พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 630 ความเข้าใจผิดที่แปลกประหลาด
ชั่วพริบตาที่เหยียบย่างเข้ามาในจงหลาง มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกเพียงว่าภาพร่างเลือนรางในหัวสลายหายไป เหลือเพียงความท้อถอยจนต้องลอบถอนใจอยู่ในใจ แต่ไม่นานความรู้นั้นก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
นางรู้ว่า ความคิดสุดท้ายของฝูเฟิงเจินจวิน ก็คือสลายหายไปตลอดกาล
เมื่อมองสภาพแวดล้อมโดยรอบ มั่วชิงเฉินพลันอึ้งงัน
จงหลาง ไม่ว่าจะเป็นจากที่ได้สัมผัสผ่านฝูเฟิงเจินจวินในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อปีนั้น หรือว่าจะเป็นตอนที่ได้เห็นผ่านคันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์ เหตุการณ์ซึ่งเวินหนิงถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตเข้ามาพัวพันในยาม กระทั่งตอนที่เคลื่อนย้ายผ่านค่ายกลส่งตัวระยะไกลมาอยู่ในเกาะอี่เซ่อโดยไม่ได้ตั้งใจ ความรู้สึกที่นางสัมผัสได้นั้นล้วนคิดว่ามันน่าจะต้องเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้บำเพ็ญเพียรที่มีระดับเหนือกว่าทวีปแห่งเทพเป็นแน่
แดนศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ จำนวนของผู้บำเพ็ญเพียรจะต้องมากมายเป็นแน่
ทว่าเมื่อมองออกไป ผู้คนสัญจรในเมืองกลับมีอยู่หร็อมแหร็ม ประตูร้านค้าทั้งสองฝั่งปิดสนิท เเหลือเพียงธงปลิวไสวตามสายลม เผยความรู้สึกอ้างว้างออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
“ศิษย์น้อง ที่นี่ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาเล็กน้อย ระวังหน่อย” เยี่ยเทียนหยวนจูงมือมั่วชิงเฉิน ทั้งสองเดินเคียงไหล่กันไป
มั่วชิงเฉินครุ่นคิด เรียกผึ้งวิญญาณเลือดมรกตขนาดค่อนข้างเล็กออกมาสิบกว่าตัว แล้วส่งพวกมันไปตรวจสอบ
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตก็ทยอยกันกลับมา ส่งเสียง หึ่งๆ อยู่ข้างหูนาง
มั่วชิงเฉินมีสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม หันหน้าไปเอ่ยกับเยี่ยเทียนหยวนว่า “ศิษย์พี่ เมืองแห่งนี้ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงอยู่เลย และยิ่งไปกว่านั้นที่อยู่อาศัยกว่าครึ่งล้วนว่างเปล่า พวกเราไปเมืองอื่นกันเถิด”
ทั้งสองออกจากเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในจงหลาง แล้วบินไปต่อ ร่อนลงที่เมืองอีกสองสามแห่งติดต่อกัน สภาพก็ไม่ต่างจากเมืองแรก
เมื่อพิจารณาประกอบกับสายตาแปลกประหลาดของผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนหนึ่งที่ใช้ค่ายกลส่งตัวมาเหล่านั้น ทั้งสองก็แทบจะมั่นใจได้ว่าจงหลางเกิดปัญหาแล้ว
“ศิษย์น้อง เจ้าว่าจงหลางจะเหมือนกับแผ่นดินใหญ่เทียนหยวนในอดีตหรือไม่ อย่างเกิดวิกฤตคลื่นอสูรหรือไม่ก็สงครามพรตมาร”
ขณะบินอยู่กลางอากาศ ทั้งสองก็ปรึกษากันถึงความผิดปกติของจงหลาง
“ก็ไม่แน่ ศิษย์พี่ ไปถึงเมืองต่อไป พวกเราก็จับผู้บำเพ็ญเพียรสักคนมาถามเถิด”
