พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 639 ทางเลือกล้วนผิดทั้งหมด
บุรุษสวมชุดสีขาวช้อนสายตาขึ้นมอง เอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ดูจากท่าทางของนาง เกรงว่าคงผ่านเรื่องนี้ได้ยาก”
บุรุษสวมชุดสีม่วงมองแวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจแล้วเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย หากทนไม่ไหว ก็ไม่สู้กลับไปเกิดใหม่เสียก็จบ…”
สิ้นเสียง ก็เห็นมั่วชิงเฉินในภาพวาดกุมกริชแน่น ค่อยๆ บีบบุรุษที่อยู่บนร่างของนางไปทีละนิดๆ
ส่วนบุรุษผู้นั้นรวมทั้งคนที่รายล้อม กลับไม่พบกริชเลยสักนิด
บุรุษสวมชุดสีม่วงเผยสีหน้าเบื่อหน่าย ชักสายตากลับมา เอ่ยอย่างหยอกเย้าว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรในยามนี้ ระดับจิตใจแย่เพียงนี้แล้วหรือ หญิงสาวแล้วอย่างไร เดินมาในมรรคาของผู้บำเพ็ญเพียร ยังคิดว่าบุรุษและสตรีแตกต่างกันอีก น่าขันเสียจริง น่าถอนใจ!”
หญิงสาวค้อนใส่บุรุษชุดม่วงแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างมีโทสะ “ทำไม ผู้บำเพ็ญเพียรไม่แยกบุรุษสตรีหรือ บุรุษกับสตรีก็ไม่แตกต่างกันหรือ เช่นนั้นหากข้าไปถอดอาภรณ์ต่อหน้าบุรุษอื่น เจ้าก็อย่าโกรธแล้วกัน!”
เมื่อได้ยินสตรีกล่าวเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เป็นแค่เสี้ยวจิตวิญญาณ บุรุษสวมชุดสีม่วงกลับเต้นเร่าๆ “หนิงรุ่ย เจ้าเข้าใจความหมายของข้าผิดแล้ว!”
หญิงสาวเชิดคางขึ้น มองเขาอย่างเงียบๆ “เช่นนั้นเจ้าก็พูดมาสิ เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
บุรุษชุดสีม่วงเผชิญหน้ากับหญิงสาวก็ไม่มีสีหน้าราบเรียบไม่สนใจทุกสิ่งอีก เดินเข้ามาเอ่ยอธิบายว่า “ความหมายของข้าคือ บุรุษสตรีปกติแล้วย่อมไม่เหมือนกัน ความไม่เหมือนกันก็คือสิ่งที่ถูกลิขิตขึ้นตั้งแต่เกิด ไม่จำเป็นต้องสังหาร แต่ในการฝึกบำเพ็ญเพียรนั้น ตัวอย่างเช่นนางหนูชุดสีเขียวผู้นี้ แววตาของนางสดใส เห็นได้ชัดว่ารู้ว่าทุกอย่างล้วนเป็นภาพลวงตา หากลงมือก็จะไม่ยั้งมือ แต่กลับไม่สามารถผ่านพ้นอุปสรรคนี้ไปได้ ระดับจิตใจเช่นนี้ ไม่อ่อนแอมากเกินไปหรือ ท่าทางเช่นนี้จะมีอายุยืนยาวได้อย่างไร จะเป็นเซียนได้อย่างไร เป็นได้แค่เรื่องน่าขันเท่านั้น”
หญิงสาวถึงได้เม้มปากฉีกยิ้ม “อธิบายเช่นนี้…ก็พอจะปล่อยเจ้าไปได้ ทว่าเจ้าพูดผิดแล้ว นางหนูชุดสีเขียวผู้นี้ เปลี่ยนใจอีกแล้ว!”
