พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 640 ทลายมรรคาแห่งการสังหาร
มั่วต้าเหนียนก้มตัวลงมาประคองมั่วชิงเฉิน “นางหนู กลับบ้านกับปู่เถิด”
มั่วชิงเฉินมองใบหน้าของมั่วต้าเหนียนด้วยความละโมบ แล้วพยักหน้าอย่างว่าง่าย
ต่อให้ทุกอย่างเป็นแค่ภาพมายา นางก็รู้สึกอบอุ่นใจ ดีใจจนแทบจะโผทะยานแล้ว
หากกล่าวว่าเข้ามาในนี้ แม้ว่าเรื่องราวที่ประสบจะเป็นแค่ภาพมายา แต่กลับให้ความรู้สึกเจ็บปวดเสมือนจริง เช่นนั้นการพบท่านปู่ กลับบ้านกับท่านปู่ ภาพมายาเช่นนี้ จะไม่มีความสุขได้อย่างไร
มั่วชิงเฉินผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เดินคลอเคลียไปกับมั่วต้าเหนียน แต่กลับไม่ทราบว่าเสียงที่สมจริงที่สุดที่กดเอาไว้ในก้นบึ้งของจิตใจดูเหมือนจะมีกำลังขึ้น มันกำลังร้องเพลงด้วยความยินดี
ลานบ้านอันคุ้นเคย เก้าอี้โยกคู่หนึ่งที่อยู่ใต้ต้นไม้ชราถูกสายลมพัดเอื่อย พัดจนสั่นไหวๆ กลีบบุปผาร่วงลงพื้นดิน
มั่วชิงเฉินอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จ ก็เปลี่ยนไปสวมชุดสะอาดสะอ้านที่มั่วต้าเหนียนเตรียมไว้ให้นาง ปู่หลานสองคนกำลังนั่งพูดคุยดื่มสุรากันอยู่บนเก้าอี้โยก
ช่วงเวลาอันเงียบสงบๆ ค่อยๆ ไหลผ่านไป จิตสังหารที่แทบจะควบคุมไม่ไหวซึ่งถูกกดไว้ในจิตใจ ค่อยเจือจางไป
ราวกับความยากลำบากก่อนหน้า ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นอกกำแพงแสง สามคนบนเรือสำเภาน้อยล้วนถูกดึงดูดความสนใจไป
หญิงสาวกำลังหัวเราะคิกคัก “นางหนูชุดเขียวผู้นี้ ช่างน่าสนใจนัก คาดไม่ถึงว่าจะใช้การมองโลกในแง่ดีมาเปลี่ยนภาพมายาสังหารที่หนิงเหอสร้างขึ้นเป็นฉากแห่งความสุข”
บุรุษสวมชุดสีม่วงฉีกยิ้มอย่างไร้ความรู้สึก “เช่นนั้นแล้วอย่างไร ไม่เดินในมรรคาแห่งการสังหาร ไม่ว่าอย่างไรก็ออกจากมรรคาแห่งการสังหารไม่ได้”
หญิงสาวหัวเราะคิกคัก “เซียวหย่วน คนเขาไม่ชอบมรรคาแห่งการสังหารของเจ้านะ!”
จะว่าไปแล้ว พวกเขาทั้งสามคนก็ทิ้งมรรคาแห่งการสืบทอดไว้มากมายนับร้อยสายในกำแพงถ่ายทอดนี้ มรรคาแต่ละมรรคาล้วนไม่เหมือนกัน มีเพียงสามทางที่เป็นมรรคาของพวกเขาเอง ทางที่เหลือเป็นเพียงทางที่สร้างขึ้นจากประสบการณ์อันเฟื่องฟูของเซียนสันโดษเท่านั้น
แน่นอนว่า หากมรรคาเหล่านี้เป็นการถ่ายทอดของผู้บำเพ็ญเพียรในยามนี้ ก็เพียงพอจะทำให้พวกเขาปีติยินดี เพียงแต่เมื่อเทียบกับสามทางแล้วกลับด้อยกว่าไม่น้อย
มรรคาสังหารที่มั่วชิงเฉินประสบนั้น ก็เป็นหนึ่งในสามมรรคานั้น
จะว่าไปแล้ว ความจริงแล้วก็เป็นความโชคดีอย่างมาก
บุรุษสวมชุดสีม่วงหัวเราะร่า “นั่นเพราะนางตาไร้แวว ก็ขอให้มีความสุขจนตายในอาณาเขตสังหารแล้วกัน!”