เมื่อได้พบกับสถานการณ์แปลกประหลาดจึงจำต้องเพิ่มความระมัดระวังในสถานที่อันไม่คุ้นเคยนี้ ทั้งสองพลันเพิ่มความเร็วการบินขึ้น
ฉับพลันนั้นปราณวิญญาณแข็งแกร่งพลันโหมเข้ามาหา ผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มหนึ่งราวกับว่าปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศอย่างไรอย่างนั้น ต่างก็กรูกันเข้ามาหาทั้งสองด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด
ฝ่ามือของเยี่ยเทียนหยวนเปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ เรียกวิญญาณอัคคีออกมา มองผู้ที่มาพร้อมกับมั่วชิงเฉินด้วยสายตาเย็นชา
ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนี้ผู้ที่มีพลังยุทธ์ต่ำที่สุดก็อยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นต้น ผู้นำเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย ชั่วพริบตาก็เข้ามาใกล้ สีหน้าไม่เป็นมิตร
พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองไม่ทันได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้ที่เป็นผู้นำก็โบกมือคราหนึ่ง แล้วตรงเข้ามาล้อมเอาไว้
อัจฉริยะพบกับศัตรู มีเหตุผลก็ไม่ต้องอธิบาย ในยามนี้ยังคงเป็นกำปั้นที่แข็งที่สุด มั่วชิงเฉินยกเท้าขึ้นถีบไปที่หน้าอกผู้บำเพ็ญเพียรที่พุ่งเข้ามาทีหนึ่ง
จากนั้นเสียงร้องอันน่าเวทนาก็ดังขึ้นจนลอยไกลออกไป ทุกคนเห็นเป็นเพียงเงาสีดำสายหนึ่งร้องคร่ำครวญเท่านั้น
ชั่วพริบตานั้น ผู้ที่เข้ามาล้อมก็มีสีหน้าตกตะลึง
ถึงอย่างไรเสียบุรุษผู้บำเพ็ญเพียรตัวใหญ่ยักษ์ ถูกสตรีผู้บำเพ็ญเพียรร่างกายอรชนอ้อนแอ้นถีบจนกระเด็น สถานการณ์เช่นนั้นช่างแปลกประหลาดนัก
วิญญาณอัคคีปรากฏตัวขึ้นตั้งนานแล้ว บินไปบินมาท่ามกลางฝูงชน แทบจะไม่เข้าใกล้ สมบัติวิเศษป้องกันของผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ถูกหลอมละลาย
ของเหลวสีทองร้อนระอุหยดลงมา เสียงกรีดร้องดังขึ้นเช่นกัน
มั่วชิงเฉินหยิบก้อนอิฐออกมา เคลื่อนย้ายอย่างต่อเนื่อง ลงมือตีผู้ที่มีพลังยุทธ์ต่ำจนเป็นลมอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแต่ละคนราวกับก้อนขนมเกี๊ยวอย่างไรอย่างนั้น ต่างตกลงไปจากท้องฟ้า ชั่วพริบตาก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายสามคนที่ยังคงยืนอยู่
สมบัติวิเศษโจมตีของทั้งสามคนเข้ามาอยู่ตรงหน้าแล้ว
เยี่ยเทียนหยวนยกมือขึ้น วิญญาณอัคคีพุ่งไปหาสมบัติวิเศษโจมตีที่มีอานุภาพมากที่สุด
สัมผัสได้ถึงอานุภาพของวิญญาณอัคคี ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายผู้นี้รีบเบี่ยงสมบัติวิเศษโจมตีไปด้านข้าง ร่างก็กระโจนเข้าไปต่อกรกับเยี่ยเทียนหยวน
เยี่ยเทียนหยวนยกดาบยาวที่มีเปลวไฟลุกท่วมปะทะกับอีกฝ่าย วิญญาณอัคคีพัวพันอีกคน ดึงความสนใจของอีกฝ่ายไป ทันใดนั้นก็กลายเป็นการต่อสู้แบบหนึ่งต่อสอง
