พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 633-1 เลี้ยงดูจิตวิญญาณดั้งเดิมตัวน้อย
ในบานคัน ฉ่องตัวอักษรตัวที่สองที่เกือบจะปรากฏขึ้นพลันหายไปท่ามกลางปราณสังหาร
อวิ๋นซีเจินจุนกลับไม่สนใจจะมองเลยสักปราด ถอนใจยาวๆ แล้วม้วนตัวกลายเป็นเมฆหมอก เสียงดังขึ้นจากจุดที่ไกลออกไป “พวกเจ้าสองคนอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน จำเอาไว้อย่าต้านทานกับจิตสังหาร ค่ายกลสังหารจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หากเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับมัน ผลลัพธ์จะไม่น่าอภิรมย์!”
น้ำเสียงค่อยๆ ไกลออกไปชั่วพริบตาอวิ๋นซีเจินจุนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงมั่วเฉินและเยี่ยเทียนหยวนที่มองสบตากันไปมา
“ศิษย์พี่ ดูแล้วพวกเราคงเข้ามาในสงครามร้ายแรงแล้ว” มั่วชิงเฉินถอนใจ รู้สึกว่าตั้งแต่ที่เหยียบย่ำเข้ามาในค่ายกลส่งตัวโบราณดวงก็ไม่ค่อยดีนัก เรียกได้ว่าพบเจออุปสรรคอย่างต่อเนื่อง
เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ศิษย์น้องอย่าคิดมากเลย นี่ก็คือประสบการณ์…”
เอ่ยยังไม่ทันจบ ก็เห็นกลางอากาศมีลำแสงสีเขียวสายหนึ่งปรากฏขึ้น พลันม้วนวนมาหาทั้งสอง
เยี่ยเทียนหยวนดึงมั่วชิงเฉินหลบหลีก
อิทธิฤทธิ์เช่นนี้มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตถึงจะทำได้ แต่การหลบหลีกของเยี่ยเทียนหยวนเป็นเคล็ดวิชาลับชนิดหนึ่ง จึงไม่เหมือนกัน
คาดไม่ถึงว่าชั่วพริบตาที่ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นอีกที่หนึ่ง ลำแสงสีเขียวก็สว่างวาบ ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางอากาศ ปราณสังหารหนาวสะท้าน
นึกถึงคำสั่งของอวิ๋นซีเจินจุน ทั้งสองจึงไม่กล้าต้านทาน ทำได้เพียงสำแดงเคล็ดวิชาหลบหลีกไม่หยุดออกห่างจากที่ราบลุ่มหลิงเฮ่อไปอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อร่อนลงที่ริมทะเลสาบ ในที่สุดลำแสงสีเขียวที่ติดตามมาดุจเงาถึงได้หยุดพัก
ทั้งสองล้วนไม่ได้นั่งรอความตาย เป็นเพราะไม่เข้าใจค่ายกลสังหาร จึงตัดสินใจจะไปรวมตัวกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงของสำนักฉางซู่ก่อน
บินไปด้านหน้าได้ชั่วครู่ ก็มองเห็นลูกศิษย์ทะยานมารอบด้าน
ด้านหลังของลูกศิษย์เหล่านั้นมีลำแสงสีเขียวไล่ตามอยู่ เมื่อหลบหลีกไม่ทันจนถูกไล่ตามก็จะดับสูญร่วงลงไป
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งทนไม่ไหวนำอาวุธออกมาต้านทาน ก็เห็นลำแสงสีเขียวที่แต่เดิมมีขนาดเท่าหัวแม่มือขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่าข้อมือ ชั่วครู่ก็ตัดศีรษะของเขาทิ้ง
มองศีรษะของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานกลิ้งหลุนๆ มั่วชิงเฉินถึงได้รู้ถึงความร้ายกาจของค่ายกลสังหาร
หากลำแสงสีเขียวไล่ตามไป แค่หลบหลีกก็พอแล้ว หากต้านทาน ก็จะมีอานุภาพเพิ่มขึ้นระดับหนึ่ง นั่นหมายความว่าหากนางต้านทานลำแสงสีเขียวก็จะมีอานุภาพเท่ากับการโจมตีของผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิต ช่างแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ
ถึงแม้จะรู้เช่นนี้ เมื่อมั่วชิงเฉินบินมาถึงสวนดอกไม้ ก็มองเห็นเด็กน้อยระดับหลอมลมปราณคนหนึ่งล้มลง ก็ลงมืออย่างทนไม่ไหว ลงมือบังลำแสงสีเขียวที่ไล่ตามมาด้านหลังนาง
ลำแสงสีเขียวขยายใหญ่ขึ้นทันที
ฝ่ามือของเยี่ยเทียนหยวนมีดาบยาวอาบเปลวเพลิงปรากฏขึ้น ชั่วพริบตาก็สับลงมาหลายครั้ง ในที่สุดก็กำจัดลำแสงสีเขียวที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ไปได้
มั่วชิงเฉินกอดเด็กผู้หญิงคนนั้นเอาไว้แล้วมองไปรอบๆ กลับพบว่าในสวนดอกไม้ล้วนว่างเปล่า ซากศพล้มกองเต็มไปหมดไม่มีผู้รอดชีวิตอีก
นางกระโจนขึ้นๆ ลงๆ มาอยู่ตรงหน้าภูเขาจำลองวางเด็กผู้หญิงลงในถ้ำพำนัก วางโอสถเลี่ยงธัญพืชสองสามขวดและผลไม้วิญญาณเอาไว้ ยื่นมือไปลูบใบหน้าของเด็กหญิง แล้วถึงได้ตัดสินใจจากไป ชายเสื้อกลับถูกเด็กหญิงคว้าเอาไว้
มั่วชิงเฉินหันกลับมาเห็นเด็กหญิงมีแววตาทั้งตกตะลึงระคนหวาดกลัวและทั้งน่าสงสาร ก็ถอนใจในใจแล้วเผยรอยยิ้มออกมา “แม่นางน้อย ด้านนอกอันตรายมาก ข้าพาเจ้าไปด้วยไม่ได้ โอสถเลี่ยงธัญพืชเหล่านี้เวลาเจ้าหิวก็กินครั้งละหนึ่งเม็ด หากมีโอกาสข้าจะกลับมารับเจ้า”
“พี่หญิงจะมารับข้าจริงๆ หรือ” ดวงตาของเด็กหญิงพลันเปล่งประกายแวววาว
มั่วชิงเฉินลังเลเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “ข้าจะพยายาม”
เอ่ยจบ ก็ตัดสินใจจากไป
“ศิษย์น้อง ข้าเข้าใจแล้ว” ระหว่างทางเยี่ยเทียนหยวนพลันเอ่ยปากขึ้น
มั่วชิงเฉินตกตะลึงไปเล็กน้อย “เข้าใจอะไรหรือ”
ดาบยาวในมือของเยี่ยเทียนหยวนบินออกไป ทำลายลำแสงสีเขียวที่กำลังไล่ตามมาด้านหลังของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่ง ไม่ได้มองผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่กระโจนเข้ามาคุกเข่าโขลกศีรษะกับพื้นอย่างต่อเนื่อง เอ่ยกับมั่วชิงเฉินว่า “แม้ว่าค่ายกลสังหารจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่หากใช้พลังที่เหนือกว่าปราณสังหารต้านทานได้ในระยะเวลาสั้นๆ ก็จะทำลายปราณสังหารได้”
