พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 602 ทำการไม่คิด
ทารกปราณตัวน้อยๆ มุดออกจากกลางหน้าผากของฮวาเชียนซู่ ไม่ได้หนีเอาชีวิตรอด แต่กลับหยุดอยู่ข้างศพสวมชุดสีแดง ท่าทีดูมึนงง
มั่วเฟยเยียนสีหน้าเยือกเย็นราวกับหิมะ แววตาไร้ซึ่งความอบอุ่น ยกมือขึ้นคราหนึ่ง มีดลับดอกบ๊วยสีครามก็พุ่งออกไป
ทารกปราณฮวาเชียนซู่ไม่ขยับแม้สักนิด แต่กลับชำเลืองขึ้นมองไปยังมั่วชิงเฉิน ริมฝีปากขยับเล็กน้อยแล้วพูดออกมาอย่างไม่มีเสียง
แต่น่าเสียดายมั่วชิงเฉินอ่านปากไม่ออก ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกันแน่ เห็นมีดดอกบ๊วยพุ่งออกไปเร็วราวกับดาวตก ก็หลุบตาลง ไม่ได้ใส่ใจ
นางไม่รู้ว่าในปีนั้น ฮวาเชียนซู่ผู้ทำลายล้างตระกูลมั่วในงานมงคลทำไมถึงได้ส่งจดหมายฉบับนั้นไปยังหมู่บ้านตระกูลมั่ว
บางที นิสัยคนนั้นก็ซับซ้อน ขัดแย้งกันเอง ความรู้สึกผิด ความดิ้นรนเหล่านั้นเคยอยู่ในใจเขามาก่อน
มั่วชิงเฉินนึกขึ้นได้ทันใดว่าบนพื้นหิมะในปีนั้น พวกนางในวัยเด็กกำลังจับนกกระจอกด้วยกัน ฮวาเชียนซู่ในชุดสีขาวทั้งตัวนั่งอยู่ด้านข้าง อมยิ้มมองพวกนางวิ่งเล่น
ชุดสีขาวและพื้นหิมะราวกับรวมกันเป็นหนึ่ง ใบหน้าดวงนั้นและรอยยิ้มนั้น ดูราวกับหลอมรวมความงามของโลกนี้เอาไว้ด้วยกัน
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีแดงลูกท้อบินมาแต่ไกลๆ ทั้งที่ดูสง่างดงามราวกับดอกเหมยสีแดงที่บานสะพรั่ง ดูราวกับเซียนท่ามกลางหมู่มนุษย์ แต่กลับก้มหน้าลงอย่างขวยเขิน
ในเวลานั้น ในสายตานางพวกเขาคือหนุ่มสาวที่เพิ่งเข้าสู่ความรักได้มาพบกันท่ามกลางฤดูกาลอันเหน็บหนาว แต่น่าเสียดายจุดเริ่มต้นอันงดงามเช่นนั้นสุดท้ายกลับกลายเป็นเพียงความฝันฉากหนึ่ง
มีดบินดอกบ๊วยสีครามไปถึง ทารกฮวาเชียนซู่กลายร่างเป็นแสงวิญญาณดวงเล็กดวงน้อยกระจายออกไปในพริบตา
เปลวไฟสีดำกะพริบ เข้าไปห่อหุ้มแสงวิญญาณแล้วดับมอดไปเงียบๆ
