พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 618 รู้เพียงว่าเป็นเรื่องปกติ
มั่วชิงเฉินวิ่งไปยังจุดที่ไกลออกไป กลุ่มก้อนพลังปราณที่ผนึกตัวกันสองสามกลุ่มไม่สลายหายไปไหน
เกิดลสงสังหรณ์ขึ้นในใจ เท้าขวายกขึ้น เตะไปที่ไอกลุ่มหนึ่งอย่างแรง
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น กลุ่มก้อนพลังปราณกลุ่มนั้นสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
มั่วชิงเฉินเตะไปอีกสองสามครั้งอย่างต่อเนื่อง กลุ่มก้อนพลังปราณสองสามกลุ่มแตกกระจายออก เสียงร้องโหยหวนแตกต่างกันดังขึ้น
นี่มันเรื่องล้อเล่นอะไรกัน
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว
เห็นชัดๆ ว่าไม่มีกลิ่นอายของพลังชีวิต แต่กลับสัมผัสได้ว่ากลุ่มก้อนพลังปราณเหล่านั้นทำร้ายคนได้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว กลุ่มก้อนพลังปราณชนิดนี้พบเห็นได้ทั่วไป หากพวกเขามีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสลบไสลไม่ได้สติล่ะ จะไม่เป็นการรอความตายหรือ
ไกลออกไป มองเห็นชายเสื้อสีดำปรากฏอยู่ที่พุ่มไม้ กลุ่มก้อนพลังปราณสองสามร่างลอยพลิ้วไหววนล้อมรอบอยู่ตรงนั้น
มั่วชิงเฉินใช้เท้าขวาถีบ ร่างทั้งร่างลอยขึ้นกลางอากาศ กระโจนสองสามครั้งไปอยู่ตรงหน้า
กลางพุ่มไม้มีคนนอนหมอบอยู่คนหนึ่ง เอียงศีรษะไปด้านข้าง สองตาปิดสนิท มุมปากมีคราบโลหิตเปื้อนอยู่ นั่นก็คือหลัวอวี้เฉิง
กลุ่มก้อนพลังปราณสองสามกลุ่มลดระดับลงมาอยู่ตรงร่างของเขา
มั่วชิงเฉินยกเท้าขวากวาดออกไป เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเวลาเดียวกันกับที่กลุ่มก้อนพลังปราณสองสามกลุ่มสลายหายไปก็มีบางกลุ่มหนีรอดมาได้ราวกับปลาหลุดรอดแห
มั่วชิงเฉินไม่สนใจสิ่งอื่น ยกมือขึ้นตบไปที่กลุ่มก้อนพลังปราณกลุ่มนั้น
ความรู้สึกถูกทิ่มแทงส่งมา เมื่อชักมือกลับมาดูก็มองเห็นแต่ไข่มุกโลหิตเม็ดเล็กๆ
โชคดีที่กลุ่มก้อนพลังปราณกลุ่มนั้นถูกตบจนสลายไป
มั่วชิงเฉินเช็ดไปบนร่างอย่างส่งๆ แล้วโน้มตัวลงไปประคองหลัวอวี้เฉิงออกมาจากพุ่มไม้ พลันร้องตะโกนว่า “สหายหลัว!”
