พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 622 โอสถเซียนกลั่นจิต
มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงกินผลตัวเบาเข้าไปหลายปีแล้ว จึงเหาะเหินเดินอากาศได้ในแดนว่างเปล่าแห่งนี้ แต่แค่ดวงไม่ดี เพราะเจ้าปีศาจลั่วเฟิงเข้ามาก่อกวนจนทำให้ได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง จะให้อีกคนใช้ร่างกายอันอ่อนแอแบกอีกคนไว้ด้านหลังแล้วเหาะเหิน นั่นเป็นการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย จนกระทั่งถึงวันนี้ ถึงได้สามารถใช้พลังตัวเบาได้อย่างง่ายดาย
ทั้งสองบินขึ้นไปยังที่สูงอย่างช้าๆ ค่อยๆ สัมผัสกับเมฆหมอกที่คลี่ตัวลงมาด้านบน จากนั้นก็หยุดลงพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย
ม่านหมอกเหล่านี้เป็นรูปทรงปุยฝ้าย ลอยอยู่เป็นชั้นๆ ดูแล้วไม่มีความผิดปกติใดๆ แต่หลังจากที่ร่างกายสัมผัสโดนแล้วทั้งสองต่างรู้สึกพิเศษ
เมฆหมอกรูปปุยฝ้ายเหล่านี้ คาดไม่ถึงว่าจะสัมผัสได้ ดูเหมือนไม่ใช่ไอหมอกที่ว่างเปล่า แต่เป็นสสารเสมือนจริง
มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นมอง หมอกเป็นชั้นๆ ซ้อนทับกัน บดบังท้องฟ้าไปครึ่งผืน
หรือว่านี่คือสาเหตุที่ทั้งสองซึ่งหมดสติไปตกลงมาจากหน้าผาหมื่นจั้งแล้วไม่ร่างกายแตกละเอียด
ทั้งสองมองสบตากันแวบหนึ่ง ในแววตาล้วนเผยแววคาดเดาเช่นนี้ออกมา
แต่แค่แม้จะรู้สึกว่าเมฆนี้พิเศษ ทั้งสองก็ไม่ได้หยุดอยู่นาน บินขึ้นไปด้านบนต่อ
ไม่ได้หลบหลีกกลุ่มเมฆอย่างตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ กลับใช้ร่างกายทะลุผ่านไป และสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดนี้
บินมาได้พันจั้ง หมู่เมฆก็ค่อยๆ บางตาลง มองเห็นท้องฟ้าที่คุ้นตาได้
ฉับพลันนั้นหลัวอวี่พลันหยุดลง “ไม่ถูก หมอกเหล่านั้นมีปัญหา สหายมั่วพวกเราลงไปดูกันเถิด”
ห้าสิบกว่าปีผ่านไป ต่อให้ร้อนใจก็ไม่ต่างอะไรไปจากนี้ มั่วชิงเฉินพยักหน้า ทั้งสองกลับไปอีกครั้ง
หยุดอยู่ด้านล่างก้อนเมฆที่เป็นจุดเริ่มต้น หลัวอวี้เฉิงยื่นมือออกไปคว้าก้อนเมฆที่ลอยมา มองไปทางมั่วชิงเฉิน “สหายมั่ว เจ้ารู้สึกว่าเมฆด้านล่างแตกต่างกันเมฆด้านบนหรือไม่”
สายตาของมั่วชิงเฉินตกอยู่บนก้อนเมฆ เงียบขรึมชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “เป็นพลังต้าน เมฆด้านล่างแทบจะเสมือนจริง หากทะลุผ่านจะมีความรู้สึกว่าต้องออกแรง แต่ยิ่งขึ้นไปด้านบน ความรู้สึกก็ยิ่งเบาบางลง จนถึงด้านบนสุดของก้อนเมฆก็ไม่แตกต่างอะไรกับที่อื่นแล้ว”
หลัวอวี้เฉิงพยักหน้า “ไม่เลว สหายมั่ว สถานการณ์เช่นนี้เจ้าคิดถึงอะไร”
มั่วชิงเฉินหัวเราะ “คิดถึงว่าพวกเราผ่านความยากลำบากมาโดยไม่ตาย ก็ต้องขอบคุณมันแล้ว…”
สายตาประสานกับหลัวอวี้เฉิงอย่างมีเลศนัย หยุดชะงัก แววตาจ้องเขม็งไปชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “หรือว่า…เมฆกลุ่มนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ”
