พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 605 เจ้าคนบ้าตัณหา ปล่อยน้องสาวของข้า
หลัวอวี้เฉิงมองเสื้อคลุมสตรีและเงียบลงชั่วครู่ เขาเริ่มสวมมัน เพียงแต่มือยังสั่นไม่หยุดราวกับรับน้ำหนักเสื้อคลุมไม่ไหว
“เรียบร้อยหรือยัง” มั่วชิงเฉินที่หันหลังให้เอ่ยเร่ง
ความเงียบสงัดเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ เสียงของหลัวอวี้เฉิงพลันส่งมา “ข้าสวมมิได้ เจ้าช่วยข้าสวมเถิด”
มั่วชิงเฉินร่างกายแข็งค้าง “สหายหลัว เจ้ากำลังพูดเล่นอยู่หรือ”
หลัวอวี้เฉิงหลับตาลง จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เต็มไปด้วยความจนปัญญา “ข้าก็หวังให้มันเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น สหายมั่ว หากเจ้าไม่ช่วย พวกนางก็จะมาแล้ว”
เห็นนางยังคงหันหลังให้ เขาก็เอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “สหายมั่ว ต้องการให้อวี้เฉิงขอร้องเจ้าหรือ”
“เจ้าบาดเจ็บหรือ”
สิ่งที่ตอบนางกลับมาคือความเงียบงัน
กลิ่นอายของมั่วเฟยเยียนและมั่วหร่านอีใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มั่วชิงเฉินกัดฟันและหันไป จากนั้นก็พุ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็วดุงดาวตก นางรับเสื้อคลุมมาโดยไม่มอง ก่อนจะชะงัก “นี่มันเสื้อผ้าของข้ามิใช่หรือ”
หลัวอวี้เฉิงกัดฟัน “เจ้าเพิ่งรู้หรือ เร็วเข้า!”
เสื้อคลุมก็ของนางเอง อีกทั้งยังต้องสวมให้เขาด้วยตัวเองอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ มั่วชิงเฉินกล้ามองแค่ใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม และสวมชุดคลุมให้เขาตามความรู้สึกด้วยมืออันสั่นเทา
หลัวอวี้เฉิงถอนหายใจ “หากเจ้ายังสั่นต่อไป พวกนางคงได้ดูเจ้าสวมเสื้อผ้าให้ข้าอย่างเพลิดเพลินใจ”
มั่วชิงเฉินสะดุ้งจนตับสั่น พี่เก้านั้นก็ช่างเถิด แต่หากว่าพี่สิบมาเห็นสภาพเช่นนี้ นางจะคิดเยี่ยงไรเล่า!
นางสวมเสื้อคลุมให้เขาอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าไม่เต็มใจนัก จากนั้นก็กระโดดออกไปอย่างต้องการรักษาระยะห่าง แต่ไม่ทันได้ระวังชายกระโปรงตัวเองที่ติดอยู่ใต้ต้นขาของฝ่ายตรงข้ามเมื่อตอนสวมเสื้อผ้าให้เขาอย่างลวกๆ
หลัวอวี้เฉิงตะโกนประโยค “เจ้าอย่าเพิ่งขยับ” มาแล้วครึ่งหนึ่ง เสียงฉีกขาดดังขึ้น แต่หลัวอวี้เฉิงกับชายกระโปรงที่ติดกันแน่นไม่ได้แยกออกจากกัน มั่วชิงเฉินที่เท้ากำลังเหยียบลงบนก้อนหินที่มีรูปร่างคล้ายไข่ห่านถูกแรงดึงจนทับลงบนร่างของหลัวอวี้เฉิง
เสียงตูมดังขึ้น ทั้งสองคนกลิ้งตกลงไปในน้ำด้วยกัน
จากนั้นก็ได้ยินเสียงของสตรีนางหนึ่งตำหนิออกมาด้วยความโกรธ “เจ้าคนบ้าตัณหา รีบปล่อยน้องสิบหกของข้า!”
มั่วชิงเฉินที่อยู่ในน้ำมองไปยังหลัวอวี้เฉิงที่อยู่ใต้ร่าง จากนั้นหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง “บอกนางว่า ข้าตายแล้ว…”
หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินไม่วางตา พลันหัวเราะเสียงเบา “เหตุใดถึงได้ตื่นตระหนกเพียงนี้”
แล้วจะไม่ตื่นตระหนกได้อย่างไร นั่นคือพี่สิบของข้า ส่วนเจ้าก็คืออดีตพี่เขยของข้า!
