พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 616 ตัดเส้นเอ็นสัมพันธ์เหนือหัวใจ
มั่วชิงเฉินพลันตกตะลึง
เสียงที่ส่งมาจากทางนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงของหลัวอวี้เฉิง แต่เหตุใดเวลาพูดถึงแปลกพิกล หรือว่ากำลังล้อเล่นอยู่
ขณะที่นางกำลังคิดจะเอ่ยอะไร หุ่นเชิดก็ถ่ายทอดเสียงมาว่า “อ้อ ข้านึกออกแล้ว เรื่องออกไปหาประสบการณ์สินะ ตอนนี้ข้ายังมีธุระต้องจัดการ รอจัดการเสร็จค่อยติดต่อกันก็แล้วกัน”
สิ้นเสียงคาดไม่ถึงว่าจะตัดการเชื่อมต่อเสียงของหุ่นเชิดไปทันที
มั่วชิงเฉินไม่ส่งเสียงใดๆ อยู่นาน
“ศิษย์น้อง” เยี่ยเทียนหยวนร้องเรียกครั้งหนึ่ง
มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นเห็นเยี่ยเทียนหยวน ก็มีสีหน้าแปลกประหลาด “ศิษย์พี่ สหายหลัวอาจจะต้องอาถรรพ์เข้าแล้ว…”
ทั้งสองคนไปยังจุดที่นัดกับมั่วเฟยเยียนและมั่วหร่านอี พวกนางรออยู่ตรงนั้นแล้ว นอกจากนี้ยังมีบุรุษสวมชุดสีฟ้าอีกคนหนึ่ง
บุรุษผู้นี้มีคิ้วหนาตาโต สูงสง่า แต่กลับไม่เคยพบเห็นมาก่อน
มั่วชิงเฉินมองแวบหนึ่งพลันตกตะลึง “อาชิงหรือ”
บุรุษสวมชุดสีฟ้ากระโดดลงมาจากเก้าอี้ ดวงตากลมโตสองข้างจ้องมั่วชิงเฉินเขม็ง “เจ้า…เจ้าจำปู่ได้อย่างไร”
ไม่รอให้มั่วชิงเฉินเอ่ย ก็ได้ยินเสียงมั่วหร่านอีแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา “ท่าทางของเจ้า ไม่เคยเปลี่ยนแปลง น้องสิบหกจำไม่ได้ก็แปลกแล้ว!”
บุรุษชุดสีฟ้าหันกลับไป ดวงตากลมโตหรี่ลงจนเป็นเส้นเล็กๆ “พยัคฆ์แก่ตัวเมีย เจ้าว่าข้าตัณหากลับ[1]หรือ”
มั่วหร่านอียืนขึ้น สีหน้าแดงระเรื่อ “เจ้า เจ้ามันไร้ยางอาย!”
เมื่อเห็นมั่วชิงเฉินและมั่วเฟยเยียนมองมาก็นั่งลงอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเจ้าไม่ต้องสนใจเขา ได้ยินว่าพวกเราจะไปจงหลาง ก็จะตามไปให้ได้ วุ่นวายจริงๆ”
“อาชิง ยินดีด้วยที่เจ้าแปลงกายสำเร็จแล้ว เพียงแต่ เจ้าเพิ่งจะแปลงกายได้ได้ไม่นาน น่าจะต้องกักตนสินะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยถาม
อาชิงมีสีหน้าฉงนและแดงระเรื่อเล็กน้อยถึงได้เอ่ยว่า “เผ่าปีศาจของพวกเราไม่เหมือนเผ่ามนุษย์”
“น้องสิบหก สหายหลัวล่ะ” มั่วเฟยเยียนที่นั่งเงียบมาโดยตลอดเอ่ยปากถาม
มั่วชิงเฉินถอนหายใจ “เขาบอกมว่ามีธุระมาไม่ได้ เกรงว่าการเดินทางไปจงหลางครั้งนี้จะต้องล่าช้าแล้ว”
มั่วเฟยเยียนพลันขมวดคิ้วมุ่น
“ไม่ใช่กระมัง ต้องรออีกแล้วหรือ!” มั่วหร่านอีเบะปากอย่างไม่พอใจ “อ้อใช่ ข้านึกออกแล้ว ตระกูลหลัวดูเหมือนจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง”