บุรุษชุดสีม่วงมองไปในกำแพงแสง เห็นมั่วชิงเฉินลดมือลงดังคาด คว้ากริชไว้แน่นไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยให้บุรุษกระทำการบนเรือนร่างไป เพียงแต่หลับตาขบคิดอะไรสักอย่าง
หญิงสาวและบุรุษชุดสีม่วงมองภาพในกำแพงแสง แต่กลับไม่เห็นว่าบุรุษชุดสีขาวเปิดไหล่ผมยาวกำลังมองคนในภาพแวบหนึ่งด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ น้ำเสียงแผ่วเบา เอ่ยพึมพำว่า “เท็จเป็นจริง จริงเป็นเท็จ ทำสิ่งที่ไม่มีอยู่ให้เป็นจริง แล้วที่แท้อะไรคือความจริง อะไรเป็นเท็จ อะไรคือของจริง อะไรคือมายากันเล่า”
“หนิงเหอ เจ้ากำลังพูดอะไร” หญิงสาวหันกลับมา
บุรุษสวมชุดสีขาวฉีกยิ้มบางๆ น้ำเสียงอ่อนโยนดังเดิม “ไม่ได้พูดอะไร แค่รู้สึกว่าไม่ได้คึกคักเช่นนี้มานานแล้ว”
ทั้งสามคนล้วนไม่ส่งเสียงอีก มองทุกเรื่องราวกำลังดำเนินอยู่ในกำแพงแสง
“เสร็จหรือยัง ควรถึงตาข้าแล้ว ควรถึงตาข้าแล้ว!” บุรุษหน้าบากกระชากบุรุษที่คร่อมอยู่บนร่างของมั่วชิงเฉินออก พลางกระโจนเข้ามาอย่างอดรนทนรอไม่ไหว
มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น มองท้องฟ้าที่ว่างเปล่า กำกริชในมือแน่นจนบาดมือ โลหิตสดๆ ไหลออกมาแต่ไร้ซึ่งความเจ็บปวด
เพราะเหตุใด ทั้งๆ ที่รู้ว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเพียงภาพลวงตา นางกลับทุกข์ทนเช่นนี้ คิดจะทำลายทุกอย่างให้หมดสิ้น!
ไม่ได้ ไม่อาจสังหารคน หากทำเช่นนี้มรรคาของข้าก็จะถูกทำลายจนหมดสิ้น กลายเป็นมารร้ายแห่งการฆ่าฟัน!
มั่วชิงเฉินใช้ความคิดปลุกปลอบตัวเองไม่หยุด รีบพิสูจน์ว่าหากนางไม่ใช้กริชการตัดสินใจทุกอย่างคือสิ่งที่ถูกต้อง
ภาพลวงตาทุกอย่างนี้เป็นเพียงใจมารเข้ามารบกวน เพื่อฝึกฝนระดับจิตใจของนางเท่านั้น เพื่อปกป้องมรรคาของตนเอง อดทนเช่นนี้เป็นสิ่งที่คุ้มค่า!
ยังมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่แท้จริงแล้วพูดอะไรกันแน่ มั่วชิงเฉินพยายามฟังแต่กลับไม่ได้ยิน
ไม่ การประสบความสำเร็จในมรรคาแห่งเซียนของตนเอง นางไม่มีทางเสียใจภายหลัง และไม่อาจเสียใจในภายหลังได้!
มั่วชิงเฉินกดเสียงที่เดิมก็ได้ยินไม่ชัดเอาไว้
ในที่สุดบุรุษเหล่านั้นก็จากไปด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ มั่วชิงเฉินกลับเหมือนสูญเสียความมีชีวิตชีวา นอนนิ่งอยู่บนพื้นหญ้าไม่ขยับเขยื้อน
ท้องฟ้าสีมืดมนแผ่ตัวลงมา ยาจกสองสามคนเดินเข้ามา เห็นมั่วชิงเฉินก็ตกใจ
“ทำไมถึงมีคนเพิ่มมาอีกคนแล้ว เอ๋ นางได้รับบาดเจ็บ!” เสียงนุ่มนวลของเด็กดังขึ้น เสียงสดใสยังอยู่ในวัยแรกแย้ม ราวกับเด็กผู้หญิงที่นางช่วยเอาไว้หลังจากออกจากที่ราบลุ่มหลิงเฮ่อ
มั่วชิงเฉินหันหน้าไปอย่างช้าๆ มองเด็กหญิงผู้นั้น พยายามฉีกยิ้มน้อยๆ ออกมา
เพียงแต่รอยยิ้มยังไม่ทันได้เผยออกมา ก็เห็นเด็กหญิงผู้นั้นเผยสีหน้ารังเกียจออกมา “นางเลือดไหล ทำที่นอนของข้าสกปรกแล้ว น่ารังเกียจจัง!”
เด็กหญิงตัวน้อย เสียงสดใส ใบหน้ามอมแมม เอ่ยเสียงโอนอ่อนแต่วาจากลับไร้ไมตรี
มั่วชิงเฉินใจหายวาบ
ได้ยินเสียงเด็กผู้ชายสองสามคนเอ่ยแทรกขึ้น “พี่เก้าท่านอย่าโกรธไปเลย พวกเราจะเอานางไปทิ้ง!”