หลัวอวี้เฉิงหัวเราะออกมา “สหายมั่วคิดไม่ต่างอะไรกับอวี้เฉิง แต่จะกล่าวว่าเกิดขึ้นตามธรรมชาตินั้นก็ไม่แน่ใจนัก ความเป็นไปได้มากที่สุด ก็คือมีอะไรบางอย่างที่พิเศษอยู่ จนก่อให้เกิดเมฆผืนนี้”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ ทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก พลางตรวจสอบอย่างอดทน
ไม่นาน พลันรู้สึกว่ายิ่งลงไปด้านล่างก้อนเมฆมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าก้อนเมฆนั้นแข็งเสมือนจริงมากขึ้นเท่านั้น ท่ามกลางก้อนเมฆผืนนั้น หลัวอวี้เฉิงพลันหาเจอก้อนหนึ่ง
เมฆก้อนนี้แทบจะแข็งเสมือนจริงทั้งหมด กุมไว้ในมือได้โดยไม่สลายหายไป ราวกับกุมของจริงที่มีรูปร่างอยู่อย่างไรอย่างนั้น
หลัวอวี้เฉิงยกมือขึ้นสับลงไป เมฆก้อนนั้นไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
เขาเลิกคิ้ว พลางยกมือขึ้นสับลงไปอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อ สับลงไปอย่างต่อเนื่องสิบกว่าครั้ง หมู่เมฆถึงได้ไถลตัวออกไป
มั่วชิงเฉินมองโดยไม่ส่งเสียง ปากก็กระตุกรอยยิ้มออกมา
หลัวอวี้เฉิงมองนางแวบหนึ่งด้วยสีหน้าดำคล้ำ
มั่วชิงเฉินรีบหุบยิ้ม กระแอมไอแห้งๆ แล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ให้ข้าลองหน่อย”
จับเมฆนั้นเอาไว้แล้วสับมือลงไป ไถลออกจากมือดังคาด คลายพลังทั้งหมดลงกว่าครึ่ง
“สหายหลัว พวกเราลงไปกันเถิด”
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็ร่อนลงมาที่ก้นผา เอาก้อนเมฆวางไว้บนพื้น แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ยกเท้าขวาขึ้นถีบลงไปอย่างแรง
เสียงปริแตกดังขึ้นเบาๆ ชั่วพริบตานั้นก้อนเมฆพลันกลายเป็นไอสีขาวสลายหายไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แล้วผนึกรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว
ชั่วพริบตานั้นมั่วชิงเฉินพลันมองเห็นสถานการณ์ภายนอกของก้อนเมฆ รีบยื่นมือเข้าไปอย่างรวดเร็ว คว้าสิ่งที่อยู่ด้านในออกมา
เมื่อเจ้าสิ่งนั้นออกมา ไอเมฆที่เดิมผนึกรวมตัวกันอย่างรวดเร็วก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“นั่นคืออะไร” หลัวอวี้เฉิงขยับเข้ามาใกล้
มั่วชิงเฉินแบมือออก เป็นไข่มุกโปรงใสหลายเม็ด
หลัวอวี้เฉิงหยิบขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด
ไข่มุกนั้นโปร่งใส ด้านในว่างเปล่า มีของเหลวกึ่งโปร่งใสไม่ถึงครึ่ง จากนั้นไข่มุกพลันหมุนวน ค่อยๆ ไหลตามกระแสไป
หลัวอวี้เฉิงใช้นิ้วคีบเอาไว้ แล้วเอ่ยพึมพำว่า “จากว่างเปล่ากลายเป็นของจริง นี่คือ…”
ในหัวมีภาพตำราลับโบราณที่เคยอ่านเปล่งแสงสว่างวาบ สุดท้ายก็หยุดชะงักที่คัมภีร์สีดำ…คันฉ่องทองแดงสมบัติเทพสูงสุด
ฉับพลันนั้นพลันเงยหน้า สีหน้าที่เย็นชามาโดยตลอดพลันเปลี่ยนสี “สหายมั่ว พวกเราพบสมบัติแล้ว!”