พวกมั่วชิงเฉินทั้งสามคนเข้าใจว่าเป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของดวงจิตดั้งเดิมและไฟจริง
นานมากหลังจากนั้น ได้พบกันอีกในแดนวิญญาณ มั่วชิงเฉินสีหน้าราวกับเห็นผี ลังเลใจว่าจะปาก้อนอิฐหรือว่ายกเท้าเตะ ชายในชุดสีขาวผู้นั้นก็ยิ้มขึ้นอย่างสงบนิ่ง แล้วพูดว่า ‘กายเนื้อและดวงจิต มอบคืนให้กับพวกเจ้าที่โลกของมนุษย์นานแล้ว ตอนนั้นข้าได้ถามเจ้าว่า บุญคุณความแค้นสามารถจบสิ้นในครั้งเดียวได้หรือไม่ เจ้าไม่ตอบ ข้าก็ถือว่าเจ้ายอมรับ ชิงเฉิน หรือว่าเจ้าจะคืนคำ หมายจะให้ข้าตายอีกครั้งอย่างนั้นหรือ’
แน่นอน เรื่องนี้เป็นเรื่องราวหลังจากนี้
มั่วหร่านอีร่อนลงไปแล้วเดินไปยังข้างศพฮวาเชียนซู่ เป็นเพราะได้รับบาดเจ็บจังหวะเดินจึงไม่มั่นคง
เมื่อเดินไปถึงข้างศพแล้ว เอากระบี่ยาวด้ามหนึ่งออกมา แล้วกรีดลงไปบนร่างศพหลายที
“พี่สิบ พอเถิด ดวงจิตของฮวาเชียนซู่ดับสลายแล้ว ศพก็เป็นเพียงเนื้อหนังก้อนหนึ่งเท่านั้น” มั่วชิงเฉินพูดเสร็จก็มองไปยังมั่วเฟยเยียน “พี่เก้า ท่านกับพี่สิบดูแลกันไปก่อน ข้าจะเข้าไปดูสถานการณ์ข้างใน”
มั่วหร่านอีถือดาบที่มีเลือดอาบอยู่ในมือ มองไปยังมั่วเฟยเยียน หันหน้าออกแล้วพูดว่า “ข้าไม่ต้องการให้ดูแล!”
พูดแล้วก็ชิงเดินพุ่งเข้าไปในห้องโถงก่อน
มั่วชิงเฉินห่วงเยี่ยเทียนหยวน จึงได้รีบตามไปติดๆ
ชั่วพริบตาเดียว สามพี่น้องและอสูรวิญญาณสองตัวต่างจากไปกันหมด เหลือเพียงร่างของฮวาเชียนซู่ที่จมอยู่กลางกองเลือด
ผู้บำเพ็ญเพียรที่หลบดูการต่อสู้ครั้งนี้อยู่ในมุมมืดต่างสีหน้าดูไม่จืด รู้สึกว่าสภาพการรุนแรงเกินกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้ นอกจากคนส่วนน้อยซึ่งอดไม่ได้ที่จะสงสัยแอบย่องตามไปดูแล้ว ส่วนใหญ่แล้วต่างหนีกลับกันเงียบๆ
มั่วชิงเฉินยังไปไม่ถึง ทันใดนั้นสัมผัสได้ถึงคลื่นลมปราณอันแก่กล้า เสียงเตือนดังขึ้นในใจให้นางรีบยกมือขึ้น เถาวัลย์เส้นหนึ่งทุ่มออกไปรัดตัวมั่วหร่านอี ปากก็ตะโกนขึ้นว่า “พี่เก้า รีบถอยออกมา!”