ขณะเอ่ย ยาจกสองสามคนก็ยกมั่วชิงเฉินเดินออกไปจากตรงนั้น แล้วเดินตรงไประยะหนึ่ง โยนนางไว้ที่มุมหนึ่งราวกับโยนสุนัขที่ตายไปแล้วตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
วินาทีนั้น มั่วชิงเฉินเกิดจิตสังหารต่อเด็กผู้ชายคนนี้เป็นครั้งแรก มือกำกริชเอาไว้แน่น
“หนักมาก!” ยาจกน้อยเอ่ยพึมพำ ปัดมือแล้วเดินกลับไป
เด็กผู้ชายที่ดูอ่อนเยาว์ที่สุดคนหนึ่งยังอยู่ที่นั่น มองมั่วชิงเฉินอย่างระมัดระวัง เห็นนางมองมา ก็เผยรอยยิ้มออกมา
จิตสังหารในใจของมั่วชิงเฉินผ่อนคลายลง ช่างเถิด แค่เด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร และยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นเพียงภาพมายาฉากหนึ่ง
“เจ้าสิบ รีบหน่อย ชักช้าอะไร!”
“มาแล้ว!” เด็กชายเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน มือลูบไปที่เอวของมั่วชิงเฉินอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็คว้าถุงเก็บของไป เผยรอยยิ้มสดใส สาวเท้าวิ่งออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองมั่วชิงเฉินสักปราด ปากก็ร้องตะโกนว่า “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านดูสิ ถุงเงิน!”
“ใช้ได้นี่ เจ้าสิบ โชคดีที่มีเจ้าอยู่!” เด็กที่โตหน่อยตบถุงของเจ้าสิบอย่างปลื้มอกปลื้มใจ กลุ่มเด็กยาจกจึงจากไปอย่างยินดี
มั่วชิงเฉินนอนอยู่ตรงมุม ผ่านไปหนึ่งวันและอีกหนึ่งวัน กระทั่งไม่ต่างอะไรกับยาจก กลิ่นเหม็นเน่าโชยมา
เหน็บหนาว หิวโหย เจ็บปวด ทุกความรู้สึกแทบจะบีบบังคับให้นางเสียสติ โดยเฉพาะความรู้สึกหิวนั้นที่ทุกข์ทรมานมาก ราวกับกะเพาะติดไฟ หากไม่กินอะไรนางก็ต้องกินเนื้อของตัวเอง
ถึงอย่างไร ก็ตายไม่ได้อยู่แล้ว
ในร่างของคนสามัญ ความมุ่งมั่นของนางดูเหมือนจะค่อยๆ ถูกแผดเผาไปแล้ว
เสียงที่สามดังขึ้นในจิตใจ อ่อนโยนราวกับเพลงของนางปีศาจกระชากวิญญาณ “หยิบกริชขึ้นมาเถิด ขอแค่ใช้มันแทงออกไป กำจัดสิ่งที่ดูถูกเจ้า สังหารคนหลบหลู่เจ้า เจ้าก็จะได้พละกำลังกลับคืนมา ได้รับอายุขัยยืนยาว…”
“หุบปาก!” มั่วชิงเฉินรีบร้อนตัดบทคำพูดนั้น
นางกลัวว่าหากฟังต่อไป คงจะถูกล่อลวงแล้ว
ที่ผ่านมาก็เอาแต่นอนอยู่ตรงนั้นด้วยอย่างอัปลักษณ์และต่ำต้อยที่สุด มั่วชิงเฉินเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว เกรงว่าตนเองฝึกฝนจนมาถึงตอนนี้ นี่เป็นเคราะห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ตั้งแต่เล็กจนโต ก็ผ่านความยากลำบากมาไม่น้อย แต่ก็มีโอกาสมากมาย กระทั่งเจือจางความยากลำบากเหล่านั้นได้
ไม่ว่าจะเป็นคนอื่น หรือว่าตัวนางเอง ล้วนพูดเช่นนี้ได้ บนมรรคาแห่งเซียน นางเป็นหนึ่งในผู้ที่มีสภาพแวดล้อมเป็นใจคอยอำนวย
ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ และไม่คิดว่าตนเองจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกัน ความรู้สึกที่เหนือกว่าเหล่านั้น ความจริงแล้วมันยังคงอยู่ตลอดเลยสินะ
ดังนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับสภาพเช่นนี้ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษทั่วไปที่มีพลังยุทธ์ต่ำต้อยกว่าตนเองก็ยังทนรับได้มากกว่านางสินะ มั่วชิงเฉินยิ้มเยาะในใจ
“ชิงเฉิน ชิงเฉิน เจ้าลองคิดให้ดี คิดให้ดี!” เสียงที่ฟังไม่ชัดเจนพลันทะลวงผ่านพันธนาการ ดังขึ้นในจิตใจ
“คิดอะไร จะให้ข้าคิดอะไร” มั่วชิงเฉินกุมหัวตัวเองอย่างไม่รู้ตัว
ยามนี้ในหัวของนางมีเสียงอยู่สามเสียง เสียงที่ปรากฏแรกสุด คือเสียงที่ปลุกเร้าให้นางทนต่อไป ยืนหยัดต่อไป รักษามรรคาของตนเอง
จากนั้นก็เป็นเสียงที่ดังขึ้นยามที่นางอยากทำลายพันธนาการนี้
เสียงที่สามคือเสียงที่ลวงล่อให้นางยกกริชขึ้นมา
นางคิดมาตลอดว่าเสียงแรกคือเสียงของตนเอง แต่จนถึงยามนี้ เมื่อนางใคร่ครวญและหัวเราะเยาะตนเองแล้ว ก็รู้สึกแปลกประหลาด เสียงนี้ถึงจะเป็นเสียงที่ดังมาจากก้นบึ้งของจิตใจนาง
อีกสองเสียง เสียงหนึ่งให้นางอดทนต่อไป เสียงหนึ่งให้นางลงมือโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใด เป็นมรรคาที่ตรงกันข้ามอย่างชัดเจน แต่กลับล่อให้นางเดินไปในทางสายมารที่ไม่อาจกลับตัวได้!