“ไม่จำเป็น” บุุรุษสวมชุดสีขาวที่ไม่เคยออกเสียงเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ
ที่เหลืออีกสองคนมองไป
“หนิงเหอ เจ้าหมายความว่าอย่างไร” บุรุษชุดสีม่วงเอ่ยถาม
บุรุษชุดสีขาวมีสีหน้าอ่อนโยนขณะมองไปยังกำแพงแสง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ “พวกเจ้าอย่าลืมสิ มรรคาสามารถสวนกลับได้”
สตรีแววตาเปล่งประกาย “ไม่มีทางหรอก นางหนูชุดเขียวผู้นั้นทำได้หรือ”
บุรุษชุดสีม่วงมีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยทีละคำๆ ว่า “หนิงเหอ เจ้ากำลังดูถูกข้าหรือ”
ความจริงแล้ว กำแพงถ่ายทอดที่ผู้บำเพ็ญเพียรผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณทิ้งเอาไว้ จะทิ้งเอาไว้แค่มรรคาและประสบการณ์ของตนเอง ไม่ได้มีมรรคาอื่น
เช่นนั้น เมื่อศิษย์ชนรุ่นหลังเข้ามาในกำแพงถ่ายทอด ก็จะได้เรียนรู้ประสบการณ์เหล่านั้นโดยไม่กระทบต่อมรรคาของตนเอง
แต่หากวางมรรคาไว้ อยากทะลวงมรรคาจนได้รับประสบการณ์จากการถ่ายทอด ก็มีเพียงสองทางให้เดินแล้ว
ไม่ทลายมรรคาของตนเอง แล้วเดินไปตามมรรคาในนั้น ก็ต้องกดมรรคานั้นไว้ แล้วเป็นฝ่ายทลายมรรคานั้นเอง
เพราะว่าผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ที่เข้ามาในกำแพงถ่ายทอดมีพลังยุทธ์ไม่สูงนัก สถานการณ์หลังจึงแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
สาเหตุที่อาณาเขตเซียนในกำแพงถ่ายทอดถูกวางมรรคาเอาไว้ ก็เพราะว่ายามที่เวินหนิงหรุ่ยสามคนจากไปนั้น ไม่อยากให้คนภายนอกเข้ามายังสถานที่ลับของทั้งสามคน นับว่าเป็นคำเตือนเล็กๆ
เพียงแต่ตอนนั้นมีมรรคานับร้อย อานุภาพของมรรคาทั้งหมดที่พวกเขาวางไว้ก็สู้หนึ่งในสิบส่วนของมรรคาที่แท้จริงไม่ได้ มรรคาอื่นๆ ก็อ่อนแอยิ่งกว่า
จะว่าไปแล้วก็เป็นแค่การเตือนคนภายนอกเท่านั้น หลังจากได้รับความทุกข์ทรมานแล้ว ขอแค่จิตใจยืนหยัดหนักแน่นเพียงพอ ก็ทะลวงออกมาได้แล้ว
เพียงแต่โลกนี้ยากจะคาดเดา พันหมื่นปีต่อมา อาณาเขตเซียนไม่เคยถูกคนภายนอกบุกเข้ามา กำแพงถ่ายทอดปิดอยู่ตลอด ลำแสงวิญญาณไม่รั่วไหลไป จิตวิญญาณของพวกเขาสามคนที่ทิ้งเอาไว้แม้ว่าจะยังมีรูปร่างและพูดจาเช่นพวกเขา แต่กลับค่อยๆ มีความคิดอื่นเกิดขึ้น
จิตวิญญาณสามดวงนี้ ทำให้อานุภาพของมรรคาแข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะสามมรรคาในนั้น!
