พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 624 ต่อกรกับอสูรลวงตา
“เรื่องการตรวจสอบไอว่างเปล่าก็มอบให้ข้าก็แล้วกัน” มั่วชิงเฉินเอ่ยจบก็ไม่ล่าช้าอีก พลางบินขึ้นไปกลางอากาศ
เมื่อบินขึ้นไปกลางอากาศ ไอว่างเปล่าก็ค่อยๆ เข้มข้นขึ้น
ระมัดระวังอย่างเห็นได้ชัด มั่วชิงเฉินบินไปต่ออีกระยะหนึ่ง แต่ในตอนที่คิดจะบินลงมานั้น กลับถูกหมอกหนากลุ่มหนึ่งดึงดูดเข้าไป
เพราะเคยเผชิญเหตุการณ์ที่ก้นผามาก่อน ความประหลาดเช่นนี้ย่อมไม่อาจปล่อยไปได้
เมื่อแหวกหมอกออกเป็นชั้นๆ มั่วชิงเฉินพลันมองสบตากับอีกตาคู่หนึ่ง
ดวงตาคู่นี้ขุ่นมัว สามารถบอกได้ว่าดวงตานี้ดูไม่แน่ชัด แค่มีโครงร่างคร่าวๆ เท่านั้น เหมือนกับดวงตาของอสูรในภาพวาดน้ำหมึก ทว่าใหญ่กว่า
เมฆหมอกสร้างภาพลวงตาต่างๆ ได้ เกิดทัศนียภาพเช่นนี้ก็ไม่แปลก มั่วชิงเฉินกะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเอง “ดีอยู่แท้ๆ จะตาฝาดได้อย่างไร”
เอ่ยไปพลางหมุนตัวอย่างช้าๆ
ในพริบตาที่นางหมุนตัว ดวงตาสองข้างนั้นก็กะพริบ เผยปากกว้างๆ ออกมา
ปากกว้างๆ ยังไม่ทันได้ฉีกไปถึงมุมปาก ฉับพลันนั้นพายุที่แหลมคมดุจใบมีดก็โจมตีมา เท้าข้างหนึ่งเตะไปที่ดวงตายักษ์ข้างหนึ่ง
เสียงลมพัดดังมา ในหมอกมีอสูรยักษ์ตัวหนึ่งกระโจนออก
อสูรยักษ์ตัวนี้ก็คืออสูรลวงตาที่เพิ่งหนีไปได้ไม่นาน ร่างของมันใหญ่ยักษ์ ร่างกายดูเหมือนจะไม่ใช่ของจริง และยังค่อยๆ เปลี่ยนรูปไปอย่างช้าๆ หากแอบอยู่ในม่านหมอก ก็หาตัวได้ยาก
ยามนี้มั่วชิงเฉินกลับมองเห็นหน้าตาโหดเหี้ยมของมันจากความว่างเปล่าที่ยากจะแยกแยะ
รู้ว่าอาศัยเพียงแรงของตนก็ยากจะต้านทานกับมัน หลังจากถีบไปครั้งหนึ่งก็บินลงมาด้านล่างทันที ผู้ใดจะคิดว่าอสูรลวงตาจะมาขวางนางเอาไว้ในชั่วพริบตา
มั่วชิงเฉินค่อยๆ ถอยไปอย่างช้าๆ อสูรลวงตาไล่ตามมาติดๆ
ทั้งสามคนที่อยู่บนพื้นเห็นเช่นนั้นพลันตกตะลึง
เยี่ยเทียนหยวนชูมือขึ้น วิญญาณอัคคีพุ่งขึ้นไปดุจดาวตก
หลัวอวี้เฉิงแตะปลายเท้า มือถือแส้เถาวัลย์พลางบินขึ้นไป
“สหายหลัว พาข้าไปด้วย!” แม้ว่ามั่วเฟยเยียนจะมีเสียงเย็นชา แต่กลับเผยท่าทีร้อนใจออกมาหลายส่วน
การจัดการต่างๆ ของมั่วเฟยเยียนน่าพึ่งพาอาศัยได้มาโดยตลอด หลัวอวี้เฉิงเองก็ไม่ถามให้มากความ สะบัดแส้ยาว ม้วนข้อมือของนาง ออกแรงเล็กน้อยยกนางขึ้นมา
อสูรลวงตามีสีหน้าดุร้าย ดูเหมือนว่ากำลังจับจ้องเหยื่อพร้อมกับน้ำลายสออย่างไรอย่างนั้น