อดทนเป็นสิ่งที่ผิด ลงมือก็เป็นสิ่งที่ผิด เช่นนั้นทำอย่างไรถึงจะถูก ข้าต้องคิดอย่างไร!
มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าหัวกำลังจะระเบิด
ไม่รู้ว่าผู้ใด โยนหมั่นโถวมาตรงหน้าของนาง
ชั่วพริบตาความรู้สึกหิวก็ฝังกลบความคิดทั้งหมดไป มั่วชิงเฉินอาศัยแรงกายคว้าหมั่นโถวนั้นไว้อย่างรวดเร็ว แล้วยัดเข้าปาก
หมั่นโถวยังไม่ทันถึงปาก เงาสีเหลืองสายหนึ่งก็กระโจนเข้ามา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
หมั่นโถวในมือหายไปแล้ว สุนัขสีเหลืองตัวหนึ่งนั่งกินหมั่นโถวอยู่ไม่ไกลนัก กินไปพลางเหลือบมองมั่วชิงเฉินไปพลาง
เห็นนางมองมา ก็แยกเขี้ยวส่งเสียงขู่เตือน
ชั่วพริบตาไฟแห่งความโกรธเกรี้ยวที่ทรวงอกของมั่วชิงเฉินก็ถูกแผดเผา
ยายเจ้าสิ ข้าทนมาตั้งนาน สุนัขตัวหนึ่งกลับมารังควานข้า ไม่อาจสังหารคน แล้วจะสังหารสุนัขไม่ได้อย่างนั้นหรือ!
ไม่รู้ว่าพละกำลังมาจากไหน ชูกริชขึ้นกระโจนเข้ามา
“สุนัขเองก็มีชีวิตนะ ในแดนมายานี้ บางทีอาจจะสังหารสิ่งมีชีวิตใดๆ ไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้นล้วนจะต้องตกอยู่ในมรรคาแห่งการสังหาร” เสียงที่หนึ่งดังขึ้น
“แล้วอย่างไร” มั่วชิงเฉินเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“ยืนหยัดต่อเถิด เจ้ายืนหยัดมานานเพียงนี้ ไม่อาจทำลายสิ่งที่ผ่านมาได้”
“หุบปาก!” มั่วชิงเฉินกัดฟัน ใช้กริชแทงไปที่สุนัขสีเหลือง
“ใช่ ใช่ อย่างนั้นแหละ ยกกริชขึ้นแทงออกไป!” เสียงที่สามดังขึ้น
มั่วชิงเฉินชักกริชกลับมาทันที หอบหายใจอย่างหนักหน่วง
สองทางเลือกที่ตรงกันข้าม ตกลงอะไรคือที่ถูกต้อง เหตุใดไม่ว่าจะเลือกอย่างไร นางก็รู้สึกว่าผิดทั้งหมด!
ความเจ็บปวดส่งมา ก้มหน้าลง มองสุนัขสีเหลืองตัวนั้นกัดขาของนาง ยิ่งออกแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
“เดรัจฉาน เหตุใดจึงกล้าทำร้ายคน!” เสียงแหบพร่าดังมา
ไม้เท้าร่วงลงมา ตีสุนัขสีเหลืองที่กระโดดหลบแล้วหนีไป
มือใหญ่อันอบอุ่นและแห้งกร้านตกลงมาบนศีรษะของมั่วชิงเฉิน ลูบไล้อย่างอ่อนโยน เป็นเพราะแห้งกร้านจึงเต็มไปด้วยความหยาบกระด้าง “นางหนู เจ้าไม่เป็นไรกระมัง”
มั่วชิงเฉินกดแผลที่ไม่โลหิตไหลรินออกมาแล้วพยักหน้าช้าๆ ใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างหาที่เปรียบมิได้เข้ามาสู่ครรลองสายตา
ชายชราผมขาว ดวงตาเต็มไปด้วยความเมตตาจนทำให้นางตื้นตัน หยาดน้ำตาใสๆ ไหลลงมา “ท่านปู่…”