จากนั้นถึงได้มองเห็นว่าทรวงอกของเขาเต็มไปด้วยหนามแหลมๆ ทิ่มลึกเข้าไปในเนื้อหนัง เสื้อผ้าขาดเป็นรูพรุน
มั่วชิงเฉินเห็นแล้วก็ตกตะลึง ยื่นมือออกไปอังจมูกของหลัวอวี้เฉิง
ลมหายใจรวยรินไหลรดบนปลายนิ้วของนาง ความรู้เย็นยะเยือกพลันวาบเข้ามา
มั่วชิงเฉินรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง กดนิ้วลงบนข้อมือของเขา ถึงได้สติกลับคืนมาว่าไม่อาจใช้พลังปราณได้
“สหายหลัว สหายหลัว ตื่นสิตื่น!” มั่วชิงเฉินร้องเรียกอย่างร้อนใจ
อาการบาดเจ็บสาหัสเช่นนั้น หากไม่รีบตื่นขึ้นมา…
เมื่อนึกถึงผลที่จะตามมา มั่วชิงเฉินก็รู้สึกตัวเย็นเยียบ
สมุนไพรวิญญาณต่างๆ ก็ไม่อาจเอาออกมาได้ พลังปราณก็ไม่อาจใช้การได้ มั่วชิงเฉินครุ่นคิดแล้วกัดนิ้วของตนแรงๆ ประคองร่างของหลัวอวี้เฉิงเอาไว้ หยดโลหิตสดๆ เข้าไปในปากของเขา
เลือดเนื้อของผู้บำเพ็ญเพียรก็เหมือนกับอสูรปีศาจ จะว่าไปแล้วก็ล้วนเป็นของบำรุงชั้นดี และเป็นเพราะบริสุทธิ์ยิ่งกว่า จึงมีประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยม
เรื่องมาถึงครานี้ นางจึงทำได้เพียงหวังว่าโลหิตของตนจะทำให้เขาฟื้นฟูพลังปราณกลับมาได้สักเล็กน้อย
หลัวอวี้เฉิงมีปณิธานในการมีชีวิตอยู่แข็งแกร่งมาก นิ้วเพิ่งจะวางลงไป ก็กลืนลงไปตามจิตสำนึก แต่แค่เขาอ่อนแอเกินไป ริมฝีปากขยับได้เพียงสองสามครั้งก็เหนื่อยล้าจนขยับกายไม่ไหว
มั่วชิงเฉินเห็นเช่นนั้นก็ชักนิ้วกลับมา กรีดเล็บไปบนข้อมือ โลหิตสดๆ ทะลักออกมาทันที
นางรีบวางข้อมือไปตรงริมฝีปากของหลัวอวี้เฉิง และไม่สนว่าเขาจะได้ยินหรือไม่ พลางเอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า “สหายหลัว เจ้ารีบดื่มลงไป!”
เสียงกลืนดังขึ้นเบาๆ มั่วชิงเฉินถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมา
และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ยามที่มั่วชิงเฉินรู้สึกเวียนศีรษะ ขนตาของหลัวอวี้เฉิงก็กะพริบถี่ๆ ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาสีดำสนิทดุจน้ำหมึกมองนิ่งมาที่นาง จากนั้นก็เลื่อนไปที่ข้อมือเรียวของนาง
มั่วชิงเฉินพลันดีใจ “สหายหลัว เจ้าตื่นแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง”
หลัวอวี้เฉิงพยักหน้าน้อยๆ แล้วเลื่อนริมฝีปากออก
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว “สหายหลัว ที่นี่แปลกประหลาดมาก ทุกอย่างว่างเปล่า สมบัติอาคม เคล็ดวิชาล้วนไม่อาจใช้ได้ สมุนไพรวิญญาณก็นำออกมาไม่ได้ เจ้าบาดเจ็บหนักมาก พยายามดื่มอีกนิดเถิด”
เอ่ยไปพลางขยับข้อมือเข้ามาใกล้
หลัวอวี้เฉิงเอียงศีรษะหลบ น้ำเสียงอ่อนแรง “ไม่ต้อง…”
มั่วชิงเฉินไม่สนใจการปฏิเสธของเขา ใช้จุดที่มีโลหิตบนข้อมือกดไปที่ปากของหลัวอวี้เฉิง “อย่าพูดพล่ามไร้สาระ ที่นี่อันตรายมาก เจ้าไม่รีบดีขึ้น พวกเราก็ต้องตายไปด้วยกัน รีบดื่มเข้าไป!”