“นี่คืออะไร” มั่วชิงเฉินรีบร้อนเอ่ยถาม
หลัวอวี้เฉิงค่อยๆ ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเยือกเย็น แล้วถึงได้เอ่ยปากว่า “สหายมั่วรู้ใช่หรือไม่ว่าเหตุใดผู้บำเพ็ญเพียรที่ยิ่งใหญ่ในยุคโบราณถึงมีอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน ยามนี้หากนำผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดไปไว้ในยุคนั้น ก็เป็นเพียงเด็กทารกที่เพิ่งจะย่างก้าวเข้าสู่หนทางแห่งการเป็นเซียนเท่านั้น”
“หรือว่าไม่ใช่เพราะสภาพแวดล้อมในการฝึกฝนเปลี่ยนแปลงไป ปราณวิญญาณฟ้าดินเบาบางลง สมบัติวิญญาณฟ้าดินจึงลดลงไปด้วย”
หลัวอวี้เฉิงมองไข่มุกโปร่งใสแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “นี่เป็นความคิดที่ถูกยอมรับโดยทั่วไป แน่นอนว่าก็ไม่ผิด แต่ต่อให้ปราณวิญญาณฟ้าดินจะเบาบางขนาดไหน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็มีอายุขัยสองพันปี การฝึกฝนอย่างช้าๆ นั้นเป็นการทำให้รากฐานมั่นคงขึ้น แต่เหตุใดผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากถึงหยุดอยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นปลายเล่า เกือบหมื่นปีแล้วที่ได้ยินว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตแค่คนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเซียวหยาง”
เห็นมั่วชิงเฉินแววตาเปล่งประกาย หลัวอวี้เฉิงก็ไม่ได้ทิ้งไว้ให้ร้อนใจ พลันเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “เป็นเพราะยามทารกปราณเข้าสู่ระดับถอดดวงจิตนั้น ขาดสมุนไพรเสริมที่สำคัญที่สุดไป…โอสถเซียนกลั่นจิต”
“โอสถเซียนกลั่นจิตหรือ” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว
หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ที่แท้สหายมั่วก็เคยได้ยินมาก่อน”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ยามว่างข้าเสียเวลาไปกับการปรุงยาและหมักสุรา เคยค้นหาคัมภีร์ลับในการปรุงยามาไม่น้อย และเคยอ่านเจอคำแนะนำง่ายๆ ของโอสถเซียนกลั่นจิตในคัมภีร์ม้วนหนึ่ง” ความจริงแล้วโอสถเซียนกลั่นจิตนั้น เป็นสิ่งที่กล่าวถึงในตำรามุกกลั่นทะเลแดงที่มั่วถงเขียนขึ้น
มุกกลั่นทะเลแดงนั้น บันทึกเคล็ดในการปรุงโอสถต่างๆ เอาไว้นับหมื่นชนิดรวมทั้งวิธีการเก็บเกี่ยววัตถุดิบที่สอดคล้องกัน ตอนนั้นนางพยายามจดจำแต่ก็จำเนื้อหาได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
โอสถที่จดจำได้มีอยู่หลายชนิด แต่ก็จำได้เพียงชื่อเรียกและประโยชน์ของมันเท่านั้น และที่ไม่ได้บันทึกสูตรยาและเคล็ดในการปรุงเอาไว้ หนึ่งในนั้นก็มีโอสถเซียนกลั่นจิตอยู่ด้วย
