กน้อย
มั่วชิงเฉินใช้คาถาวารีตามรูปไล่ตามฮวาเชียนซู่ไปติดๆ ไม่ให้เขามีเวลาได้ตั้งหลัก ทั่วทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยเงาของก้อนอิฐ
อาศัยจังหวะที่เขาหลบ นางยิ้มมุมปาก แอบยกเท้าขวาขึ้นแล้วถีบออกไปอย่างแรง
เสียงดัง โครม ฮวาเชียนซู่ลอยออกไปเหนือท้องฟ้า
มั่วชิงเฉินไม่ลังเลแม้แต่น้อย ดึงสายธนู ลูกศรน้ำแข็งยะเยือกพุ่งตามออกไป
ยังไม่ทันได้ถอนหายใจ ลางสังหรณ์ก็ร้องเตือนขึ้นกลางใจ เดินสลับเท้าแล้วบินออกไปอีกด้านหนึ่งไกลหลายจั้ง รวมนิ้วเข้าด้วยกันเป็นดาบฟันไปยังเงาสีเขียว สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันเย็นชื้นเหนียวเหนอะ
ฮวาเชียนซู่ยืนอยู่ที่ซึ่งนางอยู่ก่อนหน้านี้ กวักมือหนึ่งทีขลุ่ยมรกตก็กลับไปยังมือ
สถานการณ์เปลี่ยนอย่างฉับพลันเช่นนี้ แม้แต่ผู้ที่ดูการต่อสู้อยู่ด้านข้างก็บอกเตือนไม่ทัน
“ชิงเฉินน้อย เจ้าช่างใจร้ายเสียจริง” ฮวาเชียนซู่สีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปาก นางไม่ได้ถามว่าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร สะบัดมือหนึ่งที ก้อนอิฐก็ส่งเสียงคำรามขึ้นมา
ในสายตาของนาง ฮวาเชียนซู่ถูกก้อนอิฐซัด แล้วเลือนหายไปราวกับแสงเงา
เสียงหัวเราะอันอ่อนโยนดังขึ้นอีกครั้ง
มั่วชิงเฉินหมุนตัวไม่หยุด นางพบว่าซ้ายขวาหน้าหลัง มีฮวาเชียนซู่ยืนอยู่ถึงสี่คน ต่างก็เอาขลุ่ยมรกตขึ้นจรดริมฝีปากแล้วเริ่มบรรเลงขึ้นมา
ที่น่าแปลกก็คือ ขลุ่ยทั้งสี่เลาเป่าออกมาเป็นบทเพลงที่ไม่เหมือนกันสี่บท สุขทุกข์เศร้าโศกยินดีกลายเป็นพันธนาการล่องหนที่ปิดล้อมนางเอาไว้
แล้วเสียง ฟู่ๆ ก็ดังขึ้น เสียงขลุ่ยค่อยๆ กลายเป็นเปลวไฟสีดำบินไปรอบด้านของมั่วชิงเฉิน ราวกับกำลังเผาไหม้บางสิ่ง ครั้นแล้วก็กลายเป็นทะเลเพลิงสีดำล้อมนางเอาไว้ตรงกลาง
ทะเลเพลิงสีดำนี้ดูเหมือนกับคันฉ่อง สะท้อนเอาอารมณ์ละเอียดอ่อนของมั่วชิงเฉินออกมา
เพลิงลี้ลับจันทรา!
ต่อหน้าสายตาอันอ่อนโยนราวกับจ้องมองคนรักของฮวาเชียนซู่ มั่วชิงเฉินรู้สึกเย็นสันหลังวาบ นางรวบรวมความทระนง แล้วพูดขึ้นด้วยสำนวนกวีว่า “เผชิญพลังเหนือล้ำแผนการใดก็ไร้ความหมาย ต่อให้เจ้ารู้ความคิดของข้าแล้วอย่างไร วันนี้ ข้าจะเอาชีวิตเจ้าให้ได้!”
พูดเสร็จก็ยกมือขึ้น ดอกบัวสีครามดอกหนึ่งลอยออกมาจากกลางฝ่ามือ ส่งประกายแสงสีครามระยิบระยับพุ่งไปยังเสียงขลุ่ยที่กักขังพันธนาการ บนมืออีกข้างหนึ่งก็ปรากฏคมดาบสีฟ้า แทงพุ่งไปยังกลางทะเลเพลิงสีดำ
เปลวน้ำแข็งเหมันต์และเพลิงลี้ลับจันทราปะทะพัวพันกันขึ้นมา
มั่วชิงเฉินยกมือขึ้นอีกครั้ง กระบี่ชิงมู่ก็ปรากฏขึ้น ประสานเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้เข้ากับเคล็ดวิชากระบี่โบราณ ในนั้น ยังเห็นเงาของเคล็ดวิชากระบี่รุ่งโรจน์โรยราอยู่เลือนราง
สองเคล็ดวิชากระบี่สามเจตจำนงกระบี่หลอมรวมกัน ท่วงท่ายังไม่ได้กำหนดมาก่อน ใจยังไม่ทันคิดกระบี่ก็กวัดแกว่งขึ้นมา มั่วชิงเฉินเองก็ไม่รู้ว่าท่าต่อไปจะเป็นเช่นไร
เพลิงลี้ลับจันทราที่ขังพันธนาการคนไว้อยู่ตรงนั้น ก็เสื่อมฤทธิ์ลง
กระบี่ชิงมู่ที่สงบไร้ซึ่งความผิดปกติเดินทะลุทะเลเพลิงสีดำ ทะลุเสียงขลุ่ยไร้รูปร่าง แทงตรงไปยังหัวใจของฮวาเชียนซู่
พัดด้ามหนึ่งแผ่ออกขวางไว้หน้าตัวเขา
“เสียงแล้วเสียงเล่า ยามแล้วยามเล่า ห้องต้นกล้วยในห้องตะเกียง เพลานี้ความรู้สึกไร้สิ้นสุด ฝันยากเป็นจริง ความเคียดแค้นยากจะสงบ เสียงสายฝนไม่สนใจคนทุกข์ว่าอยากฟังหรือไม่ หยดน้ำฝนโปรยปรายย่ำรุ่ง”
รูปร่างอันสง่างามปรากฏสู่สายตา มั่วชิงเฉินตะลึงเล็กน้อย กระบี่ยาวในมือยังคงแทงทะลุพัด ปักลงกลางหัวใจของฮวาเชียนซู่
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า” เสียงของมั่วชิงเฉินเบาจนแทบไม่ได้ยิน แทบจะถูกกลืนหายไปในสายลม ชักกระบี่ยาวกลับ โลหิตสาดกระเซ็น
ท่ามกลางโลหิตที่เป็นดั่งห่าฝน ใบหน้าของฮวาเชียนซู่ก็เลือนรางราวกับเทพในร่างมนุษย์ โลหิตสดไหลเยิ้มออกจากปาก ดูเหมือนเขากำลังยิ้ม
“ที่แท้ ก็ไม่เห็นจะเจ็บปวดเหมือนที่คิด”
เงาแรงในชุดสีแดงสดนั้น ร่วงดิ่งลงไป