มั่วชิงเฉินมีสีหน้าประหลาดใจ อสูรลวงตาที่พบในตอนแรกที่เข้ามาในแดนว่างเปล่า ล้วนไม่มีความรู้สึกใดๆ แค่เป็นไอสีขาวกลุ่มหนึ่ง อาศัยฝีมือที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ ส่วนอสูรลวงตาตัวนี้ กลับยิ่งเหมือนกับอสูรปีศาจที่แท้จริงมากขึ้นเรื่อยๆ
เสียงกึกๆ ดังขึ้น จมูกของอสูรลวงตาพ่นไอสีขาวออกมาหลายสาย ไอสีขาวรวมตัวกันเป็นแขนขาทั้งสี่ถีบเข้ามา
มั่วชิงเฉินยกเท้าข้างหนึ่งถีบออกไป ร่อนลงมาบนร่างของอสูรลวงตา ครั้งนี้มันไม่ได้ถอยออกไป กลับปล่อยให้เท้าจมเข้าไปในร่าง จากนั้นก็ใช้ไอสีขาวหนาๆ ล้อมรอบมันเอาไว้
มั่วชิงเฉินพบว่าเท้าขวาดึงไม่ออกในทันที เมื่อออกแรงก็จะมีสายหมอกยาวยืดออกมาจากในร่างของอสูรลวงตา เท้ากลับติดอยู่ในร่างของมันแน่น
อสูรลวงตากระโจนเข้ามา ชั่วพริบตาที่เข้าประชิดนั้นมั่วชิงเฉินได้ยินแม้แต่กระทั่งเสียงมันกลืนน้ำลาย
เจ้านี่กินคนหรือ
ระหว่างที่สงสัย มั่วชิงเฉินก็เข้าใจว่าไม่อาจปล่อยให้มันโดนจุดอื่นๆ ในร่างอีก พลันเบี่ยงกายไปด้านหลังแล้วพลิกตัว อาศัยพลังที่แข็งแกร่งของขาขวาเตะอสูรลวงตาจนกลิ้ง
บางครั้งก็ยากจะตัดสินว่านี่ได้เปรียบหรือไม่
หากเป็นอสูรลวงตาปกติ กระบวนท่านี้ของมั่วชิงเฉินย่อมใช้การไม่ได้ เดิมอสูรลวงตาก็เป็นไอหมอกที่รวมตัวเข้าด้วยกัน จึงสามารถแผ่ไอหมอกมาล้อมรอบนางเอาไว้ได้ แต่แค่พลังของอสูรลวงตาตัวนี้แข็งแกร่งมาก ร่างกายเริ่มแข็งตัว กลับมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไม่ต้องขบคิด
มั่วชิงเฉินไม่กล้าหยุดชะงักแม้เพียงครู่ พลิกตัวกลางอากาศไปมาไม่หยุด กลัวว่ามันมีโอกาสได้หายใจแล้วจะใช้ร่างกายที่ว่างเปล่ามาล้อมรอบตนเอาไว้
อสูรหล่องหนกลิ้งตัวตามไปมาหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้สติกลับคืนมา ร่างกายเริ่มค่อยๆ แผ่ขยายตัวออก
ตอนที่มันแผ่ขยายตัว พลังที่รัดขาของมั่วชิงเฉินก็อ่อนแอลง มั่วชิงเฉินออกแรงถีบอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็ชักเท้าขึ้นมา สลัดอสูรลวงตาออกไป
ในเวลาเดียวกันนั้น วิญญาณอัคคีก็มาถึง เห็นอสูรลวงตาบินมาก็อ้าปากออก
เสียง พรึ่บ ดังออกมา ก้นของอสูรลวงตาติดไฟ ดิ้นรนไปมาอยู่กลางอากาศ
วิญญาณอัคคียังคงเป็นร่างวิญญาณเบญจธาตุ เพลิงบริสุทธิ์ที่สุด สมบัติในโลกมนุษย์ต้านทานได้น้อยมาก แม้ว่าอสูรลวงตาจะพิเศษ แต่เมื่อเผชิญหน้าก็จะเคลื่อนย้ายไอว่างเปล่าขนาดใหญ่ไปทำลาย
วิญญาณอัคคีหวาดกลัวไอล่องหนของอสูรลวงตา ไม่กล้าต้านทานตรงๆ แค่อาศัยร่างกายที่ว่องไวบินวนเวียนอยู่ที่แผ่นหลังของมัน
