พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 643-2 ทะเลขั้วโลกเหนือ
ตั้งแต่เรียนรู้เคล็ดวิชาควบทองจากตำราลับของเหิงตั๋วเจินจวิน ศรทองแหลมคมที่บ่มเพาะไว้กลางสระทองในร่างก็แหลมคมขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังเชื่อมโยงกับจิตใจของนางได้แนบแน่นขึ้น
บวกกับศรน้ำแข็งยะเยือกที่เผาไหม้จากความหนาวเย็นของเปลวน้ำแข็งเหมันต์ ศรไม้ท้อที่ทำจากไม้ท้อต่างชนิดกันอายุมากกว่าแสนปี ศรทั้งสามพุ่งออกพร้อมกัน อานุภาพไร้เทียมทาน
ในยามปกติ อาจไม่สามารถทำอะไรหลิงเฮ่อเจินจุนได้ แต่ในยามคับขันเช่นนี้ กลับมีบทบาทสำคัญ
ขณะที่หลิงเฮ่อเจินจุนหลบศรขนนกสามดอก ก็เกือบถูกอิทธิฤทธิ์ของซีอวิ๋นเจินจุนจู่โจม จึงเดือดดาล พลันโบกมือ เสียงใสๆ ของนกกระเรียนดังขึ้น นกกระเรียนสีขาวตัวหนึ่งกางปีกออก แล้วบินเข้าหามั่วชิงเฉิน
กระเรียนขาวตัวนี้รูปร่างงดงาม แต่ดวงตากับจะงอยปากกลับเป็นสีแดงโลหิต เคลื่อนไหวรวดเร็วสุดจะเปรียบ
เนื่องจากเกรงกลัวเคล็ดวิชาลวงตาอันยอดเยี่ยมของหลิงเฮ่อเจินจุน มั่วชิงเฉินจึงไม่กล้าปลดปล่อยประสาทสัมผัสทั้งห้าให้ดำดิ่งไปกับวิถีแห่งการฆ่าฟัน ก้อนอิฐที่ใช้จนเคยชินจึงปรากฏและขว้างออกในพริบตา
เสียงกระเรียนร้อง กระเรียนขาวชนถูกก้อนอิฐ ดวงตาพลันเห็นดวงดาวสีทอง
มั่วชิงเฉินแบนิ้วทั้งสิบออก เส้นไหมสีเงินขนาดเท่านิ้วก้อยพุ่งออก มัดร่างกระเรียนขาวไว้แน่น
เส้นไหมสีเงินนี้ เกิดจากไข่มุกบุปผาชนิดหนึ่งที่นางกินเข้าไปขณะอยู่ในแดนสวรรค์มี่หลัวตู แม้ไม่ใช่วัตถุวิญญาณสายจู่โจม แต่กลับช่วยสนับสนุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พอเห็นไหมเงินมัดกระเรียนขาว มั่วชิงเฉินก็ใช้สองมือดึง กระเรียนขาวส่งเสียงร้องโหยหวน ร่างพลันแหลกสลาย กลายเป็นแสงวิญญาณดวงเล็กๆ
ต่อด้วยการวาดมือ ขึ้นสายคันธนู ท่วงท่าดุจเมฆลอยน้ำไหล ศรขนนกที่ควบแน่นจากพลังบริสุทธิ์ดอกแล้วดอกเล่าพุ่งออก จู่โจมใส่หลิงเฮ่อเจินจุนดุจห่าฝน
ขณะเดียวกัน ปทุมหยกอริยะหอมก็ถูกเสกตามมาติดๆ เปล่งประกายแสงสีเขียวลอยเข้าหาซีอวิ๋นเจินจุน
ภายใต้แสงสีเขียวปกคลุม อานุภาพคาถาจู่โจมของซีอวิ๋นเจินจุนพลันเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน
ซึ่งหนึ่งส่วนนี้ ได้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ใช้กำราบหลิงเฮ่อเจินจุน จากนั้นซีอวิ๋นเจินจุนก็ควบแน่นเมฆที่ลอยอยู่บนฟ้าให้กลายเป็นกระบี่คมกริบ แทงใส่ท้องหลิงเฮ่อเจินจุน
โลหิตสดๆ พ่นออกจากปากของหลิงเฮ่อเจินจุน เขาก้าวถอยหลังติดต่อกัน
ซีอวิ๋นเจินจุนไหนเลยจะยอมปล่อยโอกาสที่พันปีจะมีสักครั้งนี้ไป จึงปล่อยแสงสีขาวออกจากนิ้วชี้ แสงสีขาวแม้เส้นเล็ก แต่กลับควบแน่นจากพลังอันน่าทึ่ง พุ่งมาอยู่ตรงหน้าหลิงเฮ่อเจินจุนและทะลุผ่านลำคอของเขาในพริบตา
หลิงเฮ่อเจินจุนยืนนิ่งอยู่กับที่พักใหญ่ ค่อยพ่นศรโลหิตสายหนึ่งออกมา ก่อนหนีไปพร้อมกับแสงวิญญาณกลุ่มหนึ่ง
“คิดหนีหรือ” ซีอวิ๋นเจินจุนยิ้มเย็นชา แล้วไล่ตามไปทันที
เมื่อร่างหลิงเฮ่อเจินจุนตาย ภาพลวงตาก็สลายทันที ผู้บำเพ็ญเพียรที่ต่อสู้กันอย่างสะเปะสะปะได้สติ หยุดมือลง
ขณะที่สามีภรรยาฉางอวี้ได้ต่อสู้กับเยี่ยเทียนหยวนจนยากอธิบาย ยากปลีกตัวออก ต่างฝ่ายต่างสูญเสียพละกำลังไปมาก
เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่หยุดมือลง พอเห็นสามีภรรยาฉางอวี้ก็พลันตาแดง พากันเรียกของวิเศษในมือ ร่ายคาถาแล้วเขวี้ยงใส่คนทั้งสอง
สงสารสามีภรรยาฉางอวี้ที่สู้กับเยี่ยเทียนหยวนอย่างดุเดือดมาครึ่งค่อนวัน ไม่ทันกระทั่งเปล่งเสียงเบื่อหน่ายออก ร่างก็ถูกคาถาของวิเศษทั่วฟ้าจู่โจมจนแหลกละเอียด โดยที่ทารกปราณก็ยังมิได้หนีออกมาเช่นกัน
สักพัก ซีอวิ๋นเจินจุนก็กลับมา ในมือจับจิตดั้งเดิมที่กำลังดิ้นรนไว้ พลางกวาดตามองกลุ่มคน สุดท้ายสายตาก็มาหยุดอยู่ที่พวกมั่วชิงเฉิน ยิ้มเล็กน้อยพลางผงกศีรษะ “ลั่วหยาง ชิงเฉิน ครั้งนี้โชคดีที่ได้พวกเจ้าช่วยไว้”
“เจินจุนชมเกินไปแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนกับมั่วชิงเฉินตอบพร้อมกัน
ซีอวิ๋นเจินจุนยิ้มหึๆ มองมั่วชิงเฉินพลางว่า “ชิงเฉิน วิชาภาพลวงตาของหลิงเฮ่อเจินจุนไปถึงขั้นสุดของการแปลงอาณาเขตแล้ว แม้แต่ข้าก็ยังไม่พบจุดบกพร่อง แล้วเจ้าทำได้อย่างไร”
คำพูดนี้พอหลุดออกมา จิตดั้งเดิมที่ดิ้นรนไม่หยุดพลันเงยหน้าขึ้น จ้องมองมั่วชิงเฉินอย่างเคียดแค้น
มั่วชิงเฉินที่ได้ปลดปล่อยสัมผัสทั้งห้า และฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติ ยิ้มพลางว่า “อนุชนมิได้พบจุดบกพร่องในเคล็ดวิชาลวงตาของหลิงเฮ่อเจินจุน ทว่ามิได้ถูกชักจูงให้เข้าสู่อาณาเขตภาพลวงตาแต่แรก”
“เอ๋” ซีอวิ๋นเจินจุนฟังแล้วก็ยิ่งประหลาดใจ
มั่วชิงเฉินจึงอธิบาย “ตอนนั้นอนุชนพบว่าท่าทางของช่านหรานเจินจุนไม่ถูกต้อง จึงตัดสินใจปิดสัมผัสทั้งห้า ทำให้เลี่ยงออกมาได้ ว่าแล้วก็ง่ายมากจริงๆ”
ปิดสัมผัสทั้งห้า เป็นเรื่องที่แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ทำได้ แต่เห็นชัดว่าส่วนที่ยากไม่ใช่สิ่งนี้
ซีอวิ๋นเจินจุนมองมั่วชิงเฉินอย่างลึกซึ้ง ก่อนว่า “ชิงเฉิน เจ้าไม่ได้พูดกับช่านหรานเจินจุนสักประโยค แล้วพบว่าเขามีท่าทางแปลกๆ ได้อย่างไร”
มั่วชิงเฉินแย้มยิ้ม “อนุชนพบจุดบกพร่องของช่านหรานเจินจุน จากคำพูดของเจินจุน”
“หือ”
“ท่านพูดว่า ช่านหรานเจินจุนออกจากกำแพงถ่ายทอดเป็นคนสุดท้าย เรื่องไม่บังเอิญก็คือ ตอนนั้นอนุชนอยู่ในจุดที่สามารถมองเห็นที่ที่พวกเขาอยู่ จึงเห็นกับตาว่าผู้ที่ออกมาเป็นคนสุดท้ายคือหลิงเฮ่อเจินจุน จึงคิดโยงไปถึงเคล็ดวิชาลวงตาที่หลิงเฮ่อเจินจุนชำนาญ ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นในใจ”
เพิ่งพูดจบ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเศร้าๆ จิตดั้งเดิมของหลิงเฮ่อเจินจุนถอนหายใจยาวๆ แล้วว่า “สวรรค์กลั่นแกล้งข้า สวรรค์กลั่นแกล้งข้า!”
ซีอวิ๋นเจินจุนมีสีหน้าเคร่งขรึมลง “ศิษย์น้องช่านหรานเล่า”
จิตดั้งเดิมของหลิงเฮ่อเจินจุนมีท่าทีหัวเราะอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “เจ้าว่าอย่างไรล่ะ”
“เจ้า!” ซีอวิ๋นเจินจุนพลันออกแรงที่มือ กระทั่งเสียงร้องโหยหวน หลิงเฮ่อเจินจุนก็ไม่ทันได้เปล่ง จิตดั้งเดิมพลันสูญสลายเสียแล้ว
จากนั้น พวกมั่วชิงเฉินก็กล่าวคำอำลากับซีอวิ๋นเจินจุน นับว่าได้หลุดพ้นจากวันแห่งการรบราฆ่าฟันไม่หยุดหย่อนหลังจากที่พวกตนเหยียบเข้ามาในจงหลาง จึงอยากหาถ้ำหินในป่าลึก สงบสติอารมณ์สักพัก
“ศิษย์น้อง เราไปหุบเขาไป่กั่วกันไหม”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “เมื่อรู้ว่าที่นั่นอาจมีผลแย่งลิขิต ก็ไปดูสักตั้งเถิด แต่ก่อนไป ข้าอยากให้พวกหมาป่าน้อยลองจำแลงกายดู”
จะว่าไป ทั้งสองก็ตระหนักในขอบเขตของระดับถอดดวงจิตและระดับแยกวิญญาณ ยังมีสูตรการหลอมโอสถสำหรับเตรียมตัวเข้าสู่ระดับถอดดวงจิต อย่างโอสถเซียนกลั่นจิตและส่วนผสมหลักอย่างน้ำค้างเซียนหวน บวกกับสุราเลิศรสที่สามารถบำรุงจิตดั้งเดิมแล้ว ระดับถอดดวงจิต กระทั่งระดับแยกวิญญาณ สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมแบบเมื่อก่อนอีก
ผลแย่งลิขิตสามารถแลกเปลี่ยนกับเคล็ดลับอย่างหนึ่งในการเข้าสู่ระดับแยกวิญญาณ ซึ่งเคล็ดลับนี้ สำหรับมั่วชิงเฉินแล้ว จะมีหรือไม่มีคุณค่า บอกได้ยากจริงๆ
ทว่าการพานพบของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนั้นทำให้ผู้คนทอดถอนใจ ถ้าไม่มีข่าวคราวของผลแย่งลิขิตก็ว่าไปอย่าง แต่เมื่อพบเจอแล้ว ไม่ไปสืบเสาะเสียหน่อย ก็ทนไม่ได้อยู่บ้าง
เยี่ยเทียนหยวนย่อมไม่คัดค้าน มั่วชิงเฉินไตร่ตรองสักพัก ค่อยพลิกมือ กลับนำหุ่นเชิดขนาดสามฉื่อออกมาตัวหนึ่ง
เยี่ยเทียนหยวนมองปราดเดียว ก็จำได้ว่าเป็นหุ่นเชิดถ่ายทอดเสียงที่หลัวอวี้เฉิงมอบให้มั่วชิงเฉิน
“ตั้งแต่ออกมาจากมิติแปรปรวนนั่นก็ติดต่อพวกเขาไม่ได้มาตลอด ข้าจะลองดูอีกครั้ง” มั่วชิงเฉินว่าแล้วก็ใช้เคล็ดวิชาวิญญาณเปิดผนึกหุ่นเชิดถ่ายทอดเสียง
“สหายหลัว สหายหลัว…”
สุดเขตต่างแดนอันไกลโพ้น มีเมืองน้ำแข็งเมืองหนึ่งลอยอยู่กลางทะเล ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ในเมืองสวมชุดขาว และบำเพ็ญเพียรวิทยายุทธ์เกี่ยวกับน้ำและน้ำแข็ง การเดินเหินในเมืองน้ำแข็งที่มีหิมะลอยอยู่ตลอดเวลานั้น ร่างก็แทบจะหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน
มีเพียงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง เดินช้าๆ อยู่เพียงลำพัง ชุดสีดำขับเน้นให้เห็นน้ำแข็งและหิมะ ตามผิวหนังและกล้ามเนื้อ ปลายคิ้วและหางตามีน้ำแข็งเกาะอยู่ สีหน้าดูไปแล้วซีดขาวอยู่บ้าง แต่หญิงสาวไม่น้อยบนถนนแอบพุ่งเป้าสายตามาที่เขา
ทว่าเขากลับไม่รู้สึกรู้สาแม้แต่น้อย ดูๆ ไปมีท่าทางเกียจคร้านอยู่บ้าง ราวกับไม่ใส่ใจในทุกๆ เรื่อง
เดินไปๆ ก็ชะงักฝีเท้า ล้วงหุ่นเชิดขนาดสามฉื่อออกจากอกเสื้อ แล้วจึงเปิดผนึกมันตามจิตใต้สำนึก
พริบตาที่เปิดผนึก ด้านในก็มีเสียงหญิงสาวที่คุ้นเคยเป็นพิเศษดังมา ชายหนุ่มอึ้งไปสักพัก ก่อนจ้องหุ่นเชิดเขม็งพลางทำท่าคาดเดาไม่ถูก
ด้านมั่วชิงเฉิน เมื่อตะโกนเรียกอยู่หลายรอบ แล้วหุ่นเชิดถ่ายทอดเสียงเงียบฉี่ตลอด ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เริ่มกังวลใจเกี่ยวกับพวกหลัวอวี้เฉิง
พอได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ดังขาดๆ หายๆ หลัวอวี้เฉิงก็ยิ้มมุมปาก จับหุ่นเชิดไว้แน่น
เมื่อมั่วชิงเฉินเห็นว่ายังคงติดต่อไม่ได้ ขณะตัดสินใจปิดผนึกหุ่นเชิดถ่ายทอดเสียง ก็ได้ยินเสียงดุๆ ดังมา “มั่วชิงเฉิน ถ้าเจ้ากล้าปิดหุ่นเชิด เจอกันเมื่อไหร่ ข้าฆ่าเจ้าแน่!”
มั่วชิงเฉินตกใจจนมือสั่น เกือบทำหุ่นเชิดถ่ายทอดเสียงหล่น มุมปากกระตุก “สหายหลัว ไม่ได้เจอกันหลายปี เราอย่าพูดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้ไหม เจ้าเอาชนะข้าได้เมื่อไหร่กัน”
หลัวอวี้เฉิงที่อยู่อีกด้านยกมือขึ้น คิดปาหุ่นเชิดถ่ายทอดเสียงลงบนพื้น แต่ก็นึกเสียดายอยู่ จึงกัดฟันพูด “เจ้าอยู่ที่ไหนกันแน่!”
พอฟังออกว่าเขากำลังกระฟัดกระเฟียด มั่วชิงเฉินกลับวางใจลง แล้วว่า “ข้ากับศิษย์พี่อยู่ที่จงหลาง” จากนั้นก็บอกตำแหน่งให้ฟังคร่าวๆ ก่อนถาม “พวกพี่เก้าอยู่กับเจ้าหรือเปล่า”
“ไม่อยู่ ข้าอยู่ทะเลขั้วโลกเหนือ พวกเจ้ารอข้าอยู่ตรงนั้นแหละ ข้าจะไปหาพวกเจ้าเดี๋ยวนี้”
“จากที่นั่นมาที่นี่ใช้เวลานานแค่ไหน” ได้ยินหลัวอวี้เฉิงพูดเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็ตกใจ
จงหลางใหญ่กว่าทวีปแห่งเทพมาก ทะเลที่ล้อมรอบมันก็กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา ทะเลขั้วโลกเหนือจึงอยู่ไกลจากที่นี่มาก
“ไม่ต้องพูดเหลวไหลแล้ว นานแค่ไหนเจ้าก็รออยู่ที่นั่นแหละ ข้าออกเดินทางแล้ว!” หลัวอวี้เฉิงพูดจบก็ตัดการติดต่อทันที ด้านหลังของเขาปรากฏปีกลมขึ้นคู่หนึ่ง บินไปยังที่ที่ไกลแสนไกล
“ปากจัด นิสัยเสีย” มั่วชิงเฉินพึมพำออกมา
แต่พอคิดว่า ยังไม่ได้ข่าวคราวของพวกมั่วเฟยเยียนเลย ความดีใจที่เพิ่งเกิดก็ดับวูบลงกว่าครึ่ง จึงหยิบขวดหยกบรรจุผลทารกมาถือไว้ แล้วปล่อยพวกหมาป่าน้อยออกมา