หญิงสาวดึงบุรุษชุดสีม่วงมาปลอบใจ แล้วเอ่ยกับบุรุษชุดขาวว่า “หนิงเหอ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยพูดจาซี้ซั้ว แต่ข้าไม่เข้าใจอยู่บาง หากบอกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตสี่คนนั้น พวกเขาเข้าไปในแดนเสมือนจริง อานุภาพก็จะถูกจำกัดเอาไว้ และอาจจะทะลวงออกมาได้ แต่หากพวกเขาสองคนอยากทะลวงออกมา ก็ยากจริงๆ โดยเฉพาะนางหนูชุดสีเขียว ท่าทางของนาง หรือว่าไม่ได้ยอมแพ้ไปแล้ว”
หญิงสาวมองไปยังฉากทั้งหก สุดท้ายก็ชี้ไปสองจุด นั่นก็คือมั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวน!
“หนิงหรุ่ย เซียวหย่วน ไม่ต้องเถียงกันแล้ว พวกเราก็รอดูเป็นอย่างไร” บุรุษสวมชุดสีขาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
หญิงสาวแลบลิ้นออกมา “หนิงเหอ เจ้าว่า หกคนนี้ผู้ใดจะทะลวงมรรคาได้”
หากไม่ทะลวงมรรคาออกมา คิดดูแล้วก็มีเพียงต้องยอมละทิ้งมรรคาของตนเองแล้ว
เดินทางเดียวกับผู้บำเพ็ญเพียรผู้ยิ่งใหญ่ที่ทิ้งมรรคาเอาไว้ เรียนรู้ประสบการณ์ความรู้สึกของผู้บำเพ็ญเพียรมากความสามารถ ดูเหมือนจะมีประโยชน์ไร้ขีดจำกัด แต่ถึงอย่างไรเสียมรรคาสายนี้ก็ไม่เหมือนกับมรรคาในตอนแรก มรรคาแห่งเซียนเดินได้ไว แต่สุดท้ายกลับเดินได้ไม่ไกลนัก
เซียนสันโดษอย่างพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้เทียมทานในแดนมนุษย์ในสมัยโบราณ จึงมองเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจนที่สุด
ขณะเอ่ยก็หันไปมองภาพของเยี่ยเทียนหยวนอีกด้าน น้ำเสียงลังเลเล็กน้อย “ส่วนบุรุษผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้น ข้าดูไม่ออก”
บุรุษสวมชุดสีม่วงเลิกคิ้ว ฉีกยิ้มอย่างหาได้ยาก “หนิงเหอ เช่นนั้นพวกเรามาพนันกันเป็นอย่างไร ข้าพนันว่านางหนูนี่จะทะลวงออกมาได้ หึ ผู้ใดให้นี่เป็นมรรคาของเจ้าเล่า!”
บุรุษชุดสีขาวฉีกยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “พนันอะไร”
“หากข้าชนะ เจ้าจะต้องเอาเคล็ดวิชายอดรักนั่นของเจ้าไปถ่ายทอดให้เจ้าเด็กนั้น หากเจ้าชนะ…” เอ่ยมาถึงตรงนี้บุรุษชุดสีม่วงก็หยุดชะงัก แล้วเอ่ยต่อว่า “ข้าจะมอบเคียวแห่งการสังหารให้นางหนูผู้นั้น”
“ได้” บุรุษสวมชุดสีขาวพยักหน้าตอบตกลง
หญิงสาวเบะปาก “พวกเจ้าสองคนช่างโง่เขลานัก เหตุใดไม่ว่าผู้ใดชนะ ก็เอาแต่เอาเปรียบผู้อื่น”
บุรุษสองคนเผยแววตาเหมือนกันออกมาอย่างหาได้ยาก แล้วมองหญิงสาวอย่างอ่อนโยน
เดิมพวกเขาก็เป็นจิตวิญญาณที่ไร้รากฐาน บังเอิญมีจิตวิญญาณของตนเองขึ้นมา หากมรรคาของตนเองถูกทะลวง เช่นนั้นก็จะกลายเป็นจิตวิญญาณธรรมดาๆ อย่างรวดเร็ว
คนก็ยังเป็นคนผู้นั้น เอ่ยวาจาจัดการเรื่องราวเช่นเดียวกัน แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่พวกเขา ของที่ทิ้งเอาไว้เหล่านั้นมีประโยชน์อะไร ไม่สู้ให้ผู้ที่สืบทอดนำออกไป สำแดงอิทธิฤทธิ์อันรุ่งโรจน์อีกครั้งดีกว่า
หนิงหรุ่ย หลังจากนี้ไปอีกยาวนาน เจ้าจะไม่เหงาหรือ
“เจ้าโง่ทั้งสอง” หญิงสาวฉีกยิ้ม หลุบเปลือกตาลงซ่อนความมืดมน
มั่วชิงเฉินคิดว่าความสงบสุขและวันเวลาที่มีความสุขนี้จะดำรงอยู่ตลอดไป จนถึงยามที่นางเข้าใจว่าควรจะทำอย่างไรกันแน่
นางกลับไม่ท้อถอย เพราะเสียงทั้งสามไม่ดังขึ้นอีก จิตใจของนางสงบสุขและชัดเจนขึ้นกว่าเดิม มีลางสังหณ์ปรากฏขึ้นรางๆ วันเวลาที่จะเข้าใจอยู่อีกไม่ไกลนัก
แต่เวลาไม่ปล่อยให้นางได้ค่อยๆ ขบคิด แม้กระทั่งไม่ได้ปล่อยให้นางได้เตรียมใจบอกลากท่านปู่
วันนั้นขณะกำลังซื้อสุราบนถนนกับท่านปู่ ก็พบกับบุรุษสองสามคน สายตาที่มองนาง สองคนในนั้นก็คือกลุ่มคนที่พบในตอนแรก
ไม่แปลกใจเลย บุรุษเหล่านั้นเข้ามาล้อมนางเอาไว้ แล้วลากไปหมายจะเอาเปรียบ แม้กระทั่งยังกล่าวว่ารอให้เสพสมเสร็จแล้วจะไปขายที่หอนางโลม แลกเป็นเงิน
เสียงที่ขัดแย้งกันสองเสียงดังขึ้น มั่วชิงเฉินกำกริชเอาไว้แน่น ได้ยินเสียงหนึ่งปลุกปลอบนาง “อย่าร้อนรน ค่อยๆ คิด เจ้าจะต้องเข้าใจ”
มือที่กุมกริชอยู่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ กริชเปียกชื้นจนแทบจะตกลงมา มั่วชิงเฉินปล่อยให้บุรุษเหล่านั้นลากนางออกไป แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ห้ามร้อนรน ห้ามร้อนรน
เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งพลันส่งมา ตามมาด้วยเสียงตวาดของบุรุษที่มีหนวดเคราเต็มหน้า “ไอ้แก่ ไม่อยากมีชีวิตรอดแล้วสินะ”
ขณะเอ่ยก็ยกขาขึ้น ถีบไปทางมั่วต้าเนียนที่ล้มอยู่บนพื้น
มั่วชิงเฉินลงมืออย่างรวดเร็ว กริชมีโลหิตอาบย้อม ขาของบุรุษถูกตัดออกอย่างรวดเร็ว ขาข้างนั้นกระเด็นออกไป
บนถนนเกิดความวุ่นวายขึ้น บุรุษเหล่านั้นดึงคนออกมา พุ่งเข้ามาหามั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินตาแดงก่ำ สะบัดกริชอย่างต่อเนื่อง ตัดไปที่คอของพวกเขาอย่างแม่นยำ
ศีรษะของแต่ละคนบินขึ้นไป ร่างไร้หัวร่วงลงกับพื้น โลหิตสดๆ ทะลักออกมา
โลหิตสดๆ ดูเหมือนจะไหลออกมาไม่หยุด ไม่นานโลหิตก็ไหลออกมาเป็นสายธาร
เหล่าผู้คนบนท้องถนนวิ่งไปพร้อมกรีดร้องเสียงดัง “สังหารนาง นางคือมารที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา!”