อสูรลวงตากวาดกลัววิญญาณอัคคีเช่นกัน ก้นถูกกัดไปคำหนึ่ง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้วิญญาณอัคคีที่อยู่ด้านหลังลงมืออีก ลูกไฟที่กระโดดไปมาอยู่ในเวลาเดียวกันหมุนตัวไม่หยุด พลางต่อกรกับวิญญาณอัคคี
มั่วชิงเฉินไม่เกรงใจเลยสักนิด ถือโอกาสที่อสูรลวงตาและวิญญาณอัคคีต่อสู้กัน ชักเท้าเย็นเยียบออกมา ครั้งนี้นางเองก็เรียนรู้แล้ว ต้องถีบออกไปแล้วดึงขากลับมาในทันที
อสูรลวงตาถูกมั่วชิงเฉินถีบจนระเบิด ระหว่างที่กำลังโกรธเกรี้ยวก็เอียงศีรษะพ่นไอใส่มั่วชิงเฉินครั้งหนึ่ง
น่าเสียดายที่ลืมวิญญาณอัคคีด้านหลัง มันกัดไปที่ก้นขาวๆ ที่สร้างขึ้นจากหมู่เมฆอย่างแม่นยำ
อสูรลวงตาพ่นลมหายใจกวาดไปทางมั่วชิงเฉิน ชั่วขณะนั้นนางพลันรู้สึกเวียนหัว ร่างกายโอนเอนไปมา
มือข้างหนึ่งคว้านางเอาไว้แน่น แล้วเอียงศีรษะมอง เป็นหลัวอวี้เฉิงและมั่วเฟยเยียนสองคน
“สหายหลัว จับข้าไว้!” มั่วเฟยเยียนแค่นเสียงด้วยความเย็นชา หว่างคิ้วมีไอสีขาวสายหนึ่งบินออกมา จมหายเข้าไปในดวงตาข้างหนึ่งของอสูรลวงตา
ไอสีขาวพุ่งออกมา มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงล้วนรู้สึกเย็นเยียบ
ความเย็นเยียบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากเคล็ดวิชาธาตุน้ำแข็งหรือสมบัติอาคม ที่ทำให้ร่างกายหนาวจนแข็งทื่อ แต่ราวกับว่าไอเย็นนี้ส่งมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ความหนาวเย็นเช่นนี้ ไม่อาจหลบหลีกได้ จิตวิญญาณดั้งเดิมเป็นที่จะต้องรับภาระนี้เอาไว้
ช่วงหลายปีที่ผ่านมามั่วเฟยเยียนใช้ไอสีขาวกลุ่มนั้นต้านทานกับศัตรู เพราะการก่อกวนของเจ้าปีศาจลั่วเฟิง นี่ถึงจะนับเป็นครั้งแรกที่มันเข้าไปในดวงตาของอสูรลวงตา
คิดไม่ถึงว่าพลังสังหารจะน่าตกตะลึง ได้ยินเพียงอสูรลวงตาร้องคร่ำครวญ หัวทั้งหัวก็จะกลายเป็นน้ำแข็ง เคลื่อนไหวเชื่องช้าทันที
การเคลื่อนไหวของมันเชื่องช้ามาก วิญญาณอัคคีก็ถือโอกาสนี้ทันที ครั้งนี้เองก็ไม่กัดก้น ร่างเปลวเพลิงเล็กๆ พุ่งไปทางร่างใหญ่ยักษ์ของอสูรลวงตา ไม่นานก็ติดไฟจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นก็พัดไอความร้อนมา ร่างของอสูรลวงตากลายเป็นไฟลุกโหมทันที
หัวของอสูรลวงตาเย็นเยียบแต่ตัวร้อนฉ่า ความรู้สึกสุดขั้วนี้ทำให้มันไม่สนใจการโจมตี แต่พยายามกระโดดไปมา
หลังจากที่มั่วเฟยเยียนโจมตีสุดกำลัง ก็ไม่อาจพ่นไอสีขาวออกมาได้อีก สีหน้าดูแล้วอ่อนแอเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินส่งสัญญาณให้หลัวอวี้เฉิงดูแลมั่วเฟยเยียน ส่วนนางขึ้นไปอย่างเงียบๆ แล้วถีบไปที่หัวของอสูรลวงตาที่กลายเป็นน้ำแข็งอย่างแรง