หลัวอวี้เฉิงรีบเม้มปาก คิดจะเบี่ยงตัวออกแต่กลับทำไม่ได้ ทำได้เพียงหายใจแรงพร้อมกับถลึงตาใส่มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินกังวลอาการบาดเจ็บของเขา ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงประหลาดๆ ก่อนหน้านี้ของเขา จึงเกิดโทสะ ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง “ถลึงตาใส่ข้าทำไม ดวงตาของเจ้าไม่ได้ใหญ่เท่าข้า ยามนี้กำปั้นของผู้ใดแข็งกว่าก็ต้องเชื่อฟัง”
หลัวอวี้เฉิงดิ้นรนไม่ไหว แววตาฉายแววแปลกประหลาดออกมา หลุบเปลือกตาลงกลืนโลหิตอุ่นๆ ลงไปสองสามอึก ชั่วขณะนั้นตรงทรวงอกพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา สบายตัวขึ้นมาก
ผ่านไปพักหนึ่งก็หยุดลง เห็นมั่วชิงเฉินยังจะเอ่ยอะไรอีก ก็เอ่ยปากว่า “สตรีโง่เขลา…เจ้าอยากตายไปพร้อมกับข้าหรือ”
“เจ้าเพ้อฝันเกินไปแล้ว!” มั่วชิงเฉินค้อนควัก
“เช่นนั้นเจ้ายังไม่เอามือออกไปอีก ยามนี้ข้าใกล้จะตายอยู่รอมร่อ ยังต้องให้เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อปกป้องนะ” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างเย็นชา
มั่วชิงเฉินถอนหายใจ ดึงผ้าชิ้นหนึ่งจากอาภรณ์มารัดข้อมือของตนเอาไว้ แล้วถึงได้เอ่ยว่า “สหายหลัว เจ้าอย่าพูดจาเย็นชาเช่นนี้ได้หรือไม่ พวกเราไม่ได้รู้จักกันมาแค่วันสองวันนะ”
หลัวอวี้เฉิงพลันตกตะลึง ไม่ส่งเสียงใดๆ อีก
มั่วชิงเฉินก้มหน้าลง ช่วยเขาจัดการหนามบนทรวงอก “เจ้าทนหน่อยแล้วกัน ครั้งนี้ห้ามแหกปากร้องล่ะ”
หลัวอวี้เฉิงขมวดคิ้ว “ข้าเคยแหกปากร้องที่ไหนกัน”
มั่วชิงเฉินเผยแววตาดูถูกออกมา “ลืมไปแล้วหรือ ในแดนหยินเข้มข้นตอนที่ปรับชีพจรให้เจ้า มีครั้งใดบ้างที่ไม่ร้องแหกปาก ได้ยินแล้วข้าอยากจะอุดชีพจรเอาไว้เหมือนเดิม!”
หลัวอวี้เฉิงพลันหัวเราะออกมา “วางใจ นั่นคืออดีต วันข้างหน้าจะไม่มีอีกแล้ว”
ในอดีตที่เขาร้องออกมาเวลาเจ็บปวดนั้น ก็เพราะอยากให้นางเห็นใจ ยามนี้ตนก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดใจแล้ว ยังต้องการให้คนอื่นมาเห็นใจอะไรอีก
มั่วชิงเฉินเม้มปาก ช่วยเขาดึงหนามออกทีละอันๆ ตั้งแต่ต้นตนจบหลัวอวี้เฉิงไม่ส่งเสียงร้องดังคาด
จนถึงตอนสุดท้าย กลับเป็นเพราะนางเห็นบาดแผลที่น่าตกใจนิ้วจึงสั่นเทา
แขนที่ค่อนข้างเย็นเยียบข้างหนึ่งดึงมือของนางออก “ข้าทำเอง…”
หลัวอวี้เฉิงที่ฟื้นฟูพลังปราณกลับมานิดหน่อยแล้ว ดึงหนามที่เหลืออยู่ออกอย่างรวดเร็ว บ้างก็ติดเลือดและชิ้นเนื้อออกมาด้วย ราวกับว่านั่นไม่ใช่ตนเองอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากจัดการจนเกลี้ยง ก็ออกแรงดึงเสื้ออาบโลหิตมาวางไว้ด้านข้าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย “เสร็จแล้ว…พวกเราไปได้หรือยัง…”
มั่วชิงเฉินมองแล้วพลันเม้มปาก เห็นเขาหมายจะลุกขึ้นมาก็กดไหล่เอาไว้แล้วเอ่ยว่า “รอประเดี๋ยว”
จากนั้นก็หยิบน้ำเต้าที่แขวนอยู่ที่คอออกมา ใช้ผ้าชุบสุราเช็ดบาดแผลแทนเขา
หลัวอวี้เฉิงขมวดคิ้วมุ่นปล่อยให้เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมา จ้องเขม็งไปที่น้ำเต้าแล้วเอ่ยถามพร้อมกับหัวเราะว่า “สมบัติโบราณหรือ”
มั่วชิงเฉินชะงักไปเล็กน้อย แล้วพยักหน้า “อืม สมบัติโบราณ”
สมบัติโบราณ ล้วนไม่อาจใส่เข้าไปในถุงเก็บวัตถุได้