มั่วชิงเฉินรู้ว่าเยี่ยเทียนหยวนคิดแทนนาง จึงไม่ได้เอ่ยอะไร กลับชูกระบี่ชิงมู่ขึ้นแล้วพัวพันกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายคนสุดท้าย
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายผู้นี้มีใบหน้าเหลืองเหมือนเทียนไข สมบัติวิเศษโจมตีก็คือแส้ยาวสีทองสายหนึ่ง
แส้ยาวโบกสะบัดไปมาราวกับอสรพิษ นำพากระแสปราณคมกริบราวใบมีดคมหมุนวนเข้ามาอย่างรวดเร็ว เสียงพุ่งแหวกอากาศนั้นทำให้ผู้ที่ได้ยินตกตะลึง
มั่วชิงเฉินมีสีหน้าเคร่งขรึมดุจสายธาร กระบี่ชิงมู่ที่ดูเหมือนกำลังเริงระบำอย่างเชื่องช้า เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นพันครั้งในทุกกระบวนท่า เปี่ยมไปด้วยความเคร่งขรึมและโบราณ แตกต่างกับรูปร่างอ้อนแอ้นของนางเป็นอย่างมาก
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายที่เผชิญหน้าด้วยพลันตกตะลึงในใจ ไม่รู้ว่าสตรีผู้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร กระบวนท่ากระบี่ที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษและกระบี่ชิงมู่ที่ดูธรรมดาสามัญที่สุดเช่นนี้ เมื่อสำแดงออกมากลับทำให้เขาสัมผัสได้ถึงแรงเกี่ยวรัดอันไร้รูปร่าง สมบัติวิเศษแส้ทองคำคาดถึงว่าจะถูกบีบจนต้องล่าถอยออกไปอย่างต่อเนื่อง
ผู้บำเพ็ญเพียรที่โดนก้อนอิฐตีจนร่วงไป ต่างก็บินขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง
ครั้งนี้ ล้วนโถมเข้ามาอย่างดุดัน ต่างก็ใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด
มั่วชิงเฉินเห็นเยี่ยเทียนหยวนต่อกรกับศัตรูสองคน แน่นอนว่าไม่อยากให้เขาเสียสมาธิอีก เห็นผู้บำเพ็ญเพียรเข้ามาก่อกวน ก็ชูมือขึ้นกลางอากาศ ธนูเขียวซ่อนเร้นพลันปรากฏขึ้น นางก้มหน้าลงดึงสายธนู ลูกธนูขนนกสีฟ้าน้ำแข็งบินออกไปราวกับดาวตก ส่วนกระบี่ชิงมู่ที่มือขวา ก็ไม่หยุดพัวพันกับอีกฝ่ายเลยสักนิด
ลูกศรน้ำแข็งยะเยือกกระทบไหลของผู้มาเยือน เย็นเยียบจนถึงกระดูก คนผู้นั้นแค่นเสียงด้วยความกลัดกลุ้มแล้วล้มลงไป
จากนั้นมั่วชิงเฉินก็ดึงสายธนูอีกครั้ง ศรแหลมคมพุ่งแหวกอากาศออกไปเกิดเป็นลำแสงสีทองสายหนึ่ง ยิงใส่ผู้บำเพ็ญเพียรคนที่สอง
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายฝั่งตรงข้ามมีสีหน้าหม่นหมอง รู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ไม่สนใจสิ่งใดอีก ร้องตะโกนออกมา แส้ทองคำโบกสะบัด ลำแสงสีทองปรากฏขึ้นกลางอากาศ ปกคลุมลงมาหามั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินยกมือขึ้นเรียกไฟสะท้อนหทัยออกมา
ลำแสงสีเขียวมรกตขมุกขมัว เปล่งแสงเจิดจ้า ชั่วขณะนั้นวงลำแสงสีทองทั่วท้องฟ้าก็ถูกกักเอาไว้กลางอากาศที่ไร้รูปร่าง แล้วเมฆหมอกก็สลายหายไปทันที
“สมบัติอาณาเขตหรือ” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายหน้าเปลี่ยนสี ล้วงสิ่งหนึ่งออกมาจากอ้อมอกอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด แล้วร้องตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “ทำลาย!”