มั่วชิงเฉินมุดหน้าลงไปในน้ำอย่างเงียบๆ
เช่นนี้แล้วคงไม่ต้องออกไปแล้วกระมัง
ดูเหมือนว่าหลัวอวี้เฉิงจะเดาความคิดในใจของมั่วชิงเฉินออก สีหน้าของเขานิ่งเรียบ ตามด้วยพูดเสียงเบา “เจ้าคิดจะอยู่บนตัวข้าตลอดไปหรือ”
ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินก็กระโดดออก ชั่วเวลานั้น นางปีติยินดียิ่งที่เสื้อผ้าของนางมีคุณสมบัติกันน้ำ
เห็นหลัวอวี้เฉิงที่อยู่ในน้ำไม่ขยับ จึงดึงเขาขึ้นมาอย่างจำใจ นางค่อยๆ หมุนกาย แล้วทักทายด้วยสภาพทุลักทุเล “พี่เก้า พี่สิบ”
สายตาเย็นชาของมั่วเฟยเยียนมองไปยังใบหน้าของหลัวอวี้เฉิง ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นตกตะลึง
มั่วหร่านอีตัวแข็งทื่อจากนั้นก็โมโหมาก “หลัวอวี้เฉิง เจ้าเอาเปรียบน้องสิบหกของข้า ช่างไร้ยางอายนัก!”
หลัวอวี้เฉิงไม่มีแรงแม้แต่น้อย เขาทิ้งน้ำหนักทั้งหมดไปอิงมั่วชิงเฉิน ใบหน้าของเขากลับมาสงบดังเดิม เขาพูดเสียงเรียบ “แม่นางทั้งสอง ไม่เจอกันเสียนาน”
ผ้าไหมสีแดงหนึ่งเส้นลอยออกจากแขนเสื้อของมั่วหร่านอี พุ่งใส่หลัวอวี้เฉิง
มั่วชิงเฉินต้านการโจมตีของผ้าไหมสีแดง “พี่สิบ ท่านเข้าใจผิดแล้ว!”
มั่วหร่านอีมองไปยังผ้าไหมสีแดงที่ถูกมั่วชิงเฉินจับไว้แน่น นางรู้แจ้งโดยพลัน “สวรรค์ หรือว่าพวกเจ้ารักใคร่ชอบพอกัน เช่น เช่นนั้นแล้วลั่วหยางเจินจวินเล่า”
มั่วชิงเฉินตกใจจนผลักหลัวอวี้เฉิงออก นางได้ยินเสียงโอดโอยดังขึ้น พลันรีบดึงเขากลับมาอย่างจนใจ
ใบหน้าของมั่วเฟยเยียนเย็นชาขึ้นกว่าเดิม นางจ้องทั้งสองคนไม่วางตา
มั่วหร่านอีกะพริบตา ในที่สุดก็มองเห็นได้ชัดเจน “หลัวอวี้เฉิง เจ้าบุรุษหน้าขาว นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะสวมเสื้อผ้าสตรี! คนอย่างเจ้าจะมาเปรียบเทียบกับลั่วหยางเจินจวินได้เยี่ยงไร น้องสิบหก เจ้าสมองเลอะเลือนหรือ”
“เสื้อผ้าที่สหายหลัวสวมดูเหมือนจะเป็นของน้องสิบหก” มั่วเฟยเยียนเอ่ยเตือนอย่างหวังดี
มั่วหร่านอีมองไปทางมั่วชิงเฉินอยากไม่อยากจะเชื่อ
มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างวางตัวไม่ถูก “เมื่อครู่เกิดเหตุสุดวิสัย สหายหลัวบาดเจ็บ…”
“เช่นนั้นแล้วเขาสวมเสื้อผ้าของเจ้าได้เยี่ยงไร แล้วของเขาเล่า” มั่วหร่านอีแบะปาก
“เสื้อผ้าของเขา…” มั่วชิงเฉินชะงักและมองไปทางหลัวอวี้เฉิง “แล้วของเจ้าเล่า”
หลัวอวี้เฉิงมองไปทางมั่วชิงเฉินด้วยแววตาล้ำลึกปราดหนึ่ง “เมื่อตอนต่อสู้กับคนผู้หนึ่ง นอกจากสมบัติวิเศษเจ้าชะตา หุ่นกระบอกที่ปล่อยออกไปตอนนั้นแล้ว ที่เหลือล้วนถูกทำลาย คำตอบนี้พอใจแล้วหรือไม่”
มั่วชิงเฉินมึนงง ทันใดนั้นก็นึกถึงคำพูดที่เขาน้อยเคยบอก
เมื่อตอนนั้นหลังจากที่นางถูกเจ้าปีศาจสังหารและหรวนหลิงซิ่วกำลังจะเข้ามาใกล้ ผู้ที่ปกป้องศพของนางไว้ก็คือหลัวอวี้เฉิง
จากนั้นท่านอาจารย์ก็มา เขาจึงหันหลังจากไปและไร้ข่าวคราวกว่าสี่สิบปี
หรือว่า…ในตอนนั้นเขาไปหาเจ้าปีศาจ!