หลังจากทำความสะอาดเสร็จ ก็ไม่เหลือเสื้อผ้าให้เขาใส่มากนัก มั่วชิงเฉินนึกถึงความปลอดภัยของคนอื่นๆ ก็ไม่สนใจสิ่งใดนัก ค้อมเอวลงแบกหลัวอวี้เฉิงขึ้นมา
หลัวอวี้เฉิงที่หมายจะพูดพลันหยุดชะงัก
“เจ้าหนักจริงๆ…” มั่วชิงเฉินเพิ่มความเร็วขึ้น อาศัยกำลังของตนเองแบกคนคนหนึ่งก็กินแรงแล้ว
“เช่นนั้นหรือ ยังดีที่เจ้ายังแบกไหว หากเปลี่ยนเป็นข้า เกรงว่าคงแบกเจ้าไม่ไหว” หลัวอวี้เฉิงหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก “ขอบคุณที่ชม เทียบกับพละพลังของข้า เจ้าย่อมด้อยกว่าอยู่แล้ว”
หลัวอวี้เฉิง…
สักพักก็เอ่ยขึ้นอีกหนึ่งประโยค “เทียบกับน้ำหนักแล้วก็เช่นกัน…”
มั่วชิงเฉิน…
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาหยอกล้อ แต่ก็ยังเกิดควาคิดที่จะโยนคนปากเสียผู้นี้ทิ้งไป
ทั้งสองเดินมาได้ระยะหนึ่ง ระหว่างนั้นได้ทำให้กลุ่มก้อนพลังปราณสลายหายไปสองสามกลุ่ม ก็ค่อยๆ พบความแตกต่าง
คาดไม่ถึงว่าพละกำลังของกลุ่มก้อนพลังปราณเหล่านี้จะมีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ อ่อนแอก็คือแค่โบกมือก็สลายหายไป แข็งแกร่งก็คือต้องออกแรงถีบไปสองสามครั้งถึงจะจัดการได้
เป็นเพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ในเมื่อเห็นมันมีรูปร่างหลากหลายคล้ายร้อยอสูร ก็ตั้งชื่อให้มันว่าอสูรลวงตาชั่วคราว
เดินมาได้สองสามวัน มั่วชิงเฉินก็ยิ่งเงียบขรึมขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่าหลัวอวี้เฉิงจะดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว แต่ก็ยังคงขยับตัวไม่สะดวก เพื่อไม่ให้เสียเวลา มั่วชิงเฉินจึงแบกเขาไป
“สหายมั่ว เจ้าเป็นห่วงลั่วหยางเจินจวินหรือ”
มั่วชิงเฉินไม่ได้ปฏิเสธ “อืม ศิษย์พี่เขาได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าบาดแผลจะไม่ร้ายแรง แต่หากมาตกอยู่ที่นี่ ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะจัดการอย่างไร ยังมีพี่สิบที่เพิ่งจะอยู่ในระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย แม้ว่าที่นี่จะไม่ต้องใช้พลังมาร อาศัยเพียงความแข็งแกร่งของกายเนื้อ นางก็สู้คนอื่นไม่ได้…”
เพราะว่าหลัวอวี้เฉิงได้รับบาดเจ็บหนัก สองสามวันมานี้แม้ว่านางจะรู้สึกทุกข์ใจ แต่กลับไม่ได้เอ่ยถึงเลยสักนิด
วันนี้หลัวอวี้เฉิงจึงเอ่ยถามขึ้นมาเอง ไม่อาจทนต่อไปได้
“หากเป็นลั่วหยางเจินจวิน ความจริงแล้วสหายมั่วไม่จำเป็นต้องกังวล”
มั่วชิงเฉินหยุดลง แล้วหันกลับมา “เหตุใดถึงพูดเช่นนั้น”
หลัวอวี้เฉิงฉีกยิ้ม “ลั่วหยางเจินจวินปราบวิญญาณอัคคีได้ไม่ใช่หรือ วิญญาณอัคคีเป็นวิญญาณฟ้าดินบริสุทธิ์ และไม่ถูกจำกัดไม่ให้ใช้พลังวิญญาณ มีวิญญาณอัคคีอยู่ ย่อมปกป้องลั่วหยางเจินจวินได้อย่างไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หยุดลงแล้วเอ่ยต่อว่า “ส่วนแม่นางมั่ว เจ้าก็ไม่ต้องกังวล สุดท้ายวินาทีที่ห้วงมิติปริแตกแล้วกลืนกินทุกคนลงไปนั้น ข้าเห็นอาชิงคว้ามือของนางเอาไว้ หากไม่เกิดเหตุไม่คาดฝัน พวกเขาน่าจะไปอยู่ในที่เดียวกัน แม้ว่าอาชิงจะไม่อาจใช้พลังปีศาจได้ แต่ในฐานะปีศาจบำเพ็ญเพียรนั้นก็มีร่างกายที่แข็งแกร่งโดยธรรมชาติ เกรงว่าผู้ที่ได้เปรียบที่สุดในที่นี่ก็น่าจะเป็นอาชิง”
มั่วชิงเฉินพลันเงียบขรึม
“อะไรหรือ” หลัวอวี้เฉิงฉีกยิ้มที่มุมปาก
แววตาดุจใบมีดส่งมา มั่วชิงเฉินกัดฟัน “สหายหลัว เหตุใดถึงไม่พูดตั้งแต่ก่อนหน้านี้!”