แสงสีแดงเจิดจ้า มีดยักษ์เล่มหนึ่งผ่าไฟสะท้อนหทัยที่ไร้รูปร่างกลางอากาศ
ยามที่มั่วชิงเฉินเก็บไฟสะท้อนหทัยกลับมา ก็มองเห็นสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย ชั่วขณะนั้นก็เข้าใจว่าสมบัติที่ทำลายไฟสะท้อนหทัยไปเมื่อครู่เป็นสมบัติวิเศษที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว
ยามนี้พลันฉีกยิ้มอย่างเย็นชา ก้อนอิฐบินขึ้นมาอีกครั้ง แล้วขยายใหญ่ขึ้นทุบไปที่อีกฝ่าย
ก้อนอิฐแหวกฟ้าในยามนี้ นางใช้พลังที่บริสุทธิ์กระตุ้น อานุภาพจึงมากกว่าในอดีตไม่ต่ำกว่าเท่าหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายไม่กล้ารับมือตรงๆ สำแดงสมบัติวิเศษป้องกันออกมาต้านทาน แส้ยาวกลายเป็นอสรพิษพุ่งไปหามั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินเก็บกระบี่ชิงมู่ สะบัดแขนเสื้อสำแดงอิทธิฤทธิ์ ‘คืนโฉม’ ออกมา อสรพิษที่กำลังเคลื่อนไหวพลันเปลี่ยนกลับเป็นแส้ทองคำ
อีกฝ่ายพลันตกใจเมื่อเห็นเรื่องอันน่าตกตะลึงเช่นนี้ มั่วชิงเฉินถือโอกาสนี้สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง ลูกดอกลับดอกหนึ่งพุ่งออกไป ตรงไปหาหน้าผากของอีกฝ่าย
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายจึงรีบร้อนกันล่าถอยไป ชั่วพริบตาก็ถอยออกไปสิบกว่าจั้ง
ยามนี้พลันมีผู้บำเพ็ญเพียรอีกสองสามคนพุ่งเข้ามา มั่วชิงเฉินกระตุ้นก้อนอิฐที่กำลังต่อกรกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายให้เข้าจู่โจมพวกเขาทีละคนอีกครั้ง
หนึ่งในนั้นถูกตบอย่างต่อเนื่องสองครั้งก็ร่วงลงสู่พื้น มองสถานการณ์บนท้องฟ้าตาโต เบะปาก หลับตาแสร้งทำเป็นลมไปเสียเลย
ยามเมื่อความล้มเหลวของอีกฝ่ายปรากฏขึ้น มั่วชิงเฉินได้ทีก็ขี่แพะไล่ ลูกศรน้ำแข็งยะเยือกกรีดร้อง แทงโดนอกด้านขวาของอีกฝ่าย
คนผู้นั้นร้องคร่ำครวญออกมาเสียงหนึ่ง แล้วร่วงลงสู่พื้น
ที่บังเอิญก็คือ ในยามนี้ทางด้านเยี่ยเทียนหยวนก็รู้ผลแพ้ชนะแล้ว เขาใช้เชือกมัดเซียนรัดผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายสองคนนั้นจนเป็นบ๊ะจ่างในมือ แล้วฉีกยิ้มให้มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินเห็นเช่นนั้นก็ร่อนลงมา ชูมือสลัดเถาวัลย์วิญญาณที่สามารถรัดผู้บำเพ็ญเพียรเอาไว้ได้ออกไป รัดผู้บำเพ็ญเพียรที่กำลังบาดเจ็บหนักบนพื้นเอาไว้เป็นปมแน่น
“เอาล่ะ ยามนี้เหล่าสหายคงจะพูดได้แล้วสินะว่าเหตุใดถึงมาหาเรื่องพวกเรา”
สองสามีภรรยาคนหนึ่งรัดผู้บำเพ็ญเพียรมาเป็นขบวนบินมาด้านหน้า มั่วชิงเฉินก็เอ่ยถามอย่างเอื่อยเฉื่อย
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายคนหนึ่งหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา “สหายทั้งสองพูดเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเราสกัดกั้นไม่สำเร็จไม่ได้หมายความจะยอมแพ้เสียหน่อย!”
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนพลันมองสบตากันแวบหนึ่ง
“ทุกท่านจำคนผิดแล้วกระมัง” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยอย่างเย็นชา
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายอีกคนหนึ่งกัดฟันขณะเอ่ย “จะจำผิดได้อย่างไร หรือว่าพวกเจ้าไม่ใช่สองสามีภรรยาฉางอวี้ที่พรรคหลิงเซียวส่งมา”
“ไม่ใช่” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“คาดไม่ถึงว่าจะยังไม่กล้ายอมรับ สหายไม่คู่ควรกับการเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย!” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายคนที่สามเอ่ยขึ้น
กับศัตรูมั่วชิงเฉินย่อมไม่มีไมตรีจิตอะไรนัก ยามนั้นจึงหยิบก้อนอิฐโยนทะลุเมฆขึ้นไปบนฟ้า แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชาว่า “พวกเจ้าสามคนบอกข้ามาให้ชัดเจน ยามนี้ผู้ใดเป็นคนถือมีด ผู้ใดเป็นเนื้อปลา!”
เอ่ยจบดวงตาสุกสกาวคู่นั้นก็กวาดไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมด “เป็นเพียงผู้พ่ายแพ้กลุ่มหนึ่ง ยังมีหน้ามาแสดงกริยาเช่นนี้ คิดว่าข้าเป็นพระโพธิสัตว์หรือ”
เห็นผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนร่างสั่นเทาส่งเสียงหวาดผวา ก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เอาล่ะ บอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ร้องคร่ำครวญต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าจะใช้ก้อนอิฐส่งพวกเจ้ากลับบ้านเก่า!”