มั่วเฟยเยียนดูเหมือนจะสังเกตได้ ก็โซ่เงินในมือตวัดพันมั่วหร่านอีแทบจะพร้อมกันกับเสียงพูดของมั่วชิงเฉิน เพียงแต่เมื่อเห็นเถาวัลย์พุ่งออกไป ก็กระตุกมือดึงโซ่เงินกลับมา กางแขนทั้งคู่ออกแล้วบินถอยหลังไป
ในขณะที่พวกนางกำลังถอยออกมา ก็มีเสียงดังสนั่นขึ้นเสียงหนึ่ง ห้องโถงงานเลี้ยงนิกายมารแดงระเบิด กลายเป็นซากปรักหักพังในพริบตา เงาร่างนับสิบบินขึ้นสู่ฟ้าพลางต่อสู้กันไปมา
คลื่นลมที่เกิดจากแรงระเบิดพร้อมด้วยเศษซากต่างๆ ถาโถมเข้ามาราวกับอาวุธนับจำนวนนับไม่ถ้วน พุ่งกระจายไปรอบทิศ และยังแฝงด้วยกลิ่นอายอันอำมหิตชั่วร้าย
ผู้บำเพ็ญเพียรที่แอบมุงดูจำนวนหนึ่งหลบไม่ทัน ได้อาบเลือดขึ้นมาทันที คนที่แขนขาขาดยังนับว่าโชคดี บางคนเคราะห์ร้ายถึงกับศีรษะขาดกระเด็น สิ้นชีวิตไปทันที
“นายท่าน ท่านเลือกที่รักมักที่ชังเห็นได้ชัดจริงๆ หากไม่ใช่มีภัยมาคงดูไม่ออกว่าต่างคนต่างเอาตัวรอด ในเวลาสำคัญท่านห่วงแต่พี่น้องของตัวเอง ปล่อยให้อสูรวิญญาณอันแสนรักของท่านถูกซัดจนกระเด็น” อีกาไฟมองไปยังขนที่หลุดร่วง พลางตัดพ้ออย่างร้าวรานใจ
ถูกอีกาตัวหนึ่งพูดกระแนะกระแหน มั่วหร่านอีใบหน้ายินดี พูดประชดว่า “ข้าไม่เห็นจะต้องการให้ใครช่วยเลย…”
เพียงแต่มั่วชิงเฉินไม่รอให้นางพูดจบ ก็บินขึ้นสู่ท้องฟ้า
เหยาเจียฉีเจ้าสำนักเม่ยหมัวดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ อีกฝ่ายก็เปลี่ยนคู่ต่อสู้ เมื่อต่อสู้กันต่างฝ่ายต่างกินกันไม่ลง
คู่ต่อสู้ของเยี่ยเทียนหยวนคือเว่ยฉือซานเจ้านิกายมารแดง
เว่ยฉือซานเป็นหมัวจวินระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย ความสามารถของมารบำเพ็ญเพียรแต่เดิมก็เหนือกว่าผู้บำเพ็ญพรตไปหนึ่งขั้น เยี่ยเทียนหยวนระดับต่ำกว่าเขา ยังคงมีพลังที่จะตอบโต้กลับ
เว่ยฉือซานรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แผนการของสำนักเม่ยหมัวเขาสังเกตได้มานานแล้ว จึงได้ซ้อนแผนล่อลวงให้มาติดกับ ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามแผน ทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ดี แต่ทำไมถึงมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดจากฝั่งพรตยื่นมือเข้ามาช่วย
คนที่ปะทะฝีมือด้วยเขาก็รู้จัก คือลั่วหยางเจินจวินผู้บำเพ็ญเพียรอัจฉริยะแห่งเหยากวง ตอนนี้อายุเพียงแค่สองร้อยปี แต่กลับได้บรรลุระดับก่อกำเนิดขั้นกลางแล้ว
สิ่งที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกประหลาดใจนั่นก็คือ ต่อสู้กันมานานถึงเพียงนี้อีกฝ่ายหนึ่งกลับไม่แสดงทีท่าถดถอยแม้สักนิด นี่มันเหลือเชื่อไม่ใช่หรือ
ในขณะที่เว่ยฉือซานกำลังรู้สึกแปลกใจ ก็มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจฉับพลัน เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็เห็นหญิงสาวในชุดสีครามผู้หนึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป มือที่ถือธนูยาวคลายออก ลูกศรสีทองดอกหนึ่งพุ่งโจมตีเข้ามายังเขาอย่างรวดเร็ว
เว่ยฉือซานตาค้าง
ชิงเฉิงเจินจวินแห่งเหยากวง!
หรือว่า สำนักเม่ยหมัวจะทำข้อตกลงอะไรบางอย่างกับพรรคเหยากวง
เมื่อนึกถึงสิ่งที่สำนักเม่ยหมัววางแผนช่วงชิง ดวงตาเว่ยฉือซานก็ฉายแววเยือกเย็น
อยากขอมีส่วนแบ่ง ฝันไปเถิด!
เมื่อใจรู้สึกเดือดดาล การโจมตีก็ดุเดือดขึ้นมา
“ศิษย์พี่ ข้ามาช่วยท่านแล้ว!” มั่วชิงเฉินตะโกนขึ้น ดึงสายธนูยิงออกไปอย่างต่อเนื่อง แสงจากลูกศรดอกแล้วดอกเล่าลอยพุ่งออกไป
ทุกครั้งที่ดึงสายธนูได้ส่งพลังบริสุทธิ์ลงไปอย่างเต็มเปี่ยม การโจมตีของธนูเขียวซ่อนเร้นรุนแรงกว่าที่ผ่านมาหลายเท่า
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนใจตรงกันอย่างมาก ทุกครั้งที่ยิงลูกศรออกไปก็เข้าไปก่อกวนการโจมตีของเว่ยฉือซานพอดี เยี่ยเทียนหยวนค่อยๆ กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบขึ้นมา
เมื่อมั่วเฟยเยียนในชุดหิมะทั้งตัวปรากฏตัวขึ้น เว่ยฉือซานก็ใจเต้นตุบ หลุดเสียงพูดออกมาว่า “สำนักลั่วสยา!”
โจมตีออกไปหนึ่งทีแล้วรีบถอยกลับอย่างรวดเร็ว หันมองเหยาเจียฉี “เหยาเจียฉี เจ้าช่างดีเสียจริง เพื่อหยกแก้วข้ามวิญญาณถึงกับร่วมมือกับสองพรรคใหญ่เลยเชียวหรือ ดูจะประเมินนิกายมารแดงของข้าสูงไปหน่อยนะ”
หยกแก้วข้ามวิญญาณหรือ
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนมองตากันจากไกลๆ หัวใจเต้นตุบ
หยกแก้วข้ามวิญญาณนี้ มีบันทึกอยู่ในตำราโบราณ
ที่ยอดเขาชุ่ยซาน มีสถานที่ซึ่งถือกำเนิดจาดพลังฟ้าดินแห่งหนึ่ง ในนั้นรวมไปถึงสมบัติวิเศษ หรือชีพจรวิญญาณ
มีภูเขาที่เป็นหยกเขียวทั้งลูก เมื่อแสงตะวันส่องกระทบเป็นลายริ้วเจ็ดสี มองไปแล้วราวกับความฝัน มีชื่อว่าภูเขาตู้หลิง (ข้ามวิญญาณ)
ภูเขาตู้หลิงสามารถขุดหาหยกข้ามวิญญาณออกมาได้ วิญญาณมีชีวิตทั้งหลายล้วนแต่กินมันเป็นอาหาร หากได้กินมันร่างกายก็จะเบาและแข็งแรง กำจัดสิ่งปลอมปนมีผลดีต่อการฝึกบำเพ็ญ
ในหยกข้ามวิญญาณทุกๆ ร้อยอัน อาจจะมีหยกแก้วก้อนหนึ่ง หยกแก้วข้ามวิญญาณนี้เป็นโอสถวิญญาณชั้นดีจากธรรมชาติที่ไม่มีอันตราย หากได้กินมันจะมีประโยชน์ต่อการทะลวงผ่านขีดจำกัดการบำเพ็ญ
ในสมัยโบราณ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเมื่อจะเลื่อนขั้น หยกแก้วข้ามวิญญาณถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
เพียงแต่ว่าหยกข้ามแก้ววิญญาณนี้ ไม่ใช่ว่าหายสาบสูญไปกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมฟ้าดินแล้วหรอกหรือ
มั่วชิงเฉินใจเต้น รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าการตามมาแก้แค้นคล้ายจะได้เก็บเกี่ยวบางอย่างนอกเหนือความคาดหมาย นางเปลี่ยนความคิดแล้วพูดขึ้นว่า “เว่ยฉื่อหมัวจวิน ไยต้องโกรธเคืองถึงเพียงนี้ นับแต่ดินแดนสวรรค์มี่หลัวตูเปิดออก พวกเราทั้งสามฝ่ายไม่ได้บรรลุข้อตกลงกันแล้วหรือ”
