พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 646 โลกมนุษย์ไร้ซึ่งความรัก
“ดูลักษณะเจ้า รีบรุดมาจากที่ไกลโพ้นสินะ แล้วตอนนี้ยังมีแรงสู้กับข้าอีกหรือ” เจ้าปีศาจลั่วเฟิงยิ้มล้อ
หลัวอวี้เฉิงเม้มริมฝีปากแห้งแตก ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “สิ่งเหล่านี้ท่านไม่ต้องกังวลใจไป” แม้พูดเช่นนี้ แต่มือที่อยู่ในแขนเสื้อกลับสั่นเบาๆ
สิบวันสิบคืน จากทะเลขั้วโลกเหนือบินมาถึงที่นี่ เขาใช้เวลาเพียงสิบวันสิบคืน
ความเร็วเช่นนี้ ถ้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตรู้เข้า ล้วนประหลาดใจแน่
สิบวันมานี้ เขาไม่ได้หยุดพักแม้ครึ่งเค่อ พูดได้ว่า มาถึงที่นี่ด้วยร่างกายและจิตใจที่ใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที
แล้วทำไมต้องรีบรุดมาอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้เล่า เขาเองก็ไม่ชัดเจน เพียงคลับคล้ายมีลางสังหรณ์อยู่อย่างว่า ถ้ามาช้า ต้องเสียใจไปชั่วชีวิต
“ครั้งนั้นเจ้าฉวยโอกาสที่ข้ามีจิตวิญญาณไม่มั่นคงและบาดเจ็บ ไล่ล่าไม่ลดละ เกือบทำให้ข้าติดกับ คราวนี้ตาข้าเอาคืนบ้าง”
สีหน้าดุร้ายวาบผ่านใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของเจ้าปีศาจ อำนาจอันน่าตกใจปกคลุมร่างหลัวอวี้เฉิง
เด็กรุ่นใหม่สองสามคนนี้มีพรสวรรค์จริงๆ หกสิบกว่าปีผ่านไป ไม่เพียงเจ้าสองคนนั้นก้าวหน้าไปอีกขั้น เจ้าหมอนี่ยังกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายอีก ดูๆ ไปก็มีวาสนาไม่น้อยกว่าพวกเขา
หลัวอวี้เฉิงยืนประจันหน้ากับเจ้าปีศาจลั่วเฟิง ขวางอยู่ตรงหน้ามั่วชิงเฉิน สายตาบังเอิญกวาดมองไปยังมือที่จับไหล่ซ้ายไว้ตลอดของเจ้าปีศาจ มุมปากพลันยกขึ้น ปีกลมคู่ที่อยู่ด้านหลังพลันปรากฏ ก่อนพุ่งเข้าหาเจ้าปีศาจ
มิน่าเล่าเจ้าปีศาจที่เกลียดเขาเข้ากระดูกดำถึงชักช้าไม่ลงมือเสียที แต่กลับเอ่ยวาจาที่ไร้สาระพวกนี้ ที่แท้ก็บาดเจ็บนั่นเอง!
อีกทั้ง อาการบาดเจ็บต้องไม่เหมาะต่อการรีบเร่งกระตุ้นพละกำลังในร่างกายแน่
ปีศาจลั่วเฟิงประหลาดใจมาก เขานึกไม่ถึงจริงๆ หลัวอวี้เฉิงเดินทางมาไกลเห็นชัดว่ากำลังในร่างไม่เพียงพอ แต่กลับกล้าจู่โจมก่อน
เยี่ยเทียนหยวนดึงแสงอาทิตย์มาเป็นแหล่งกำเนิดอัคคี ผสานกับอิทธิฤทธิ์ จู่โจมอย่างสะท้านฟ้าทีเดียวด้วยฟ้าดินมีรักนั่น ทรงอานุภาพมาก ขนาดผู้มีความสามารถอย่างเขายังหลบไม่พ้น
ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ปราณความร้อนจากไฟที่มีแสงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิด เมื่อเข้ามาในบาดแผล ก็เหมือนม้าพยศที่หลุดจากการควบคุมแล้ววิ่งชนอย่างบ้าคลั่ง ขนาดพลังปีศาจอันยิ่งใหญ่ในตัวเขาก็ยังไม่สามารถกำจัดออกไปได้
ปราณความร้อนสายนั้นแม้เป็นสายเล็กๆ แต่กลับไม่สามารถขจัดออก ถ้าผลีผลามรวบรวมพลังปีศาจ แล้วปราณความร้อนกระจายไปตามเส้นลมปราณ เกรงว่าจะมีปัญหาไม่รู้จบ
ที่เจ้าปีศาจลั่วเฟิงชักช้าไม่เคลื่อนไหวอยู่ครึ่งค่อนวัน เป็นอย่างที่หลัวอวี้เฉิงเดาจริงๆ เขาอยากกำจัดปราณความร้อนออกไปก่อนค่อยเคลื่อนไหว โดยคิดไม่ถึงว่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามมองออกเร็วขนาดนี้
พอเห็นร่างพุ่งเข้ามา เจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็ลอบด่าว่าชั่วช้า และไม่คิดลังเลใจอีก สะบัดแขนเสื้อ จู่โจมออกอย่างแรงที่สุด
เมื่อไม่อาจถ่วงเวลา ก็รีบเผด็จศึกให้จบโดยเร็ว หมอนี่มีทั้งความกล้าและเล่ห์เหลี่ยม ถ้าปล่อยทิ้งไว้ เกรงว่าจะเป็นภัยใหญ่หลวงสุดๆ ในอนาคต!
ปีกลมด้านหลังของหลัวอวี้เฉิงกระพือ ลมปราณแปรผันจากคาถาของฝ่ายตรงข้ามถูกกวาดจนลอยไปด้านหนึ่งดุจควันไฟ โดยไม่ต้องออกแรงแม้แต่น้อย
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงหรี่ตา จ้องปีกลมด้านหลังของหลัวอวี้เฉิงเขม็ง แล้วจู่โจมใส่ติดต่อกันหลายครั้ง
พอเห็นฝ่ายตรงข้ามกระพือปีกในสายลมได้เบาดุจปุยนุ่น โดยไม่มีควันไฟแม้แต่น้อย แสงวิญญาณในสมองก็วาบขึ้น จนหลุดปากออกมาว่า “ปีกปีศาจหิมะ?”
ปีศาจหิมะนี้ มิใช่วิญญาณมีชีวิตจริงๆ และมิใช่วิญญาณอัคคีที่มีพลังบริสุทธิ์ในร่าง แต่เป็นผลึกหิมะน้ำแข็งชั้นเยี่ยมที่สัมผัสกับมนุษย์มาจำนวนมาก พอดูดซับลมหายใจของมนุษย์เข้าไป นานวันเข้าก็ตั้งครรภ์และคลอดวัตถุวิญญาณที่ยากจำแนกประเภทเช่นนี้ออกมา
วัตถุวิญญาณเช่นนี้ ถ้าถูกมนุษย์สยบ จะไม่เหมือนวิญญาณอัคคีที่ยังดำรงอยู่อย่างเอกเทศเช่นนั้น แต่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์บำเพ็ญเพียร และสร้างภาพมายาในรูปแบบที่เหมาะสมกับวิชาและรากวิญญาณของผู้เป็นนายมากที่สุด
ตั้งแต่ออกจากมิติแปรปรวน หลัวอวี้เฉิงก็ตกไปอยู่เมืองน้ำแข็งของทะเลขั้วโลกเหนือ วาสนาช่างบังเอิญ หลังจากสยบปีศาจหิมะ ก็ได้ปีกปีศาจหิมะคู่นี้มา ว่าไปแล้วกลับเป็นวาสนาฟ้าประทานเลยทีเดียว
และเป็นเพราะปีกปีศาจหิมะคู่นี้ ที่ทำให้เขาอยู่ในเมืองน้ำแข็งอันหนาวเหน็บได้ดุจปลากระดี่ได้น้ำ ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรไม่ลด กลับเพิ่ม ระยะเวลาสั้นๆ หกสิบกว่าปีก็กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายแล้ว
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงแม้ถูกอิทธิฤทธิ์ของเยี่ยเทียนหยวนทำร้ายบาดเจ็บ อย่างไรก็เป็นความสามารถของมนุษย์ระดับถอดดวงจิต แต่พอรู้ว่าปีกลมด้านหลังของหลัวอวี้เฉิงเป็นภาพมายาของปีศาจหิมะ จึงตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ไม่สนใจบาดแผล โคจรพลังตลอดทั้งร่าง จู่โจมออกชนิดสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
หลัวอวี้เฉิงอาศัยปีกปีศาจหิมะหลบหลีกจากการจู่โจมของเจ้าปีศาจนับครั้งไม่ถ้วน แต่อย่างไรร่างกายกับจิตใจก็ได้มาถึงขีดสุดแล้ว ระดับบำเพ็ญเพียรยังด้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามหนึ่งขั้นใหญ่ พอเจ้าปีศาจลงมืออย่างโหดเหี้ยม ก็ไม่สามารถพลิกฟ้าได้อีก ถูกจู่โจมถึงตัว พลันเสมือนว่าวสายป่านขาด ร่วงหล่นลงตรงหน้ามั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้นทันที พอเห็นหลัวอวี้เฉิงล้มอยู่ตรงหน้า เนื้อตัวเต็มไปด้วยโลหิต ก็เจ็บปวดใจถึงที่สุด “สหายหลัว รีบไป!”
หลัวอวี้เฉิงฝืนยันกายขึ้น ก่อนยิ้ม “ข้าบอกแล้ว ว่าจะมาหาพวกเจ้า…”
“เจ้ามาหาพวกข้าทำไม พวกข้าจะอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา หรือเจ้าคิดจะมาเป็นมือที่สาม!” มั่วชิงเฉินพูดอย่างไม่รักษาน้ำใจ พลางหลับตาลง
เจ้าปีศาจเดินบีบเข้ามา ศิษย์พี่โชคร้าย ส่วนนางก็ตัดสินใจสู้ตาย เพียงรอให้เคราะห์อัสนีผ่านพ้น ก็จะสู้กับฝ่ายตรงข้ามให้ตายกันไปข้าง กลับนึกไม่ถึงว่าหลัวอวี้เฉิงจะรุดมาเร็วเช่นนี้
ขืนยังเดือดร้อนเขาอีกหนึ่งชีวิต พอไปถึงแดนผี จะเผชิญหน้าเขาได้อย่างไร!
พอเห็นท่าทีเย็นชาของมั่วชิงเฉิน หลัวอวี้เฉิงก็หัวเราะเศร้าๆ ออกมา พูดพร้อมลมหายใจรวยริน “เจ้าพูดเรื่องพวกนี้ทำไมกัน ข้าเกรงว่า…เกรงว่าถ้าเจ้าตายก่อน หนี้ที่ติดค้างไว้จะทำอย่างไร เจ้ายังค้าง…ค้างแหวนสะสมวัตถุหนึ่งวงกับอวี้เฉิง…”
เจ้าปีศาจเดินเข้ามาทีละก้าว กึ่งยิ้มขณะมองมั่วชิงเฉิน “นึกไม่ถึงว่า เจ้าหมอนี่จะรักเจ้าอย่างสุดซึ้งเช่นนี้ บัญชีของพวกเจ้า ไปปรโลกค่อยๆ คิดก็แล้วกัน”
พูดจบก็ค่อยๆ ยกมือขึ้น รวมแสงสายหนึ่งไว้กลางฝ่ามือ แล้วโบกมือ ปล่อยแสงไปที่มั่วชิงเฉิน
พอดีตอนนี้ สายฟ้าสายสุดท้ายผ่าลงมาจนได้ ชนเข้ากับร่างของมั่วชิงเฉินอย่างไม่ปรานี
หลัวอวี้เฉิงรวบรวมพละกำลังตลอดทั้งร่าง ปีกลมกระพืออีกครั้ง ร่างเหาะขึ้น กั้นขวางการจู่โจมของเจ้าปีศาจ
ขณะเห็นร่างของเขาโงนเงนไปมา แต่กลับมั่นคงไม่ล้ม เจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็ถอนหายใจเบาๆ สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง ปล่อยแสงออกไปอีกสาย
เสียงเบาๆ ดังมา ธนูโลหิตสายหนึ่งพุ่งออกจากทรวงอกของหลัวอวี้เฉิง ปีกลมหายไปในพริบตา ทั้งร่างร่วงหล่นลงบนพื้น
เพียงชั่วขณะ บนพื้นก็แดงฉานไปหมด
“สหายหลัว!” มั่วชิงเฉินจ้องมองจนดวงตาแทบถลนออกจากเบ้า โลหิตปะทุขึ้นทันที
สายฟ้าปะทะร่างนาง พร้อมประจุไฟฟ้าที่วิ่งไปทั่วร่าง ตลอดทั้งร่างพลันดำมะเมี่ยม รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากภายนอกสู่ภายใน
แต่ความเจ็บปวดเช่นนี้ ห่างไกลอย่างมากมายกับความเจ็บปวดชนิดที่เห็นกับตาว่าเยี่ยเทียนหยวนกับหลัวอวี้เฉิงกลายเป็นเช่นนั้นแต่ตนกลับทำอะไรไม่ได้
ฆ่าเขาเสีย ต้องฆ่าเขาให้ได้!
ในหัวสมองของมั่วชิงเฉินมีเพียงความคิดนี้ ดวงตาจึงค่อยๆ แดง
เคราะห์อัสนีผ่านพ้น เมฆดำหายไปทันที แสงสว่างสาดส่องไปทั่ว
กลางอากาศ แสงวิญญาณที่ห่อหุ้มเขาน้อยกับหมาป่าน้อยเปล่งแสงเจ็ดสีออกมา
อสูรวิญญาณที่ผ่านเคราะห์อัสนีแปลงกาย ต้องดูดซับแสงสว่างเหล่านี้ทั้งหมด รอจนแสงสว่างหมดลง ถึงแปลงกายเป็นคนได้
“อู๋เย่ว์ จำไว้ พอพวกเขาน้อยแปลงกายเสร็จ ต้องรีบพาพวกเขาหนีไป!” มั่วชิงเฉินตะคอกเสียงเย็นชา ไม่แฝงความรู้สึกแม้แต่น้อย
อีกาไฟพยักหน้า กางปีกทั้งสองข้างออกแล้วบินขึ้นสูง “นายท่าน ข้าจะจดจำไว้ เราทั้งสาม ต้องแก้แค้นให้พวกท่านแน่!”
น้ำตาหยดหนึ่งหยดลงจากที่สูง และสลายไปอย่างไร้สุ้มเสียงเมื่อหยดลงบนพื้น
มั่วชิงเฉินยื่นมือออก เคียวสีดำเล่มหนึ่งปรากฏ รังสีฆ่าฟันขนาดมหึมาแผ่ออกรอบทิศทันที สายลมพัดมาอย่างคลุ้มคลั่ง
“เจ้าปีศาจ วันนี้ เราสองไม่จำเป็นต้องไปไหนแล้ว!” มั่วชิงเฉินถือเคียวสังหารพุ่งเข้าหา
ศิษย์พี่ตายแล้ว สหายหลัวก็ตายแล้ว ขอเพียงสามารถลากเจ้าปีศาจให้ตกตายไปด้วยกัน นางก็ไม่คิดมีชีวิตอยู่อีก!