เห็นทุกคนมองมาก็เอ่ยต่อว่า “ข้าได้ยินแม่บุญธรรมกล่าวว่าสองสามปีก่อนอยู่ๆ ตระกูลหลัวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และยิ่งไปกว่านั้นตระกูลหลัวที่แต่เดิมอยู่ในแดนไท่ไป๋ซึ่งเป็นเขตใต้อาณัติของสำนักมารฟ้า ดูเหมือนว่าจะเป็นแค่สาขาย่อยส่วนเล็กๆ ของตระกูลหลัวเท่านั้น หรือว่าที่หลัวอวี้เฉิงมาไม่ได้ จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
มั่วชิงเฉินหยิบหุ่นเชิดถ่ายทอดเสียงออกมาดู “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มีเพียงต้องรอให้สหายหลัวเป็นฝ่ายติดต่อมาเองแล้ว”
อีกด้าน หลัวอวี้เฉิงเก็บหุ่นเชิดถ่ายทอดเสียงไป ประสานสายตากับสายตาหยั่งเชิงของชายชราฝั่งตรงข้าม เอ่ยด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “เป็นสหายผู้หนึ่ง นัดกันว่าจะออกไปเสี่ยงดวงกันดูเมื่อหลายปีก่อน”
ชายชราเอ่ยปากอย่างแช่มช้า “ไม่ทราบว่าสหายผู้นี้ของอวี้เฉิง เป็นบุรุษหรือสตรี”
หลัวอวี้เฉิงฉีกยิ้ม “ไปด้วยกันหลายคน มีทั้งบุรุษและสตรี”
ชายชราจ้องตาของหลัวอวี้เฉิงเขม็ง “ข้าถามว่า คนที่ถ่ายทอดเสียงผ่านหุ่นเชิดคือผู้ใด”
หุ่นเชิดถ่ายทอดเสียงนี้สามารถควบคุมให้เสียงที่ถ่ายทอดเสียงมามีเพียงตนเองที่ได้ยินเท่านั้น หากไม่ควบคุม คนที่อยู่ด้านข้างก็จะได้ยินด้วย
เสียงที่ส่งมาเมื่อครู่ หลัวอวี้เฉิงควบคุมเอาไว้ ชายชราจึงได้ยินเพียงเสียงที่หลัวอวี้เฉิงพูด ไม่ได้ยินเสียงอีกฝั่งหนึ่ง
“เป็นสตรีผู้หนึ่ง ในบรรดาพวกข้า นางมีพลังยุทธ์สูงที่สุด ดังนั้นอวี้เฉิงจึงทิ้งหุ่นเชิดไว้ที่นาง เดิมทีจะไปตั้งหลายปีแล้ว แต่คู่บำเพ็ญเพียรของนางไปแดนลับ พวกเราจึงต้องรอ” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างไม่รีบร้อนและไม่เชื่องช้า
สายตาจับจ้องอย่างละเอียดของชายชราทอดมองมาที่ใบหน้าของหลัวอวี้เฉิง หลัวอวี้เฉิงลดมือลง มองสีหน้าไม่ออก
ฉับพลันนั้นก็ได้ยินชายชราตะโกนว่า “อวี้เฉิง คุกเข่าเดี๋ยวนี้!”
หลัวอวี้เฉิงพลันตกตะลึง ริมฝีปากบางกลายเป็นเส้นตรง ยกอาภรณ์ขึ้นพลางคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ไม่ทราบว่าอวี้เฉิงกระทำการอะไรไม่เหมาะสม ผู้อาวุโสโปรดลงโทษด้วยขอรับ”
ชายชราเดินเตร่อยู่ในห้องโถง แล้วหยุดฝีเท้าลง เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นกลางอากาศ “อวี้เฉิง เจ้าพูดความจริงมา เจ้ามีความรักใช่หรือไม่”
หลัวอวี้เฉิงก้มหน้าลง “อวี้เฉิงมิกล้า!”