เช่นนั้นแล้ว บาดแผลของเขามาจากการแก้แค้นให้ตัวนางใช่หรือไม่
วันที่นางแต่งงานกับศิษย์พี่ หลัวอวี้เฉิงจากไปโดยไม่ลา ทิ้งไว้เพียงหุ่นกระบอกห้าตัวให้เป็นของขวัญ มั่วชิงเฉินเดาความรู้สึกของเขาได้อย่างเลือนราง เพียงแต่นางไม่มีคุณสมบัติที่จะไปตอบสนองใดๆ เพียงแค่หวังว่ายามพบกันอีกคราจะยังเป็นสหายที่จริงใจต่อกัน
นึกถึงเขาที่ไปพบเจ้าปีศาจเพียงลำพัง หัวใจของมั่วชิงเฉินพลันหนักอึ้ง
ทุกสิ่งบนโลกนี้มิอาจหลีกหนีกงกรรมกงเกวียนได้ หากนางเป็นหนี้ความรู้สึกเช่นนี้ ชาติหน้านางจะต้องไปเป็นวัวไม่ก็ม้าเพื่อมาชดใช้ใช่หรือไม่
“เจ้าคิดมากเกินไป ประเดี๋ยวข้าจักจดบันทึกความสูญเสียทั้งหมด และเอาไปคิดบัญชีกับเจ้า” เห็นมั่วชิงเฉินที่จู่ๆ ก็เงียบลง หลัวอวี้เฉิงจึงพูดออกมาเรียบๆ
“จริงหรือ” มั่วชิงเฉินดวงตาเป็นประกาย
คิดมากเกินไปจริงๆ หรือ
แสงในดวงตาของหลัวอวี้เฉิงสลัวลง เขาพูดอย่างสงบ “จริง”
อีกาไฟในถุงอสูรวิญญาณคว้าหางของเขาน้อยไว้แน่น
เขาน้อยมองอย่างน้อยใจ “พี่หญิงอู๋เย่ว์ ท่านคว้าหางของข้าทำไมหรือ”
อีกาไฟเอียงศีรษะพูด “ข้าแค่กลุ้มใจ เหตุใดเมื่อพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ สติปัญญาของนายท่านถึงได้ลดลงมาเท่ากับเจ้ากันนะ”
“ไม่จริงเสียหน่อย!” เขาน้อยจากไปด้วยสีหน้าเหมือนโดนดูถูก
มั่วหร่านอีได้ฟังแล้วก็งุนงง นางพูดพลางย่นคิ้ว “พวกเจ้าเล่นปริศนาคำทายอะไรกัน ไม่สิ พวกเจ้ารู้จักกันตั้งแต่เมื่อใด”
“แม่นางมั่ว รอสักครู่แล้วค่อยไต่สวนได้หรือไม่” มุมปากของหลัวอวี้เฉิงมีรอยยิ้มเยาะ ใบหน้าซีดขาวจนน่ากลัว เขามองไปทางมั่วชิงเฉิน “สหายมั่ว รบกวนเจ้าช่วยประคองข้าไปยังหินก้อนนั้น จากนั้นค่อยอธิบายให้พี่สาวของเจ้าฟังเถิด”
มั่วชิงเฉินเห็นว่าหลัวอวี้เฉิงแปลกไป นางประคองเขาไปยังหินก้อนใหญ่ตรงนั้นและช่วยให้เขาเอนกายลงช้าๆ ยื่นมือไปกดลงตรงข้อมือและใช้จิตสัมผัสตรวจสอบ
เพิ่งจะเข้าไป สีหน้าก็เปลี่ยนเล็กน้อย “สหายหลัว เหตุใดบาดแผลของเจ้าถึงได้หนักหนาเพียงนี้”
ในฐานะที่เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ไม่ต้องพูดถึงเลือดลมที่วุ่นวาย ยิ่งไปกว่านั้นทารกปราณในตันเถียนก็แทบจะหยุดนิ่ง ดูแล้วเหมือนจะสิ้นลมหายใจได้ทุกเมื่อ แต่ใบหน้าของเขายังดูนิ่งสงบเช่นนั้น
ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุเขาไม่มีแม้แต่แรงจะสวมเสื้อผ้า
เงียบอยู่นาน จึงพูดขึ้น “เหตุใด…ตอนนั้นเจ้าถึงมาที่นี่”
เมื่อเอนกายลงบนก้อนหิน สีหน้าของหลัวอวี้เฉิงก็ดีขึ้นมาก เขาพูดอย่างสงบ “เพราะเจ้าปีศาจอยู่ที่นี่”