โอสถเซียนกลั่นจิตเป็นโอสถที่จำเป็นของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายในการพัฒนาไปสู่ระดับถอดดวงจิตในอดีตกาล กินแล้วจะช่วยให้จิตวิญญาณดั้งเดิมเปลี่ยนสภาพจากว่างเปล่าให้เป็นของจริง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จิตวิญญาณดั้งเดิมสามารถถอดออกมาจากร่างได้ตามความหมายของคำอย่างแท้จริง
เป็นเพราะจิตวิญญาณดั้งเดิมระดับถอดดวงจิตอยู่ระหว่างความว่างเปล่าและของจริง จึงสามารถสวมสมบัติป้องกัน และใช้สมบัติอาคมโจมตีได้
มั่วชิงเฉินจำได้ดี ด้านหลังบันทึกของโอสถเซียนกลั่นจิต มั่วถงได้เขียนคำว่า ‘ผิดหวัง ผิดหวัง ผิดหวัง’ เอาไว้สามครั้งเป็นการแสดงออกว่าเสียดายที่ไม่มีวิธีการปรุงยานี้
มั่วชิงเฉินเอ่ยสิ่งที่ตัวเองรู้เกี่ยวกับโอสถเซียนกลั่นจิตไปรอบหนึ่ง แล้วถึงได้เอ่ยว่า “น่าเสียดายวิธีการปรุงโอสถเซียนกลั่นจิตหายสาบสูญไปแล้ว จึงเป็นเพียงเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาในยุทธภพ เกรงว่าวัตถุดิบหลักในการปรุงยาก็คงหายสาบสูญไปแล้ว จะว่าไปแล้วผู้บำเพ็ญเพียรโบราณนั้นนับว่ามีสภาพแวดล้อมเป็นใจคอยอำนวยจริงๆ จะบรรลุสู่ระดับดวงจิตก็เพียงแค่ทานโอสถวิญญาณสมุนไพรสวรรค์ และยังมีการถ่ายทอดขั้นตอนในการพัฒนาระดับขั้นโดยเฉพาะอีก อัตราในการพัฒนาระดับถอดดวงจิต แน่นอนว่าย่อมเหนือกว่าตอนนี้”
เห็นหลัวอวี้เฉิงหัวเราะไม่พูดไม่จา ก็เอ่ยอย่างไม่แน่ใจ “สหายหลัว หรือว่าข้าพูดไม่ถูก”
หลัวอวี้เฉิงหัวเราะ “ส่วนใหญ่ก็พูดถูก แต่มีอยู่นิดหน่อยที่ไม่ถูก”
เห็นมั่วชิงเฉินส่งสายตาซักถามมา ก็เอ่ยอย่างราบเรียบ “วิธีการปรุงโอสถเซียนกลั่นจิต ข้ารู้!”
“อะไรนะ เจ้ารู้!” มั่วชิงเฉินพลันตกตะลึง
หลัวอวี้เฉิงล้วงถุงเก็บวัตถุออกมาตามความรู้สึก ถึงได้นึกออกว่าไม่อาจใช้ได้ จึงเอ่ย “น่าเสียดายไม่อาจนำบันทึกแผ่นหยกออกมาได้ ไม่เช่นนั้นจะเขียนวิธีปรุงยาให้เจ้าอ่าน”
มั่วชิงเฉินรีบผลักเขาให้คุกเข่าลง “ไม่ต้องใช้บันทึกแผ่นหยก เจ้าใช้มือเขียนบนพื้น เจ้าเขียนข้าจำ”
หลัวอวี้เฉิงหัวเราะก็ไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้ “สหายมั่ว ต่อให้เขียน เจ้าก็ไม่อาจเปิดเตาปรุงยาที่นี่ได้”
มั่วชิงเฉินกลับไม่มีท่าทีเยือกเย็นเหมือนปกติ รบเร้าอย่างต่อเนื่องว่า “ไม่อาจปรุงยาได้ก็ไม่ต้องรีบ เจ้ารีบเขียนสิ ข้าสนใจมาก ไม่ได้กล่าวกันว่าเช้าได้เข้าใจพรต เย็นก็ตายได้แล้วหรอกหรือ หากออกไปไม่ได้จริงๆ ต้องดับสูญอยู่ที่นี่ ได้รู้วิธีการปรุงโอสถเซียนกลั่นจิตข้าก็มีสิ่งปลอบใจแล้ว!”