ชายชราพลันร้อนใจ “มิกล้า หรือว่าไม่มี”
เมื่อเห็นว่าหลัวอวี้เฉิงก้มหน้าลงไม่พูดอะไร ก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา “อวี้เฉิง แม้ว่าตระกูลหลัวทั้งสามสิบหกสาขาของพวกเราจะตกต่ำมาเนิ่นนานแล้ว แต่ถึงอย่างไรเราก็เป็นเผ่าวิญญาณสวรรค์ เจ้าเป็นผู้ที่มีฝีมือโดดเด่น สาขาของพวกเราถึงได้มีโอกาสได้ภารกิจนี้มา สร้างโลกใหม่ ค่อยๆ ดึงดูดเข้ามาในแดนสวรรค์มี่หลัวตู ยามนี้ไขกระดูกหยกในแดนสวรรค์มี่หลัวตูได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว จุดที่ทับซ้อนกันต่างๆ ของแดนวิญญาณสวรรค์ต่างๆ ในทวีปทั้งเก้าได้เกิดการอนุมานกันขึ้นมาแล้ว คิดดูแล้วอีกไม่กี่สิบยี่สิบกว่าปี ผู้บำเพ็ญเพียรในแดนมนุษย์ก็จะน่าจะหาที่นั่นพบ ถึงยามนั้นสะพานเชื่อมแดนมนุษย์และแดนวิญญาณก็จะถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง นี่เป็นผลสำเร็จยามที่เราเกษียณแล้ว เรื่องพวกนี้เจ้าคงไม่ลืมสินะ หรือจะบอกว่าออกไปหาประสบการณ์มากเกินไป เจ้าจึงลืมฐานะของตนเอง”
“อาวุโสกังวลมากเกินไปแล้ว อวี้เฉิงไม่เคยลืม” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างราบเรียบ
ชายชราถลึงตาใส่แวบหนึ่ง น้ำเสียงแหบพร่าและทุ้มต่ำ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากที่เจ้าบรรลุระดับก่อกำเนิดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย หลังจากกลับมา เรื่องที่เผ่าเราเป็นผู้ได้รับการสืบทอด เหตุใดถึงล้มเหลว”
“ผู้อาวุโส…”
ชายชราแค่นเสียงอย่างเย็นชา “สาเหตุที่เผ่าวิญญาณสวรรค์ของพวกเราเชื่อมต่อกับแดนวิญญาณได้ ก็เพราะว่าในเผ่าจะปรากฏผู้ชาญฉลาดขึ้น จึงได้รับการสืบทอดวิญญาณสวรรค์ เดิมเจ้าก็เป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรุ่นนี้ หากได้รับการสืบทอด สาขาของพวกเราก็จะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง แต่ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะล้มเหลว! เจ้าลืมไปแล้วหรือ การสืบทอดวิญญาณสวรรค์ นอกจากพลังยุทธ์ จิตใจ และสติปัญญาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือห้ามรักปักใจ!”
หลัวอวี้เฉิงยืดตัวตรงแน่ว สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย “ผู้อาวุโส…”
เขาอยากพูดว่า การสืบทอดวิญญาณสวรรค์ ความจริงแล้วเขาไม่เอาก็ได้
เพียงแต่ นางมีสามีอยู่แล้ว และยังรักกันลึกซึ้ง เขายืนหยัดไปแต่กลับถูกอีกฝ่ายหลบหลีกด้วยความหวาดกลัว เช่นนั้นเขาจะยืนหยัดอะไรอีก
หากเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม เดินไปได้ไกลยิ่งกว่าเดิม ได้เห็นมากมาย มีประสบการณ์มากมาย ทุกอย่างก็ล้วนหายไปกับสายลม
“เจ้าว่ามาเถิด สตรีผู้นั้นเป็นใคร ข้าไม่อาจปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่ได้ มันส่งผลกระทบต่อเจ้า!” ชายชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ในที่สุดหลัวอวี้เฉิงก็หน้าเปลี่ยนสี “ผู้อาวุโส เหตุใดท่านต้องบีบบังคับข้า!”
ชายชราแค่นเสียงหึ “อวี้เฉิง ที่ผ่านมาเจ้าทำทุกอย่างได้ราบรื่น อย่าลืมล่ะ ในเผ่าอยากรู้อะไร ก็ย่อมทำได้!”