มั่วชิงเฉินขบคิดได้ก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น จึงเอ่ยว่า “เช่นนี้ ก็สามารถช่วยผู้บำเพ็ญเพียรที่ระดับต่ำกว่าเราได้แล้ว แต่แค่พลังของปราณสังหารที่ไล่ตามพวกเราเดิมก็เท่ากับการโจมตีของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว พวกเราทำได้เพียงต้องหลบหลีก”
เยี่ยเทียนหยวนเงยหน้าขึ้นเอ่ย “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ดูแล้วค่ายกลสังหารนี้คงมีไว้ต่อกรกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงอย่างระดับก่อกำเนิดขึ้นไป”
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนหยวนมั่วชิงเฉินก็หน้าเปลี่ยนสี “ศิษย์พี่พวกเรารีบออกจากที่นี่กันเถิด ต้องไปแถวๆ หุบเขาข่งเชวี่ย!”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหยวนไม่เข้าใจก็อธิบายว่า “ศิษย์พี่ลองนึกย้อนสิ ระหว่างทางที่เรามาที่ราบลุ่มหลิงเฮ่อ ท่านเห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงกว่าระดับก่อแก่นปราณหรือไม่”
“ไม่เคย” เยี่ยเทียนหยวนส่ายศีรษะ ฉับพลันนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าเข้าใจเจตนาของมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินเพิ่มความเร็วในการเหาะเหินแล้วเอ่ยว่า “สำนักฉางซู่และผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายต่างๆ กำลังต่อสู้กันที่หุบเขาข่งเชวี่ย เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงส่วนใหญ่คงจะอยู่ที่นั่น ที่นี่ล้วนมีแต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำ ปราณสังหารที่เกิดขึ้นจากค่ายกลสังหารจึงเป็นปราณสังหารที่อ่อนแอ แต่หากเป็นเพราะการดำรงอยู่ของพวกเราทำให้ปราณสังหารแข็งแกร่งและถูกหลบหลีกไป มันไม่ได้หายไปไหน นั่นเป็นหายนะสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำ!”
ในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง ขอแค่ไม่ได้อยู่ฝ่ายมารก็ควรจะมีคุณธรรมบ้าง
มั่วชิงเฉินมั่นใจว่า แม้ไม่สามารถพลีชีพตนเพื่อผู้บำเพ็ญเพียรนับหมื่นพันคนได้ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำนับพันหมื่นคนต้องตกระกำลำบากเพราะตนเอง
ยามนี้ นางถึงได้เข้าใจเจตนาของอวิ๋นซีเจินจุน
ให้พวกนางอยู่ที่ราบลุ่มหลิงเฮ่อันไร้ผู้คน ประการแรกก็เพื่อปกป้องพวกนาง ไม่ให้เข้าไปอยู่ในสงครามร้ายแรง อีกประการหนึ่งก็เพื่อรับประกันว่าลูกศิษย์ระดับต่ำด้านหลังจะไม่ตกระกำลำบากเพราะพวกนาง
แต่น่าเสียดาย กว่าจะเข้าใจก็สายเกินไปแล้ว
เรื่องมาถึงยามนี้ก็ไม่อาจกลับตัวได้แล้ว มีเพียงต้องพยายามไปให้ถึงหุบเขาข่งเชวี่ย
“ศิษย์น้อง พวกเราไปกันเถิด!” เยี่ยเทียนหยวนจับแขนของมั่วชิงเฉินแน่น
จากความรู้สึกอันว่องไวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย ทั้งสองล้วนสัมผัสได้ว่าปราณสังหารและระลอกคลื่นวิญญาณทิศใดแข็งแกร่งที่สุด บินเช่นนั้นไปสักระยะหนึ่งก็มาถึงหุบเขาข่งเชวี่ย
เมื่อมาถึง ก็มองเห็นละครสนุกฉากหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นกลางคนหนึ่งที่มีลำแสงสีเขียวไล่ตามอยู่ด้านหลังเห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นต้นอีกคนหนึ่งกำลังอาศัยความเร็วที่มากกว่าเขา หลบหลีกหายนะ ผ่านร่างของเขาไปก็หันกายสลัดลำแสงสีเขียวไปบนร่างของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นต้น
เห็นลำแสงสีเขียวและผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นต้นพัวพันกัน ชั่วพริบตานั้นอานุภาพก็เพิ่มขึ้นจึงฉีกยิ้มแล้วจากไป
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นต้นคนนั้นกลับร้องอย่างน่าอนาถ จากนั้นตรงส่วนหัวก็เหลือเพียงทารกปราณตนน้อยพุ่งออกมาจากร่าง หนีเอาชีวิตรอดอย่างตื่นตระหนก
บังเอิญทารกปราณผู้นี้ตรงมาหามั่วชิงเฉินและพวกทั้งสองพอดี
มองทารกปราณตัวน้อยพุ่งเข้ามาใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงและสิ้นหวัง ยามนั้นมั่วชิงเฉินก็ลังเลว่าจะช่วยหรือไม่
ลำแสงสีเขียวด้านหลังเขาเป็นการโจมตีของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นกลาง จากความสามารถของนางและศิษย์พี่ย่อมจัดการได้ แต่แค่จิตวิญญาณดั้งเดิมออกจากร่างนั้นเป็นช่วงเวลาที่อ่อนแอมากที่สุด เกรงว่าช่วยไปตอนนี้ก็คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
ช่างเถิด ในเมื่อบังเอิญมาแล้ว ก็ช่วยจัดการลำแสงสีเขียวด้านหลังเขาก็แล้วกัน
มั่วชิงเฉินเพิ่งจะมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา ฉับพลันนั้นก็เห็นน้ำเต้าน้อยที่แขวนอยู่ตรงหน้าอกเปล่งแสงเจิดจ้า คาดไม่ถึงว่าจะสูบทารกปราณน้อยเข้าไป
ลำแสงสีเขียวไร้ซึ่งเป้าหมายให้โจมตี ก็พุ่งเข้ามาหามั่วชิงเฉินและพวกทั้งสองทันที
เยี่ยเทียนหยวนดึงมั่วชิงเฉินให้หลบหลีก
ปราณสังหารที่เกิดจากค่ายกลสังหารไม่ใช่พอสังหารได้แล้วก็จะหายไปอันหนึ่ง เจ้าพวกนี้เดิมทีก็เป็นพลังที่ไร้รูปร่าง ขอแค่เปิดใช้ค่ายกลสังหาร ก็จะเกิดขึ้นไม่หยุด แน่นอนว่าเขาจึงไม่อาจเปลืองแรงไปได้
“ศิษย์น้อง เจ้าช่วยจิตวิญญาณดั้งเดิมนั่นหรือ” เยี่ยเทียนหวยเอ่ยถาม
มั่วชิงเฉินในตอนนี้ยังมีท่าทีแปลกๆ ตนเองแค่มีความคิดจะช่วยเขาจัดการกับปัญหา เหตุใดน้ำเต้าจึงเกิดการเคลื่อนไหว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็อดที่จะยื่นมือออกไปลูบไล้น้ำเต้าไม่ได้ ฉับพลันนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้น “ผู้ใด!”