เอ่ยไปพลางยกอาวุธที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากที่ใดขึ้น ดาหน้ากันเข้ามาหามั่วชิงเฉิน
“อย่าทำร้ายนางหนู อย่าทำร้ายนางหนู…” มั่วต้าเหนียนกอดขาคนหนึ่งเอาไว้
คนผู้นั้นชูกระบองขึ้น ฟาดลงมาที่ศีรษะของมั่วต้าเหนียนอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
กริชของมั่วชิงเฉินบินออกไป จมหายเข้าไปในทรวงอกของคนผู้นั้น มือตวัดรีบกริชกลับมา ประคองมั่วต้าเหนียนแล้วขวางอยู่ด้านหน้าเขา
ผู้คนกระโจนเข้ามาอย่างไม่คิดถึงชีวิต มั่วชิงเฉินไม่ปรานีอีก ผู้ใดเข้ามาก็ใช้กริชปลิดชีวิตผู้นั้น เหมือนยมทูต ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ
การสังหารหมู่เช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คนตื่นเต้นจริงๆ
บุรุษสวมชุดสีม่วงมองเห็นฉากนี้ก็หัวเราะอย่างพึงพอใจ “หนิงเหอ เจ้าแพ้แล้ว”
บุรุษสวมชุดสีขาวไม่ได้ส่งเสียง แค่หัวเราะออกมา
บนพื้นมีซากศพกองพะเนินมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจ “สังหารเถิด สังหารเถิด ขอแค่สังหารถึงจะทำให้เจ้าเติบโตได้ ได้รับการถ่ายทอดที่ยอดเยี่ยมที่สุด”
“อย่า…สังหาร หากเจ้าสังหารต่อไป มรรคาในใจจะพังทลาย…”
“พวกเจ้าสองคน หุบปาก สังหารไม่สังหาร ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะตัดสินได้ ข้าถึงจะเป็นผู้ตัดสิน!” มั่วชิงเฉินฉีกยิ้มอย่างแปลกประหลาด สะบัดกริชอย่างรวดเร็ว โลหิตสาดกระเซ็น
ครั้งนี้ กริชไม่ได้บินกลับมาอีก แต่กลับพุ่งไปกลางอากาศ ทิ่มแทงความว่างเปล่า
จากนั้น ฟ้าดินที่นี่ เมืองแห่งนี้ ซากศพกองเต็มพื้น และคนที่ทะลักเข้ามาราวกับสายธาร ยังมีมั่วต้าเหนียนที่มีสีหน้ากังวล กลายเป็นดวงแสงตรงหน้า แล้วสลายหายไป
สภาพภูมิทัศน์เปลี่ยนแปลงไป มั่วชิงเฉินมาถึงคุกโลหิตแห่งหนึ่ง มือถือเคียวพยายามดิ้นรนให้มีชีวิตรอดอยู่ตรงนั้น
หลอมลมปราณ สร้างรากฐาน ก่อแก่นปราณ ก่อกำเนิด ถอดดวงจิต แยกวิญญาณ ทั้งหกระดับใช้เวลาแค่หกสิบปีในการเรียนรู้ แม้กระทั่งระดับผสานร่างนางยังก็สัมผัสไปได้ครึ่งหนึ่ง
ระดับผสานร่าง เหนือกว่าพลังยุทธ์ที่แท้จริงของนาง เพิ่งจะสัมผัสได้ลำแสงเบื้องหน้าก็สว่างวาบ พลันถอยออกมาอย่างรวดเร็ว
มั่วชิงเฉินยืนอยู่ริมธาร มองทั้งสามคนบนสำเภาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