หลัวอวี้เฉิงกะพริบตาปริบๆ ด้วยใบหน้าไร้ความผิด แล้วเอ่ยอย่างจนปัญญา “เจ้าไม่ได้ถามมิใช่หรือ เจ้าไม่ถาม ข้าจะรู้ได้อย่างไร”
ขณะที่รีบเดินจนเหนื่อยล้า มั่วชิงเฉินก็สลัดหลัวอวี้เฉิงลงบนพื้นหญ้าแรงๆ แล้วเข้ามาประชิด “เจ้ามันชั่วร้าย เจ้ากล้าบอกว่าเจ้าไม่รู้หรือ”
หลัวอวี้เฉิงหัวเราะหึๆ ออกมา “สหายมั่ว อวี้เฉิงแค่รู้ ท่าทางของเจ้าจะทำให้คนเข้าใจผิด อวี้เฉิงไม่ดีตรงไหนกัน แถมยังยอมเชื่อฟังด้วย…”
มั่วชิงเฉินก้มหน้าลงมอง หลัวอวี้เฉิงนอนอยู่บนพื้นหญ้า ดวงตาสีดำขลับมองตรงไป แขนทั้งสองข้างของตนเองกดไหล่ของเขาเอาไว้ อยู่ห่างไปไม่ถึงหนึ่งฉื่อ
สิ่งสำคัญก็คือ กายท่อนบนของเขายังไม่ได้สวมเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว จึงมองเห็นทรวงอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเพราะการหัวเราะเบาๆ
ใบหน้าแดงก่ำ
สมควรตาย เหตุใดนางถึงลืมไปได้กันนะ!
รีบถอยออกไป กลับเห็นหลัวอวี้เฉิงยื่นมืออกมา คว้าเอวของนางเอาไว้แล้วพลิกขึ้นมาอยู่ด้านบน
ชั่วพริบตากลิ่นอายบุรุษที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยก็ห้อมล้อมนางเอาไว้ ร่างแห่งบุรุษเพศที่แข็งแกร่งกดทับร่างของเอาไว้ ชั่วพริบตาร่างกายของมั่วชิงเฉินก็แข็งทื่อ ปฏิกิริยาตอบโต้หมายจะผลักผู้ที่อยู่ด้านบนออก ฉับพลันนั้นก็ได้สติกลับคืนมาว่านี่ไม่ปกติ
เมื่อช้อนสายตามองไป ก็เห็นเจ้าปีศาจลั่วเฟิงกำลังชักมือกลับมา เลียคราบโลหิตบนนิ้วด้วยความละโมบ แล้วยื่นมือมาคว้าตัวหลัวอวี้เฉิงจากด้านหลังอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
มั่วชิงเฉินผลักหลัวอวี้เฉิงออก กระโจนออกไป เท้าขวาถีบไปที่เจ้าปีศาจลั่วเฟิงอย่างรวดเร็ว
เสียงอึกทึกดังขึ้น มือขวาของเจ้าปีศาจคว้าขาขวาของมั่วชิงเฉินเอาไว้ ทั้งสองคนมองฝ่ายตรงอย่างเย็นชา คนหนึ่งผลักคนหนึ่งต้าน ยามนั้นต่างฝ่ายไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน