พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 636 บันไดสวรรค์เสาะหาสำนักเซียน
แค่พริบตา เบื้องหน้าของมั่วชิงเฉินก็กลับมากระจ่างชัด ข้างหูมีเสียงกรีดร้องแหลมสูงของสตรีดังขึ้น
จากนั้นอาภรณ์ก็ปลิวไสว สองสามีภรรยาฉางอวี้สวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว มองพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว ฉางอวี้ตะโกนออกมาด้วยเสียงเย็นชาว่า “พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”
หลิวหลีอับอายจนแอบอยู่ด้านหลังฉางอวี้ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาแม้แต่น้อย
แม้ว่าอยู่ในสถานการณ์ที่เผชิญหน้ากับศัตรู มั่วชิงเฉินก็ยังรู้สึกว่าหากพวกเขารู้ว่าตนถูกเฝ้าดูมาตลอดสามปี คงโหดร้ายมากจริงๆ ยามนั้นจึงเงียบขรึม
เยี่ยเทียนหยวนกลับไม่สนใจอะไรมาก กวาดสายตาไปที่ฉางอวี้ด้วยความเย็นชาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “พวกเราอยู่มาตั้งแต่แรก”
เห็นฉางอวี้เผยสีหน้าคำถามออกมา ก็เอ่ยต่อว่า “มาก่อนพวกเจ้าเล็กน้อย”
“เจ้าพูดอะไรกัน!” ฉางอวี้ตัวสั่นเทา สีหน้าเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้
เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าบอกว่ายามที่พวกเจ้าตกลงมาก็ทำให้ข้าและศิษย์น้องตกใจแล้ว” จากนั้นก็สาวเท้ายาวๆ เดินไปตรงหน้า
มั่วชิงเฉินเห็นเช่นนั้นก็ทำตาม ทั้งสองมาหยุดอยู่ตรงหน้าบันไดหยก
สองสามีภรรยาฉางอวี้พลันตกตะลึงอยู่ที่เดิม ผ่านไปชั่วครู่ หลิวหลีถึงเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทาว่า “พี่…พี่อวี้ ความหมายของพวกเขา ความหมายของพวกเขาคงไม่ใช่…”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ก็มีสีหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย เม้มริมฝีปากเอ่ยว่า “พี่อวี้ ข้าไม่มีหน้าไปพบผู้ใดแล้ว!”
ฉางอวี้รีบดึงหลิวหลีเข้ามาในอ้อมกอด สายตาที่มองมายังเยี่ยเทียนหยวนเผยจิตสังหารออกมา “วางใจ คนตายไม่มีทางจำเรื่องสามปีนี้ได้”
“แต่ว่า พวกเราไม่ใช่คู่มือของพวกเขา…” หลิวหลีส่งเสียงมาอย่างเงียบๆ
ฉางอวี้มุมปากกระตุก หัวเราะอย่างไร้สุ้มเสียง จากนั้นก็ดึงหลิวหลีเดินไป
มั่วชิงเฉินยืนอยู่ใต้บันไดหยก แล้วมองไปด้านบน
บันไดหยกดูเหมือนปรากฏขึ้นกลางอากาศ ขั้นแรกอยู่บนพื้นดิน ขั้นที่สองและสามเหมือนลอยอยู่กลางอากาศสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ยิ่งมองขึ้นไปด้านบนปลายทางล้วนเป็นกลุ่มเมฆ ไม่รู้ว่าปลายทางของบันไดหยกส่งไปที่ใด
มองเห็นทัศนียภาพประหลาด ทั้งสี่คนที่เดิมต่างๆ ระมัดระวังตัวอยู่แล้วกลับได้สติ ล้มเลิกความคิดที่จะต่อสู้
มองดูอยู่ชั่วครู่ หลิวหลีก็ร้องอุทานอออกมาเบาๆ “พี่อวี้ ท่านว่า นี่ใช่อาณาเขตเซียนหรือไม่”
ฉางอวี้มีสีหน้าเคร่งขรึม “อาจจะใช่”
จากนั้น ก็เหลือบมองพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองโดยไม่ส่งเสียงใดๆ
เมื่อได้ยินคำว่า ‘อาณาเขตเซียน’ มั่วชิงเฉินก็ใจเต้น ถ่ายทอดเสียงหากันอย่างเงียบๆ กับเยี่ยเทียนหยวนตั้งนานแล้ว
ทั้งสี่คนตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่ ยังคงเป็นฉางอวี้ที่เอ่ยปากว่า “สหายทั้งสอง ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าปลายทางเป็นเช่นใด พวกเรามาพักรบกันชั่วคราวเถิด ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านคิดอย่างไร”
“ได้” เยี่ยเทียนหยวนไม่ได้ลังเล พยักหน้า จากนั้นก็ยื่นมือไปหามั่วชิงเฉิน “ศิษย์น้อง พวกเราขึ้นไปกันเถิด”
มั่วชิงเฉินคว้าเยี่ยเทียนหยวนเอาไว้ ทั้งสองเดินเคียงไหล่กันขึ้นไปที่บันไดหยก ก้าวขึ้นไปทีละก้าวๆ
สามีภรรยาฉางอวี้ตามมาด้านหลัง
“พี่อวี้ ท่านว่าเหตุใดพวกเขาถึงล่วงหน้าไปก่อน” หลิวหลีถ่ายทอดเสียงมาอย่างไม่เข้าใจ
ฉางอวี้เองก็ไม่เข้าใจ ตามหลักการแล้วสถานที่ที่ไม่รู้อะไร ผู้ที่เข้าไปก่อนล้วนต้องตกอยู่ในอันตราย บันไดหยกนี้กว้างแค่ให้คนสองคนเดินเคียงไหล่กันเท่านั้น เหตุใดพวกเขาถึงเดินไปก่อนอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
เมื่อขบคิดเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจ ตามหลังไปเงียบๆ โดยไม่กล้าเข้าใกล้ และไม่กล้าทิ้งระยะห่างมากเกินไป กลัวว่าพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองจะมีความลับอะไร
เมื่อขึ้นไปตามบันไดหยก ความเย็นยะเยือกก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น และค่อยๆ ขึ้นไปอยู่ในระดับที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดธรรมดาๆ รับไม่ไหว
โชคดีที่เยี่ยเทียนหยวนมีเพลิงอัศจรรย์ร่างหยางบริสุทธิ์ และเป็นเจ้านายของวิญญาณอัคคี ความหนาวเย็นที่เกิดขึ้นได้ในโลกมนุษย์ล้วนไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อเขา
เขาคว้าแขนของมั่วชิงเฉินเอาไว้ ถ่ายเทไฟจริงเข้าไปในร่างของอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง ก้าวขึ้นไปบันไดไปเรื่อยๆ จนแทบไม่ได้หยุดพัก
สองสามีภรรยาฉางอวี้ที่ตามมาด้านหลังกลับหยุดลง
ความหนาวเย็นเช่นนี้ หากเดินต่อไป ก็จะทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ ภายใต้สถานการณ์ที่มีศัตรูอยู่ด้วยนั้น ก็ไม่ต่างอะไรจากไปตายเท่านั้น
“พี่อวี้ ใช้ตะขอเหนือลิขิตฟ้าเถิด” หลิวหลีขมวดคิ้วขณะเอ่ย ขนคิ้วและขนตาล้วนจับเป็นชั้นน้ำแข็งบาง สีหน้าซีดขาว
“อืม” ฉางอวี้หยิบตะขอเหนือลิขิตฟ้าออกมา สลัดไปด้านบน ตะขอสีน้ำหมึกบินอกมา คาดไม่ถึงว่าจะเกาะลงบนก้อนเมฆที่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง
ลำแสงสว่างวาบ เส้นไหมกึ่งโปร่งแสงที่ผูกกับตะขอขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดสามฉื่อ
ฉางอวี้ดึงหลิวหลีให้กระโดดขึ้นไปอยู่บนนั้น ความหนาวเย็นถูกต้านทานไว้ภายนอก เมื่อแตะปลายเท้าทะยานเมฆก็เคลื่อนมาตามตะขอเกี่ยว
จากนั้นก็ทะยานไปเช่นนี้ ความเร็วในการปีนขึ้นไปคาดไม่ถึงว่าจะไม่ด้อยไปกว่าพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองเลยสักนิด
มั่วชิงเฉินนับอยู่ในใจ น่าจะเดินขึ้นมาได้เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้นแล้ว เดิมไอเย็นน่าจะสลายหายไป ฉับพลันนั้นบนขั้นบันไดหยกใต้ฝ่าเท้าก็มีเปลวเพลิงทะลักออกมา เสียงร้องอุทานดังขึ้น บันไดหยกตั้งแต่ตรงนั้นกลายเป็นมังกรเพลิงสายหนึ่ง
เยี่ยเทียนหยวนเรียกวิญญาณอัคคีออกมา สั่งให้มันกลายร่างเป็นดอกบัวเพลิง ดึงมั่วชิงเฉินขึ้นไปเหยียบ วิญญาณอัคคีบรรทุกทั้งสองคนบินขึ้นไป
สองสามีภรรยาฉางอวี้ตามมาถึง ก็รู้สึกว่าตะขอเหนือลิขิตฟ้าไม่อาจทะลวงผ่านเพลิงสวรรค์นี้ไปได้ ถูกขวางทางเอาไว้แล้ว
มองพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองที่เดินไปไกลเรื่อยๆ ก็รู้สึกไม่ยินยอม
“พี่อวี้ จะทำอย่างไรดี” หลิวหลีเอ่ยถาม
ฉางอวี้เงียบขรึมไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “หลิวหลี ใช้พัดปีกขนนกเก้าดินแดนเถิด”
“พี่อวี้?” หลิวหลีพลันตกตะลึง
ฉางอวี้มีสีหน้าเคร่งขรึมดุจสายธาร เอ่ยออกมาทีละคำๆ ว่า “พวกเราขึ้นไปไม่ได้ และไม่อาจปล่อยให้คนอื่นได้ประโยชน์ไป โดยเฉพาะพวกเขา!”
หลิวหลีได้ฟังก็พยักหน้าน้อยๆ ชักพัดปีกขนนกเก้าดินแดนออกมาสะบัดไปทางบันไดหยก พายุบ้าคลั่งก่อตัวขึ้น เปลวเพลิงระเบิดตัวออก บันไดเพลิงทั้งหมดถูกพายุพัดจนแตกกระจาย
วิญญาณอัคคีต้านทานเปลวเพลิงของบันไดหยกมาได้โดยตลอด แต่เมื่อเปลวเพลิงของบันไดหยกระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ก็คืนร่างเดิมขึ้นอย่างกะทันหัน ชั่วขณะนั้นพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองพลันร่วงลงจากบันไดหยก ตกลงไปเป็นหมื่นจั้ง
มั่วชิงเฉินกางนิ้วทั้งสิบออก เส้นไหมสีเงินบางๆ บินออกมาจากนิ้วทั้งสิบ คาดไม่ถึงว่าจะไม่หวาดกลัวไฟที่โหมกระหน่ำ พันรัดบันไดหยกไว้
จากนั้นกลับไม่ได้อาศัยพลังของเส้นไหมสีเงินปีนขึ้นมาบนบันไดหยกอีกครั้ง ในทางตรงกันข้าม กลับบินลงไปด้านล่าง เท้าขวาก็ยกขึ้นด้วยความรวดเร็ว เตะไปที่บันไดหยกอย่างแรง
ในตอนที่สองสามีภรรยาฉางอวี้ลงมือ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าบันไดหยกราวกับลอยอยู่กลางสายลม พลิ้วสะบัดไปตามแรงราวกับต้นหญ้าพลิ้วไสว เมื่อพลังมหาศาลเช่นนี้ถีบไปอย่างคาดไม่ถึง บันไดหยกด้านล่างก็พลิกตลบ สองสามีภรรยาฉางอวี้ตกลงไป
เยี่ยเทียนหยวนสำแดงอิทธิฤทธิ์รักแท้ตัดสะบั้นอย่างสอดประสาน สับไปยังก้อนเมฆที่ลอยอยู่ด้านล่างทั้งหมด
สองสามีภรรยาฉางอวี้หล่นเข้าไปในอาณาเขตหนาวเหน็บของบันไดหยก ตะขอเหนือลิขิตฟ้าไม่มีที่ให้ยึดเกาะ ร่างกายก็ถูกแช่แข็ง ยากจะควบคุมพลังวิญญาณ แล้วก็ตกลงไปต่อ
เยี่ยเทียนหยวนเหลือบมองอย่างเย็นชาปราดหนึ่งแล้วชักสายตากลับมา ถึงได้ควบคุมวิญญาณอัคคีกลายเป็นดอกบัวเพลิงอีกครั้ง บรรทุกมั่วชิงเฉินแล้วบินขึ้นไปด้านบนอย่างช้าๆ
ขณะที่มั่วชิงเฉินกำลังคิดว่าสองสามีภรรยาฉางอวี้จะดับสูญหรือไม่ เหตุใดถึงไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย บันไดหยกก็มาถึงปลายทาง เบื้องหน้าคือสิ่งที่ทำให้นางโยนความคิดทั้งหมดทิ้งไป
ปลายทางของบันไดหยก บนก้อนเมฆ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นประตูหยกสูงใหญ่ปิดสนิทสองบาน ด้านข้างประตูหยกมีเสาหยกสีขาวตั้งตระหง่านอยู่สี่ต้น ด้านหนึ่งแกะสลักเป็นมังกร ด้านหนึ่งแกะสลักเป็นรูปหงส์ ดูแล้วสมจริงมาก
หลังจากที่ทั้งสองชื่นชมแล้ว ก็ทดสอบหลายวิธี ประตูใหญ่กลับไม่มีความเคลื่อนไหว สุดท้ายมั่วชิงเฉินก็นึกถึงคันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์
บางที วิธีการเปิดประตูบานนี้ ก็คือคาถาเซียนที่หายสาบสูญไปท่อนนั้น
ร่ายคาถาตามที่ซีอวิ๋นเจินจุนถ่ายทอดมา มั่วชิงเฉินควบคุมคันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์ให้บินวนล้อมรอบประตูอย่างช้าๆ
ผ่านไปครึ่งวันเต็มๆ บานคันฉ่องมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เผยตัวอักษรออกมาแถวหนึ่ง
มั่วชิงเฉินเก็บคันฉ่องสมบัติกลับมา ร่ายคาถาตามตัวอักษรแถวนั้น ลำแสงวิญญาณพลันจมหายไปในประตูหยก
เมื่อลำแสงวิญญาณจมหายไป ประตูหยกพลันเปล่งแสงเจิดจ้าแต่กลับเงียบสงัด ฉับพลันนั้นก็มีลำแสงวิญญาณแปดสายพุ่งไปที่เสาหยกสีขาวทั้งสองฝั่ง
จากนั้น ก็มีเสียงมังกรและหงส์ร้องคำรามดังขึ้น มังกรทั้งสี่และหงส์ทั้งสี่พลันมีชีวิต บินวนลงมาจากเสา แล้วบินตัดสลับกันไปมา
ยามนั้น ทะเลเมฆพลันก่อตัวขึ้น พายุคลั่งโหมกระหน่ำ เม็ดฝนขนาดเท่าเมล็ดถั่วโปรยปรายลงมา
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนยืนอยู่หน้าประตู เม็ดฝนไม่ได้หล่นกระทบร่างของพวกเขา แต่ตกลงไปด้านล่างจนมองไม่เห็น
ทั้งสองมองอย่างเงียบๆ พลางใจเต้นระรัว
เสียงมังกรและหงส์คำรามดังขึ้นพร้อมกับเม็ดฝน อาจจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น
ทางด้านหุบเขาข่งเชวี่ย ผ่านไปสามปี ค่ายกลสังหารที่ดื่มโลหิตบริสุทธิ์ไปจนอิ่มอานุภาพก็เพิ่มขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดกว่าครึ่งดับสูญไปด้วยเงื้อมมือของปราณสังหารหรือไม่ก็เงื้อมมือของพวกเดียวกัน เหลือเพียงคนที่พยายามอย่างหนักไม่ถึงร้อยคน ทั้งสองฝ่ายมีเจินจุนระดับถอดดวงจิตหกคน ดับสูญไปสองคน ช่างน่าเวทนานัก
ยามนี้เจินจุนระดับถอดดวงจิตทั้งสี่คนกำลังเผชิญหน้ากัน มองสบตากันอย่างเงียบๆ บอกไม่ถูกว่าโกรธเกลียด เคียดแค้น หรือว่าเสียใจ
หายนะในครั้งนี้ อย่างน้อยจงหลางก็ต้องตกอยู่ในสภาพวะซบเซาไปอีกหลายร้อยปี!
“ซีอวิ๋นเจินจุน พวกเราหยุดเถิด” กู่เยี่ยนเจินจุนจากพรรคตี้มู่ถอนหายใจออกมา
ซีอวิ๋นเจินจุนเลิกคิ้วที่มีปอยผมปกคลุม หัวเราะอย่างเย็นชา “หยุดหรือ พวกเจ้ารวบรวมผู้บำเพ็ญเพียรจากพรรคต่างๆ มาทำลายรากฐานที่มีมานับแสนปีของสำนักฉางซู่พวกข้าเพียงเพราะอาณาเขตเซียนที่จับต้องไม่ได้ สู้รบจนผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงจำนวนนับไปถ้วนดับสูญ จงหลางที่ยิ่งใหญ่ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้บำเพ็ญเพียรที่ผู้บำเพ็ญเพียรจากนอกมหาสมุทรไม่กล้าเหยียบย่างเข้ามา ยามนี้กล่าวว่าหยุดก็ได้แล้วหรือ”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา มองไปทางจุดที่ขอบฟ้ามาบรรจบกันไกลออกไปซึ่งมีเสียงปราณสังหารร้องคำรามดังออกมาแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้าว่า “สหายทั้งสองน่าจะรู้ เมื่อเปิดใช้ค่ายกลสังหารของสำนักฉางซู่ มันจะทำงานอย่างไม่ยอมหยุดพัก พวกข้า ไม่ว่าผู้ใดก็หนีไม่พ้น!”
สาเหตุที่ค่ายกลสังหารน่ากลัว ก็เพราะว่ามันจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเมื่อดื่มโลหิตของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงไปจนหมด จะกลายเป็นแม้กระทั่งวิญญาณร้าย
“ซีอวิ๋นเจินจุน เจ้ามันโหดเหี้ยมนัก!” หลิงเฮ่อเจินจุนจากพรรคหลิงเซียวเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา
ช่านหรานเจินจุนของสำนักฉางซู่เอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว “วาจานี้ ควรกล่าวกับพวกเจ้ามากกว่า ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ไม่จำเป็นต้องพูดพล่ามไร้สาระกับพวกเขา วันนี้มาตัดสินกันให้รู้แล้วรู้รอด เพื่อล้างแค้นให้กับศิษย์สำนักฉางซู่ข้า!”
เจินจุนทั้งสี่ท่านต่างยืนกันคนละมุม ไม่เอ่ยเจรจาอีก พลันสำแดงความสามารถทันที
พวกเขาใช้พลังที่สามารถพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร เรียกใช้กระแสคลื่นปราณวิญญาณอันรุนแรง ทันใดนั้นพายุหมุนก็ก่อตัวขึ้น ภูเขาถล่มทลาย ท้องฟ้าเปลี่ยนสี
ปราณสังหารที่อยู่ไกลออกไปราวกับแมวที่ได้กลิ่นอาหารคาว พลันพุ่งเข้ามาทันที
เจินจุนทั้งสี่ท่าน และปราณสังหารอันแข็งแกร่งสายหนึ่งที่เข้ามาผสมโรง
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดซึ่งอยู่ตรงมุมของค่ายกลสังหารที่ยังคงโชคดี ต่างล้วนสัมผัสได้ถึงปราณสังหารซึ่งแผ่ตัวลงมา
ขณะที่กำลังต่อสู้ ปราณสังหารก็ลงมือรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ยามนั้นก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดค่อยๆ ทยอยกันดับสูญไป
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรที่เบื่อหน่ายกับการสังหารจึงหลบซ่อนตัวอยู่นั้นก็ยิ่งรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ในใจรู้สึกสิ้นหวัง
หากเจินจุนระดับถอดดวงจิตยังหลบหนีจากความตายได้ยาก เช่นนั้นพวกเขาจะทำอะไรได้
ในยามนั้นเอง พายุฝนเจ็ดสีก็ตกลงมาจากท้องฟ้า ก่อตัวเป็นม่านพายุฝนเจ็ดสี ค่ายกลสังหารที่แทบจะผนึกปราณสังหารจนเป็นของจริงพลันค่อยๆ อ่อนตัวลง
ท้องฟ้าที่ไกลออกไป มังกรสี่ตัวหงส์สี่ตัวพลันบินโฉบไปมา ปรากฏขึ้นรางๆ ท่ามกลางม่านหมอก และเงาเลือนรางที่ปรากฏตัวขึ้นนั้น ยังมีเงาร่างสีเขียวอีกสองสาย