เจ้าปีศาจหรือ
มั่วหร่านอีและมั่วเฟยเยียนสบตากัน จากนั้นมองหลัวอวี้เฉิงอย่างสงสัย “พวกเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดถึงได้เกี่ยวข้องกับเจ้าปีศาจอีกเล่า”
อาการบาดเจ็บสาหัสของหลัวอวี้เฉิงทำให้มั่วชิงเฉินอึดอัดใจ นางพูด “พี่สิบ รอข้าถามให้เรียบร้อยเถิด”
มั่วหร่านอีอยากจะเอ่ยสิ่งใดอีก ทว่ามั่วเฟยเยียนมองนาง “หยุดโวยวายแล้วฟังเสีย”
มั่วหร่านอีโมโหจนไม่พูด
พี่น้องทั้งสามมองไปยังหลัวอวี้เฉิง ต่างคนต่างมีความคิดของตัวเอง
“ตอนนั้น เจ้าปีศาจจากไปหลายวันแล้ว เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันอยู่ที่นี่” มั่วชิงเฉินเอ่ยถามอย่างยากลำบาก
หลัวอวี้เฉิงแสดงรอยยิ้มมั่นใจอย่างปกติ “ง่ายดายนัก ตอนที่วิญญาณเจ้าปีศาจผสานกันเป็นเวลาที่จิตวิญญาณไม่เสถียร ต่อเนื่องจากการประสบทุกข์กับความเสียหายจากเจ้าและอสูรวิญญาณ จึงต้องจากไปรักษาอาหารบาดเจ็บ ยิ่งระดับการบำเพ็ญเพียรสูงก็ยิ่งรักชีวิต สภาพเช่นนั้นทำให้เขาไม่กล้าไปอย่างสะเปะสะปะ อีกทั้งที่เผ่าปีศาจก็ไม่เหมาะจะรักษาอาการบาดเจ็บ สถานที่ที่มีพลังหยินเข้มข้นและสถานที่ที่มีพลังหยางเบาบางเช่นนี้จึงกลายเป็นที่ที่เหมาะสมที่สุด”
มั่วชิงเฉินรู้ดีว่าสิ่งใดเรียกว่าสถานที่ที่มีพลังหยินเข้มข้นและสถานที่ที่มีพลังหยางเบาบาง
ที่เรียกว่าทุกสิ่งเมื่อถึงที่สุดแล้วต้องพลิกกลับ สถานที่ที่มีพลังหยินเข้มข้นทุกแห่ง ที่ปลายสุดของทิศตะวันตกเฉียงเหนือเมื่อถึงจุดที่มีพลังงานหยินมากที่สุด เช่นนั้นแล้วก็จะสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานหยางได้ สถานที่แห่งนี้ จึงเป็นสถานที่ที่มีพลังหยางเบาบาง
สถานที่ที่เป็นรอยต่อระหว่างที่ที่มีพลังหยินเข้มข้นและที่ที่มีพลังหยางเบาบาง นับเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ในการรักษาอาการบาดเจ็บ
“เจ้าเคยมาที่นี่หรือ” มั่วหร่านอีพูดแทรกอย่างอดไม่ได้
หลัวอวี้เฉิงส่ายหน้า “มิเคย”
“เช่นนั้นแล้วมองออกได้อย่างไรว่ากลางเทือกเขาแห่งนี้มีสถานที่ที่มีพลังหยินเข้มข้น” มั่วหร่านอีเบิกตากว้าง
หลัวอวี้เฉิงยิ้มจางๆ ท่าทางเกียจคร้านเกินกว่าจะอธิบาย
มั่วหร่านอีร้อนใจ “เจ้าหน้าขาวที่สักแต่เล่นเล่ห์แต่ไม่รู้จักโต เจ้าพอใจเรื่องใดกัน!”
รอยยิ้มของหลัวอวี้เฉิงเหือดหายไป เขาเงยหน้ามองมั่วหร่านอี “แม่นางมั่ว เวลานี้ข้าและท่านมิได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน ข้าน้อยมิคิดว่าจักต้องคล้อยตามท่าน”
“ผู้ใดต้องการให้เจ้าคล้อยตามกัน!”