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าคนผู้นี้อยู่ในสมบัติของตนเอง มีสิทธิ์อะไรมาถามถึงตน จึงเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “หรือสหายไม่รู้ว่า ยามนี้อยู่ในสมบัติอาคมของข้า”
คนผู้นั้นได้ยินพลันตกตะลึง
ชั่วพริบตาที่เขาเพลี่ยงพล้ำ จิตวิญญาณดั้งเดิมออกจากร่าง ก็วิ่งมาทางที่มีคนตามความรู้สึก คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะบินเข้ามาใกล้ทั้งสองคนก็ถูกดูดเข้ามาอย่างแปลกประหลาด ดูดเขาเข้ามาในสถานที่อันแปลกพิกล
ไม่รอให้สีหน้าผ่อนคลายลง บรรยากาศทั้งหมดก็สั่นคลอน ชั่วพริบตากลิ่นอายแข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นก็ห่อหุ้มเขาไว้ กักขังจนขยับตัวไม่ได้จึงร้องออกมาด้วยความตกตะลึงระคนหวาดกลัว
“ศิษย์พี่ ท่านคอยคุ้มครองข้าหน่อย ข้าจะแบ่งจิตสัมผัสเข้าไปดูในน้ำเต้า” เมื่อมาถึงหุบเขาข่งเชวี่ย ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอีก มั่วชิงเฉินจึงเอ่ยกับเยี่ยเทียนหยวน
ตั้งแต่ที่เคยไปผจญภัยในแดนผี ก็รู้ความลับของสุราในน้ำเต้าว่าสามารถรักษาจิตวิญญาณดั้งเดิมได้ มั่วชิงเฉินจึงให้เยี่ยเทียนหยวนดื่มสุราชั้นเลิศนี้มาโดยตลอด แล้วบอกกับเขาว่าน้ำเต้านี้เป็นสมบัติโบราณชนิดหนึ่ง ก็เพราะต้องการปิดบังเรื่องนี้
แม้ว่าสมบัติโบราณในแดนผู้บำเพ็ญเพียรจะมีอยู่น้อยมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี โดยเฉพาะผู้ที่มาอยู่ถึงระดับนี้อย่างพวกนางก็นับว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับยอดสุดในทวีปแห่งเทพแล้ว ผู้ใดจะไม่มีสมบัติพิเศษบ้าง ไม่ต้องพูดถึงเยี่ยเทียนหยวนที่เป็นคู่บำเพ็ญเพียร หลัวอวี้เฉิงที่เป็นสหายสนิท ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั่วไปก็รู้ว่านางมีสมบัติอยู่กับตัว และไม่กล้าหาเรื่องง่ายๆ
และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อจิตวิญญาณดั้งเดิมเข้าไปอยู่ในน้ำเต้าหลายครั้ง น้ำเต้าก็ดูเหมือนจะจดจำนางได้ ค่อยๆ มีร่องรอยของการถูกฝึกฝน วันข้างหน้าคงมีโอกาสได้ใช้อีกมากมาย แน่นอนว่ามั่วชิงเฉินคงไม่อาจปิดบังน้ำเต้านี้ได้เหมือนตอนที่อยู่ในระดับหลอมลมปราณ
เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้า โอบกอดมั่วชิงเฉินไว้ในอ้อมกอด
มั่วชิงเฉินแบ่งจิตสัมผัสเข้าไปในน้ำเต้า ก็เห็นจิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้บำเพ็ญเพียรรระดับก่อกำเนิดขั้นต้นผู้นั้นนั่งยองๆ อยู่ข้างกำแพงริมทะเลสาบด้านใน เมื่อเห็นนางปรากฏตัวคาดไม่ถึงว่าจะตัวสั่นงันงก
มั่วชิงเฉินผ่อนลมหายใจออกมา นางกลัวว่าเข้ามาแล้วจะเห็นทารกปราณแหวกว่ายอยู่ในสายธาร หากเป็นเช่นนั้นนางคงทนไม่ไหวถีบหมอนี่ไปสักทีหนึ่ง
“สะ…หาย…” จิตวิญญาณดั้งเดิมตะโกนออกมาด้วยเสียงสั่นเทา
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ “ไม่ว่าอย่างไรสหายก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนหนึ่ง ต่อให้สูญเสียกายเนื้อไปพบหน้าข้าก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวขนาดนั้นกระมัง”
ถึงแม้จะกล่าวว่าผู้ที่ฝึกฝนทางสายมารจะสนใจจิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้บำเพ็ญเพียร แต่ถึงอย่างไรเสียก็เป็นส่วนน้อย ไม่ว่าจะมองอย่างไรนางก็เป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง คนผู้นี้ถึงกับต้องมีสีหน้าเช่นนี้เลยหรือ