เว่ยฉือซานแค่นเสียงหัวเราะ “พวกเจ้ารู้แล้ว มีข้อตกลงแล้วอย่างไรเล่า หรือว่าสมบัติวิเศษที่พวกเรานิกายมารแดงค้นพบในแดนวิญญาณ ต้องเป็นหน้าที่ที่ต้องมอบให้พวกเจ้าไปเชยชมด้วยหรือ”
มั่วชิงเฉินยิ้มบางหนึ่งที
คำพูดของนางเมื่อครู่เป็นเพียงการกล่าวลอยๆ จงใจพูดถึงดินแดนมี่หลัวตู เพื่อที่จะได้ดูว่าหยกแก้วข้ามวิญญาณเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่
ต้องรู้ว่าดินแดนลึกลับส่วนใหญ่ของดินแดนทวีปแห่งเทพ กว่าพันกว่าหมื่นปีมานี้ถูกผู้บำเพ็ญเพียรเข้าไปเยี่ยมชมอย่างต่อเนื่อง สมบัติวิเศษที่หายสาบสูญไปนานเช่นนี้หากยังคงอยู่ต้องถูกเอาออกมานานแล้ว เป็นไปได้ที่ไหนจะมาพบเอาตอนนี้
ที่เป็นไปได้ที่สุด นั่นก็คือคู่บำเพ็ญเพียรนิกายมารแดงหลังจากเข้าไปแดนสวรรค์มี่หลัวตู แล้วค้นพบในโลกดวงดาวสักแห่ง
ไม่ผิดจากที่คาดไว้ เว่ยฉือซานได้เผยความจริงออกมาเอง
เหยาเจียฉีที่คอยฟังอยู่ด้านข้างก็รู้สึกประหลาดใจ ไม่รู้ว่าคนฝ่ายพรตได้รับข่าวได้อย่างไร แต่สภาพเช่นนี้ในตอนนี้ ไม่สู้ปล่อยให้เลยตามเลย นางหัวเราะอย่างอ่อนช้อยขึ้นมาหนึ่งที “เว่ยฉือซาน เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว หากเจ้าคิดจะครอบครองแต่เพียงผู้เดียว เช่นนั้นหยกแก้วข้ามวิญญาณก็คงไม่ใช่สมบัติวิเศษ แต่เป็นยันต์ปลิดชีพแล้วล่ะ”
“เจ้ากำลังขู่ข้าหรือ” เว่ยฉือซานพูดขึ้นอย่างไปเกรี้ยวกราด
เหยาเจียฉีเอามือป้องปากหัวเราะ “จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ข้าน้อยรู้ว่าเจ้านิกายมารแดงเกลียดการถูกขู่ที่สุด แต่เจ้าต้องคิดถึงทั้งนิกายบ้าง บนโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นความลับ พรตมารปีศาจทั้งสามฝ่าย จะยอมทนดูเจ้ายึดเอาสมบัติวิเศษไว้เพียงผู้เดียวอย่างนั้นจริงหรือ เท่าที่ข้ามอง มาตกลงกันดีกว่า อย่างไรเสียพวกเจ้ามารแดงก็เป็นผู้ค้นพบก่อน ก็จะได้รับแบ่งมากหน่อย ท่านเจ้านิกายคิดว่าความคิดเห็นของข้าเป็นอย่างไร”
เว่ยฉือซานมองไปยังเยี่ยเทียนหยวนและมั่วชิงเฉิน จากนั้นก็มองไปยังมั่วเฟยเยียน ในที่สุดก็พยักหน้าด้วยสีหน้าจำใจ
ด้วยเหตุนี้ ปฏิบัติการล้างแค้นของพี่น้องตระกูลมั่ว ในที่สุดก็กลายเป็นการแบ่งผลประโยชน์ของพรรคสำนักใหญ่ รวมกลุ่มไปยังดินแดงสวรรค์มี่หลัวตูเพื่อขุดหาหยกข้ามวิญญาณ