เสียงปังดังขึ้น เกล็ดน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนแตกกระเซ็นออก หัวของอสูรลวงตาถูกถีบจนเป็นผุยผง
ในหัวมีของขนาดเท่ากำปั้นบินออกมา
มั่วชิงเฉินบินขึ้นมาคิดจะจับสิ่งนั้นเอาไว้ กลับเห็นว่าเบื้องหน้ามีเงาร่างคนสว่างวาบ คว้าสิ่งนั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“เจ้าปีศาจ!” มั่วชิงเฉินพลันตกตะลึง ถึงได้รู้ว่าที่นี่เจ้าปีศาจก็บินได้เช่นกัน
เจ้าปีศาจคว้าสิ่งนั้นเอาไว้ เหลือบมองมั่วชิงเฉินอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีเจตนาจะต่อสู้ สลายหายไปยังจุดที่ไกลออกไปภายในพริบตา ความเร็วของมัน เหนือกว่ามั่วชิงเฉินมาก
ร่างของอสูรลวงตายังติดไฟ ราวกับเมฆเพลิงกลุ่มหนึ่งปลิวไปมากลางอากาศ
มั่วชิงเฉินและพวกทั้งสามคนร่อนลงมา
“ศิษย์หญิง!” เยี่ยเทียนหยวนคว้าแขนของมั่วชิงเฉินเอาไว้
มั่วชิงเฉินสั่นศีรษะแล้วฉีกยิ้มเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไร โชคดีที่มีวิญญาณอัคคีของศิษย์พี่และยังมีพี่เก้าคอยช่วยเหลือ ในที่สุดก็จัดการอสูรลวงตาตัวนั้นได้”
หลัวอวี้เฉิงแค่นเสียงหึออกมา
มั่วชิงเฉินรีบร้อนเข้ามาสำทับ “แน่นอนว่ายังมีสหายหลัว ที่พาพี่เก้ามาได้ทัน”
หลัวอวี้เฉิงมุมปากกระตุก นี่ไม่พูดยังดีกว่า ถึงกับกล้าเห็นว่าเขาเป็นเพียงเครื่องขนย้ายเครื่องหนึ่ง!
มั่วชิงเฉินเข้าใจแล้ว เอ่ยถามเรื่องที่ตนเองสนใจทันที “พี่เก้า ไอสีขาวสายนั้นของท่านมันคืออะไร ที่นี่ไม่ใช่ว่าไม่อาจใช้พลังใดๆ ได้หรือ”
ในจุดนี้มั่วเฟยเยียนไม่ได้ปิดบังใดๆ เอ่ยไปตรงๆ ว่า “หนทางที่ข้าฝึกฝน คือไร้ความรู้สึก ปกติแล้วต้องเอาความรู้สึกที่ไม่จำเป็นออกมานอกร่างกาย หลังจากมายังที่แห่งนี้ ไม่อาจใช้พลังวิญญาณได้ ทำได้เพียงคอยสะสมความรู้สึกต่างๆ รวมถึงไอล่องหนจากการต่อสู้เอาไว้ในร่าง ยากลำบากยิ่งนัก อีกทั้งหลังจากสะสมเอาไว้อย่างเต็มที่ หากวันใดระเบิดออกมา ก็จะทรมานไปสามวันสามคืน และในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าต้องใช้จิตวิญญาณดั้งเดิมในการหลอมไอล่องหนเหล่านั้น หลังจากหลอมแล้วก็สามารถยิงไอหนาวเย็นนั่นออกมาจากหว่างคิ้วได้ สามารถทำร้ายอสูรลวงตาได้ ก็นับว่าไม่เป็นภาระของลั่วหยางเจินจวิน”
พอพูดถึงเรื่องฝึกวิชา มั่วเฟยเยียนก็เปลี่ยนจากคนพูดน้อยในวันธรรมดา เป็นคนเจื้อยแจ้วอย่างไม่ขาดสาย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” มั่วชิงเฉินได้ยินก็รู้สึกยินดีในวาสนาของมั่วเฟยเยียน