หลังอวี้เฉิงยืนเงียบๆ มองสบตากับชายชรา “หากเป็นเช่นนั้น อวี้เฉิงก็จะตายต่อหน้านาง ผู้อาวุโสท่านอย่าลืมล่ะ อวี้เฉิงไม่เคยผิดคำพูด”
เสียง เปรี๊ยะ ดังขึ้น ชายชราหักเก้าอี้ที่ใช้พยุงร่าง “เยี่ยม เยี่ยมมาก หากเจ้าไม่อาจสืบทอดวิญญาณสวรรค์ได้ แล้วจะมีสิทธิ์อันใดมาข่มขู่ข้า”
“อวี้เฉิงยอมตัดความสัมพันธ์ รับการสืบทอด”
ชายชรามีน้ำเสียงผ่อนคลายลง “เจ้าหมายความว่า…”
มุมปากของหลัวอวี้เฉิงกระตุกรอยยิ้มเยาะเย้ย “ในเผ่ามีวิชาที่สามารถกำจัดความรู้สึกในจิตใจไปไม่ใช่หรือ อวี้เฉิงอยากลองดู”
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเซียน ย่อมมีไม่กี่คนที่สามารถตัดความปรารถนาแบบปุถุชนไปได้
ไม่ว่าอย่างไรเผ่าวิญญาณสวรรค์ก็เป็นเผ่ามนุษย์ การสืบทอดนับครั้งไม่ถ้วนนั้น จะต้องตัดขาดความสัมพันธ์ไปเท่าไหร่ ผู้ใดจะพูดได้
วิชาตัดความรู้สึก กลับเป็นสิ่งที่เตรียมมาเพื่อเผ่าวิญญาณสวรรค์โดยเฉพาะ
“เจ้าคิดดีแล้วหรือ” ผู้อาวุโสเอ่ยถามเสียงเข้มงวด
หลัวอวี้เฉิงฉีกยิ้ม แววตามีนัยน์ลึกซึ้ง “อวี้เฉิงไม่ใช่คนเยิ่นเย้อ ผู้อาวุโสเริ่มเลยเถิด หลังจากเสร็จสิ้นอวี้เฉิงจะไปเสี่ยงอันตรายกับเหล่าสหาย กลับมาแล้วถึงจะรับสืบทอดวิญญาณสวรรค์ และจะไม่ปรากฏตัวในแดนมนุษย์อีกตลอดกาล”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ตามข้ามา” ชายชราเอ่ยไปพลางหันกาย ทิ้งเสียงถอนหายใจเบาๆ จนแทบไม่ได้ยินเอาไว้
กลับเป็นหลัวอวี้เฉิงที่มีสีหน้าราบเรียบ เดินตามออกไป
ชายชราเชิญอาวุโสสาขาเสวียนจิ่วมา สำแดงวิชาตัดขาดความรู้สึกของหลัวอวี้เฉิงในห้องลับด้วยกัน
วิชาตัดขาดความรู้สึกจำต้องเอาเส้นเอ็นหัวใจของมนุษย์ออกมา ตั้งแต่นั้นมาก็จะตัดขาดจากความรัก ผลคือจะทำให้คนหายใจไม่ออก ขั้นตอนการตัดก็ยิ่งเจ็บปวดมาก
เส้นเอ็นเหล่านั้นพันรัดหัวใจอยู่ เป็นทัศนียภาพที่ทำให้คนผู้นั้นเกิดความรู้สึกต้องใจมากที่สุด มันค่อยๆ ถูกดึงออกมาตัด สุดแสนจะเจ็บปวด
แต่จนถึงที่สุดหลัวอวี้เฉิงก็แค่กัดริมฝีปาก ตั้งแต่ต้นจนจบมิได้เปล่งเสียงร้องใดๆ มุมปากกระทั่งประดับไปด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มนั้นทำให้ชายชราสะทกสะท้านใจ เมื่อวิชาสำแดงจนจบ ก็อดไม่ไหวเอ่ยขึ้น “อวี้เฉิง เส้นเอ็นหัวใจของเจ้าถูกตัดแล้ว ก็ออกไปหาประสบการณ์ก่อนเถิด รอจนร่างกายฟื้นฟูกลับมาแล้วค่อยกลับมาสืบทอดในเผ่า”
“อวี้เฉิงขอคารวะ” หลัวอวี้เฉิงฉีกยิ้มบางๆ แล้วทำความเคารพพร้อมกับหมุนตัวจากไป
ชายชราถอนสายตากลับมาแล้วถอนหายใจ “ไม่รู้ว่าข้าทำถูกหรือไม่”
ชายชราอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “เผ่าของพวกเรา เดิมก็ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดอยู่แล้ว ในเมื่อเจ้าเด็กนั่นเลือกเอง ก็ปล่อยเขาไปเถิด”