จุดเริ่มต้นและจุดจบเช่นนี้ เป็นสิ่งที่มั่วชิงเฉินคาดไม่ถึง
ยี่สิบปีก่อนผู้คนจากพรรคเหยากวงที่ไปยังแดงวิญญาณเหล่านั้น พวกต้วนชิงเกอได้กลับมาแล้ว กู้หลีและไป๋จั่นหนิงถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับ
การขุดหยกข้ามวิญญาณเป็นเรื่องสำคัญ หลิวซางเจินจวินและเสวียนหั่วเจินจวินต้องอยู่ดูแลสำนัก จื่อซีเจินจวินกำลังกักตัว ต้องส่งเหิงตั๋วเจินจวินและคู่สามีภรรยาเยี่ยเทียนหยวนไป
ทันทีที่เข้าสู่แดนวิญญาณ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลากว่าสิบปี มั่วชิงเฉินได้ล้างแค้นให้ตระกูลมั่วสำเร็จ อยากไปที่หมู่บ้านตนเกิดสักครั้ง ความรู้สึกที่อยากจะทำตามคำสั่งของฝูเฟิงเจินจวินให้สำเร็จก็พลุ่งพล่านขึ้นมา จึงได้บอกกับหลิวซางเจินจวิน
เหิงตั๋วเจินจวินประสานก่อกำเนิดมานานแล้ว ประสบการณ์มากมาย เยี่ยเทียนหยวนความสามารถนับว่าไม่ธรรมดา มีพวกเขาสองคนไปก่อนก็นับว่าพอแล้ว หลิวซางเจินจวินตอบรับเห็นด้วย
แต่กับเยี่ยเทียนหยวน ความรู้สึกที่เคยสัมผัสถึงความเจ็บปวดจากการสูญเสียภรรยาที่รักยังคงฝังใจ ยืนกรานปฏิเสธที่จะแยกกับมั่วชิงเฉิน ต่อให้ถูกหลิวซางเจินจวินดุด่าเช่นใด จะสูญเสียท่าทีของผู้บำเพ็ญเพียรก่อกำเนิดไปก็ไม่ใส่ใจ
ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ถอนใจพูดขึ้นว่า “ถ้ารู้แต่แรกว่าเป็นคู่บำเพ็ญกับศิษย์พี่แล้ว จะทำให้ท่านไม่กลัวได้กลัวเสีย มัวแต่หวาดกลัวไม่กล้าก้าวต่อไปข้างหน้าเช่นนี้ ตอนนั้นชิงเฉินขออยู่ลำพังเสียยังจะดีกว่า”
เยี่ยเทียนหยวนได้ฟังคำพูดเช่นนี้ก็ใจสลาย โอบกอดตัวมั่วชิงเฉินไว้ต่อหน้าผู้คน “ศิษย์น้อง เจ้าจำไว้ ต่อให้เป็นหนทางในยมโลกข้าก็จะไม่ทิ้งให้เจ้าเดินเพียงลำพัง เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีเพื่อข้านะ”
มั่วชิงเฉินนิ่งเงียบรู้สึกเศร้าใจ นางรู้ว่าด้วยระดับการบำเพ็ญเพียรของพวกนาง ช่วงเวลาก่อนพันปีไม่อาจอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันได้อย่างคู่สามีภรรยาปกติ พบเจอแล้วแยกกากเป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างที่สุด ไม่ว่าใครก็ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัว
นางไม่กล้าเผยความอาลัยออกมาแม้สักน้อยนิด เพียงแต่หันหน้าออกไปโดยเร็ว