“พวกเจ้าว่า เจ้าปีศาจแย่งชิงอะไรไปนะ” หลัวอวี้เฉิงพลันเอ่ยถาม
หลายปีที่ผ่านมาเยี่ยเทียนหยวนและเจ้าปีศาจประมือกันหลายครั้ง จึงขบคิดแล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าพวกเราหรือว่าเจ้าปีศาจ ลำพังไม่อาจต่อกรกับอสูรลวงตาได้ ทุกครั้งที่อสูรลวงตาปรากฏตัวเจ้าปีศาจก็จะปรากฏตัว คิดดูแล้วคงกลัวว่าพวกเราจะถูกอสูรลวงตาสังหาร เขาคนเดียวก็ทำอะไรไม่ได้ เจ้าปีศาจก็แย่งของไป…”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ก็ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วถึงได้เอ่ยว่า “ตั้งแต่ที่อสูรลวงตานั่นปรากฏตัว อสูรลวงตาตัวอื่นๆ ก็ค่อยๆ หายสาบสูญไป มันแสร้งทำเป็นหมอกสีขาวกลุ่มหนึ่งลอยตามพวกเรามาตลอด ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็เหมือนกับกำลังต้องการที่จะมีกายเนื้อ และกลายเป็นวิญญาณมีชีวิตที่แท้จริง ว่ากันตามปกติ ในมิติพิเศษจะมีปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดวิญญาณธรรมชาติขึ้น หากมันได้กายเนื้อของพวกเราไป ก็อาจจะพัฒนาระดับได้ กลายเป็นเจ้าแห่งแดนว่างเปล่า ในทางกลับกัน…”
“ในทางกลับกัน แดนว่างเปล่านี้มีปัจจัยแค่อย่างเดียว นั่นคืออสูรลวงตา เช่นนั้นในร่างมันอาจจะมีของที่ทำลายแดนว่างเปล่าได้!” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยต่อ
เยี่ยเทียนหยวนมองหลัวอวี้เฉิง “เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ทั้งสองประสานสายตากัน คาดไม่ถึงว่าจะมีความชื่นชมอยู่หลายส่วน
มั่วชิงเฉินกระแอมไอเบาๆ “ทั้งสองท่าน เลิกจ้องตากันได้แล้ว ข้ารู้เพียงว่า ของสิ่งนั้นถูกเจ้าปีศาจแย่งไปแล้ว…”
เยี่ยเทียนหยวนและหลัวอวี้เฉิงเงียบขรึมไปพร้อมกัน
กลับเป็นหลัวอวี้เฉิงที่ทนไม่ไหวเอ่ยว่า “สหายมั่ว พวกเราคาดเดาบทสรุปที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ ยามนี้เจ้าหยุดพูดเรื่องน่ากลัวได้หรือไม่”
มั่วชิงเฉิน…
ยามนี้มั่วเฟยเยียนพลันยกมือขึ้น “พวกเจ้าดูสิ!”
หลายคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน มองเห็นเพลิงเมฆาหดตัวลงจนกลายเป็นลูกไฟร่อนลงมา วิญญาณอัคคีด้านล่างอ้าปากออก กลืนลูกไฟเข้าไปในท้อง จากนั้นก็ร่อนลงมาตรงใจกลางฝ่ามือของเยี่ยเทียนหยวนอย่างยินดี
เยี่ยเทียนหยวนพลันหัวเราะออกมาเบาๆ หมายจะดูดวิญญาณอัคคีเข้าไปในร่าง
วิญญาณอัคคีกลับสั่นศีรษะ ร่างกายลอยขึ้น ขยับไปมา จากนั้นก็อ้าปากออก พ่นของสิ่งหนึ่งออกมา