“สำแดงวิชาไปแล้ว ก็มีเพียงต้องทำเช่นนี้”
ทางนั้น มั่วชิงเฉินและพวกเพิ่งจะสงบลง หุ่นเชิดถ่ายทอดเสียงก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง
มั่วชิงเฉินรีบหยิบหุ่นเชิดถ่ายทอดเสียงออกมา
“พวกเจ้าอยู่ที่ใด” เสียงของหลัวอวี้เฉิงส่งมา
แม้ว่าเสียงนี้จะเป็นเสียงของหลัวอวี้เฉิง แต่น้ำเสียงกลับแปลกประหลาดยิ่งกว่าตอนแรก แต่แปลกประหลาดอย่างไรกลับบอกไม่ถูก มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วตามจิตสำนึก บอกตำแหน่งกับเขาไป
“ข้ากำลังไป” หลัวอวี้เฉิงส่งเสียงอย่างกระชับได้ใจความมา เอ่ยจบก็ตัดการเชื่อมต่อ
ทุกคนต่างมองสบตากัน
มั่วหร่านอีเอ่ย “เหตุใดคนผู้นี้ถึงน้ำเสียงแปลกๆ” เอ่ยไปพลางเอียงคอมองมั่วชิงเฉิน “เอ๋ ไม่ใช่ว่าเขาเลอะเลือน คิดว่าทางนี้คือข้าหรือ”
มั่วชิงเฉินหัวเราะไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้ “พี่สิบ ท่านพูดอะไรของท่าน”
มั่วหร่านอีชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง “ความจริงแล้ว ปกติเขาก็พูดกับข้าเช่นนี้”
มั่วชิงเฉินรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ แต่เมื่อได้ยินหลัวอวี้เฉิงพูดว่ากำลังมา ก็ไม่คิดอะไรให้วุ่นวายอีก
บางทีเขาอาจจะรู้สึกว่าศิษย์พี่ก็อยู่ จึงต้องระมัดระวังตัวหน่อยกระมัง
สองสามวันต่อมา หลัวอวี้เฉิงก็มาถึง และพลันทักทายทุกคนอย่างราบเรียบ จากนั้นก็มองมั่วชิงเฉิน “สหายมั่ว เช่นนั้นพวกเราเริ่มกันเถิด”
ดวงตาสีดำของเขาสดใส ไม่มีระลอกคลื่นแม้แต่น้อย ราวกับว่าที่มองอยู่ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเหมือนกับสิ่งของอย่างไรอย่างนั้น
ไม่รู้ว่ารังเกียจหรือว่าไม่สนใจ แต่ล้วนไม่มีความรู้สึกใดๆ
ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็หน้าเปลี่ยนสี พิจารณาหลัวอวี้เฉิงอย่างละเอียด “สหายหลัว เจ้าไม่ได้พบกับเรื่องอะไรมาใช่หรือไม่”
หลัวอวี้เฉิงช้อนสายตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน กวาดตามองมั่วชิงเฉินแวบหนึ่ง “สหายมั่วอย่ากังวลไปเลย อวี้เฉิงสบายดี พวกเราทำธุระกันเถิด”
ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็มั่นใจ ในตัวของหลัวอวี้เฉิงต้องมีอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่ แต่แค่ในเมื่อเขาไม่อยากพูด ก็ทำได้เพียงปล่อยไป กดความฉงนสงสัยเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “ได้ เริ่มกันเถิด”
ทั้งสองคนเอามือประสานกัน ต่างฝ่ายต่างหลับตาสัมผัสกับข้อความในทะเลแห่งความตระหนัก
ข้อความนั้นส่งเสียง ตูม แล้วสลายออก กระจายตัวจากทะเลแห่งความตระหนักออกมารอบด้านราวกับดอกไม้ไฟ ความรู้ลึกลับต่างๆ พุ่งทะลุไปมา ค่อยๆ สัมผัสกัน กลายเป็นแผนที่อันสมบูรณ์แบบ
[1] 色 แปลอีกอย่างว่าท่าทาง