หลัวอวี้เฉิงรู้สึกจนปัญญา ยื่นมือออกไปเขียนบนพื้นอย่างช้าๆ
มั่วชิงเฉินมองอย่างตั้งใจ พูดชื่อสมุนไพรที่เขียนขึ้นซ้ำๆ หากยามนี้ยังมีอยู่ก็มีสีหน้ายินดี หากเห็นชื่อที่ไม่รู้จักว่าคือสิ่งใด ก็จะขมวดคิ้วครุ่นคิด
สุดท้ายหลัวอวี้เฉิงก็เขียนเสร็จและรออยู่ด้านข้าง นางคุกเข่าลงครุ่นคิดสองวันถึงได้ได้สติกลับคืนมา
หลัวอวี้เฉิงหลับไปหนึ่งคืน จึงมีชีวิตชีวาขึ้นมา เห็นเช่นนั้นพลันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สหายมั่วคิดอย่างไร”
มั่วชิงเฉินล้วนมีสีหน้าไม่เลวจึงเอ่ยว่า “ที่แท้โอสถเซียนกลั่นจิตก็ปรุงขึ้นเช่นนี้นี่เอง ข้าศึกษามาสองวัน พบว่าสมุนไพรหลายชนิดในนั้นใช้สมุนไพรในปัจจุบันแทนกันได้ แต่น่าเสียดายที่สมุนไพรหลัก ยังไม่แน่ใจนัก ไม่รู้ว่าคืออะไร นับว่าน่าเสียดายแล้ว”
เมื่อได้ยินมั่วชิงเฉินเอ่ยชื่อของสมุนไพรทั้งสามชนิด หลัวอวี้เฉิงก็ชี้ไปที่แขนของนางพร้อมกับอมยิ้ม “สหายมั่ว สมุนไพรหลัก อยู่ในมือของเจ้า”
มั่วชิงเฉินพลันตกตะลึง แบมือออกมองไข่มุกโปร่งใส แล้วเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “นี่คือน้ำค้างเซียนหวนหรือ”
“ใช่แล้ว”
มั่วชิงเฉินใจเต้นตึกตัก จ้องเขม็งไปยังหลัวอวี้เฉิง “แล้วอีกสองอย่าง สหายหลัวรู้จักสิ่งนี้หรือไม่”
หลัวอวี้เฉิงเงียบขรึมไปเล็กน้อย เห็นมั่วชิงเฉินมองเขาโดยไม่คลาดสายตา ก็อดที่จะฉีกยิ้มไม่ได้ “สหายมั่ว หากอวี้เฉิงไม่รู้ เจ้าจะเสียใจมากหรือไม่”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างมั่นใจ “ขาดเพียงสมุนไพรสองชนิดที่ไม่รู้ แน่นอนว่าต้องเสียใจเป็นอย่างมาก”
เอ่ยไปพลางมองหลัวอวี้เฉิงแวบหนึ่ง “หากข้าเสียใจละก็ อารมณ์ก็คงไม่ดีมาก อารมณ์ไม่ดี ก็ชอบถีบคน”
หลัวอวี้เฉิง…
มองท่าทางใบ้กินของเขา มั่วชิงเฉินพลันลุกขึ้นยืนฉีกยิ้ม “ล้อเล่น เรื่องอัศจรรย์เช่นนี้ ได้พบก็นับว่าโชคดีแล้ว จะไปขอให้มากมายได้อย่างไร”
จากระดับจิตใจของนางในยามนี้ ก็พอจะเผชิญกับความเสียใจต่างๆ ได้อย่างสบายใจแล้ว
มนุษย์ยังมีชีวิตอยู่ หนทางแห่งเซียนแม้เชื่องช้า ก็ไม่มีอะไรให้เสียใจ แทนที่จะเสียใจว่าพลาดโอกาสไปต่อหน้าต่อตาแล้ว ไม่สู้เสียดายของทั้งหมด นี่อาจจะเป็นการสิ้นเปลืองอีกรูปแบบหนึ่ง
“เจ้า ‘พิทักษ์โฉม’ นี่น่ะ ก็คือหญ้าวิญญาณ ‘นิทราครึ่งเดือน’ ในยามนี้ ส่วนอีกอัน แม้ว่าผลสันติจะไม่ใช่ผลไม้วิญญาณที่ดำรงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ แต่เอกลักษณ์ของมันก็คือการกลมกลืน เป็นกลาง มีประสิทธิภาพในการปรับความสมดุล บางทีสหายมั่วน่าจะรู้ว่าสมุนไพรวิญญาณใดสามารถเอามาแทนได้ก็ไม่แน่” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของหลัวอวี้เฉิงส่งออกมาอย่างเชื่องช้า