หลัวอวี้เฉิงหัวเราะเยาะ “เช่นนั้นแล้ว เจ้าอาศัยสิ่งใดมาพูดกับข้าผู้เป็นเจินจวินเช่นนี้กัน”
มั่วหร่านอีกัดริมฝีปากและถลึงตามองหลัวอวี้เฉิง
มั่วชิงเฉินถอนหายใจ นางรู้ว่าทั้งสองคนนี้ไม่ได้มีความเสน่หาใดๆ ต่อกัน ทว่าคิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดแล้วจะย่ำแย่เช่นนี้
เพียงแต่คำพูดของมั่วหร่านอีนั้น ออกจะเกินไปจริงๆ
แต่เมื่อคำนึงถึงการกระทำของตนเมื่อครู่ที่ไม่ดีนัก นางก็ไม่กล้าพูด จึงได้แต่เปลี่ยนหัวข้อ “สหายหลัว เจ้ากับเจ้าปีศาจต่อสู้กันที่นี่หรือ”
“อืม”
“เช่นนั้นแล้วเจ้าปีศาจ…”
หลัวอวี้เฉิงยิ้ม “หนีไปแล้ว แท้จริงแล้วเขาเป็นเผ่าปีศาจที่มีพลังเทียบเท่าระดับถอดดวงจิต แม้ว่าข้าจะใช้เล่ห์เหลี่ยม แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้นัก โชคดีที่ในสถานที่ที่พลังหยินหยางผันแปรซึ่งสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้แห่งนี้ เจ้าอาชิงนั่นรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของเจ้าปีศาจจึงมาหา กลับทำให้ข้ามีข้ารับใช้”
หัวใจของมั่วชิงเฉินหนักอึ้ง
เช่นนั้นแล้ว สี่สิบกว่าปีนี้ หลัวอวี้เฉิงนั้นนอนอยู่บนหินก้อนนี้มาตลอด ไม่สามารถเคลื่อนไหว หลับๆ ตื่นๆ เช่นนั้นหรือ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้…” จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าเผชิญหน้ากับเขาไม่ได้อีกต่อไป นางอยากจะหนีไป
มุมปากของหลัวอวี้เฉิงโค้ง “อย่าคิดมากเลย ข้าเพียงแค่สงสัยว่าหลังจากเจ้าปีศาจบาดเจ็บสาหัสแล้วฝืนผสานวิญญาณ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะถูกพลิกสถานะที่เสียเปรียบกลายเป็นได้เปรียบ เรื่องนี้น่าสนใจยิ่ง จึงอดไม่ไหวที่ยื่นมือเข้าไปแล้ว ก็ไม่แน่ว่า อาจจะเปลี่ยนรูปแบบของโลกผู้บำเพ็ญเพียรในอนาคตได้”
หัวใจของมั่วชิงเฉินสั่นสะท้าน
ตู้รั่ว มีความเป็นไปได้ที่จะยังมีชีวิตอยู่หรือ
จากนั้นนางเงยหน้ามองรอยยิ้มในดวงตาของหลัวอวี้เฉิง หัวใจพลันหล่นวูบ
หากนางไม่คิดมาก ก็คงจะเป็นคนเขลาที่ไร้หัวจิตหัวใจ
“ถ้าหากเสียใจ ก็จดสี่สิบปีนี้ลงในบัญชีด้วยเล่า”
มั่วหร่านอีและมั่วเฟยเยียนได้ยินทั้งสองคนคุยกันก็ยิ่งไม่เข้าใจ นางถามอย่างอดไม่ได้ “ชิงเฉิน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
มั่วชิงเฉินครุ่นคิด จากนั้นก็เล่าเรื่องราวเกือบทั้งหมด เพียงแต่ปกปิดเรื่องที่นางเคยสิ้นลมมาก่อน เล่าเพียงแค่บาดเจ็บสาหัสและแกล้งตาย
มั่วหร่านอีและมั่วเฟยเยียนฟังจบ ก็เพิ่งได้รู้ว่าหลายปีมานี้มั่วชิงเฉินพบเจอกับเรื่องราวมากมาย
“ชิงเฉิน ที่เจ้ามาครั้งนี้เพื่อตามหาโครงกระดูกของเวินหนิงก่อนจะไปจงหลางใช่หรือไม่” มั่วเฟยเยียนถาม
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “อืม พวกเราพักที่นี่ก่อน รอให้ข้าหลอมโอสถ หลัวอวี้เฉิงหายจากอาการบาดเจ็บ แล้วพวกเราค่อยไปด้วยกันเถิด”
“เขาก็ไปด้วยหรือ” มั่วหร่านอีย่นคิ้วอย่างไม่รู้ตัว
มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “หากเขาไม่ไป พวกเราเองก็ไปไม่ได้”