สายลมเย็นยะเยือกพลันโบกพัดเข้ามา ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดหดคอลงตามจิตใต้สำนึก เมื่อมองไปทางเยี่ยเทียนหยวนก็ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจขึ้นมา
เยี่ยเทียนหยวนไม่ได้มองทุกคนสักปราด มองมั่วชิงเฉิน เผยรอยยิ้มผ่อนคลายออกมาน้อยๆ
ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก…
มั่วชิงเฉินยื่นนิ้วออกไป “เอาล่ะ ให้สหายผู้นี้พูดก็แล้วกัน”
ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกชี้ผู้นั้นก็คือผู้ที่ถูกตีสองครั้งจนแสร้งเป็นลม เมื่อพบว่าตนเองเป็นผู้ที่ถูกเรียกชื่อพลันหน้าชา พอมั่วชิงเฉินสะบัดก้อนอิฐอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ ก็รีบร้อนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “พวกเราสองฝ่ายต่อสู้กันอยู่ที่หุบเขาข่งเชวี่ย ได้ข่าวว่าพรรคหลิงเซียวส่งสองสามีภรรยาฉางอวี้มาสนับสนุน จึงได้รับคำสั่งให้มาสกัดกั้น จากนั้น ก็พบกับสหายทั้งสองคน…”
“เหล่าสหายช่างฝีมือดีจริงๆ คนตั้งมากมายมาสกัดผู้บำเพ็ญเพียรสองคน” มั่วชิงเฉินเอ่ยพร้อมกลั้วหัวเราะ
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายคนหนึ่งได้ยินพลันโมโห แต่ก็กลัวว่ามั่วชิงเฉินจะหยิบก้อนอิฐมาทุบคนจริงๆ จึงระงับความโกรธเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “สามีภรรยาฉางอวี้มีอานุภาพน่าเกรงขาม และยังนำสมบัติวิเศษตัดสินผลแพ้ชนะมาด้วย ฝั่งพวกเราเลยส่งคนมาขัดขวางมากหน่อย ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ!”
มั่วชิงเฉินได้ยินก็คิดว่าถูกดึงเข้าไปร่วมในการต่อสู้ของผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสองพรรคโดยไม่ได้ตั้งใจ และเมืองว่างเปล่ายามที่มานั้นก็น่าจะอยู่ในอาณาเขตของทั้งสองพรรค เมื่อต่อสู้กันแน่นอนว่าคนต้องออกไป เมืองย่อมว่างเปล่า
จึงเอ่ยอย่างส่งเดชว่า “พวกเจ้าสองฝ่ายต่อสู้กันก็ช่างเถิด แต่แค่คนผ่านทางมากลับทำเกินไปเช่นนี้ ดูแล้ววันนี้คงต้องสั่งสอนพวกเจ้าหน่อยถึงจะรู้ความร้ายกาจ”
ในที่สุดผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายผู้หน้าเหลืองเป็นเทียนไขก็ทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดสหายทั้งสองต้องโหดร้ายด้วย ในเมื่อชนะแล้ว พวกเราจะขวางก็ขวางไม่ได้ เดินทางไปกันต่อก็ได้แล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมรับว่าเป็นสองสามีภรรยาฉางอวี้อยู่แล้วนี่ จะบอกให้นะ ยามนี้ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีระดับพลังยุทธ์อย่างพวกเราในจงหลาง ผู้ใดบ้างที่บริสุทธิ์ไร้มลทิน สหายทั้งสองบอกว่าไม่ใช่สองสามีภรรยาฉางอวี้ หรือว่ามาเพราะอาณาเขตเซียน”
“อาณาเขตเซียน?” คำนี้ทำให้มั่วชิงเฉินใจเต้น เอ่ยถามด้วยใบหน้าราบเรียบ “เหตุใดทุกท่านถึงเอาแต่บอกว่าพวกเราเป็นสองสามีภรรยาฉางอวี้ คงไม่ใช่แค่เพราะพวกเราผ่านทางมากระมัง”
ทุกคนพลันมีสีหน้าแปลกประหลาด เอ่ยพร้อมกันว่า “แน่นอนว่าเป็นเพราะหน้าตาของพวกเจ้า ชัดเจนเป็นสามีภรรยาฉางอวี้แน่นอน!”
คราวนี้ เปลี่ยนเป็นมั่วชิงเฉินที่ตกตะลึงแล้ว