มั่วชิงเฉินน่ากลัวมากเมื่อเข้าสู่มรรคาแห่งการสังหาร ทั้งๆ ที่ระดับบำเพ็ญเพียรของนางไม่เปลี่ยนแปลง แต่แรงจู่โจมกลับระเบิดออก
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงถูกเยี่ยเทียนหยวนทำบาดเจ็บ อีกทั้งการต่อสู้กับหลัวอวี้เฉิงก็ทำให้ปราณความร้อนกระจายไปทั่วร่าง จึงสำแดงเดชได้เพียงหกส่วน
ฝ่ายหนึ่งขาขึ้น อีกฝ่ายขาลงเช่นนี้ มั่วชิงเฉินพลันเป็นฝ่ายบีบให้เจ้าปีศาจก้าวถอยหลังทีละก้าว
ในรัศมีร้อยลี้ล้วนถูกรังสีฆ่าฟันปกคลุม สรรพสัตว์วิ่งหนี วิหคนานาชนิดตกใจร้องระงม ฟ้าดินเงียบสงบชั่วขณะ มีเพียงเสียงสู้กันของทั้งสองฝ่ายที่แจ่มชัด
รังสีฆ่าฟันเป็นชั้นๆ ปะทุขึ้นดุจกระแสน้ำ ดวงตาของมั่วชิงเฉินถูกแสงโลหิตบดบัง มองไม่เห็นความรู้สึกใดๆ
เคียวในมือถูกปราณสีดำเข้มข้นหุ้มห่อ ทั้งๆ ที่ไม่มี แต่คมเคียวกลับควบแน่นเป็นหยดโลหิต หยดลงทีละหยด
ท่ามกลางเสียงหยดของโลหิต มั่วชิงเฉินพุ่งเข้าชนกับเจ้าปีศาจทันที ฟันเคียวในมือลงไปแรงๆ
เสียง แควก เสื้อผ้าชิ้นหนึ่งปลิวหล่น มีโลหิตอุ่นๆ สาดถึงร่างนาง
เป็นโลหิตของเจ้าปีศาจ
มั่วชิงเฉินยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้น เผยให้เห็นฟันขาวบริสุทธิ์ดุจหยก
ปกติเวลามั่วชิงเฉินยิ้มยิงฟัน จะงามสง่าหาที่เปรียบมิได้ ชนิดทำให้ฟ้าดินสูญเสียสีสันได้เลยทีเดียว
แต่ตอนนี้ตลอดทั้งร่างนางเป็นสีดำ ดวงตาไร้แวว เวลายิ้มเห็นฟันขาวจึงดูน่ากลัว ยิ้มนี้ทำให้ฟ้าดินสูญเสียสีสันได้เช่นกัน แต่เป็นเพราะตกใจกลัว
และอย่างน้อยเจ้าปีศาจก็ถูกทำให้ตกใจจนสะดุ้ง เป็นความกลัวที่เกิดจากก้นบึ้งหัวใจอย่างไม่มีเหตุผล
ท่ามกลางรังสีฆ่าฟันอันน่าหวาดกลัว การเคลื่อนไหวย่อมช้าลง
มั่วชิงเฉินเหาะมาถึงร่างของเจ้าปีศาจ ใช้มือและเท้าพัวพันไว้ แล้วอ้าปากงับลงไปตรงบาดแผลที่เคียวสังหารฟันลง
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงร้องโหยหวน จากนั้นก็ตื่นตระหนกเมื่อพบว่าโลหิตสดๆ ในร่างกำลังถูกฝ่ายตรงข้ามดูดอย่างเอาเป็นเอาตาย
สำหรับเผ่าปีศาจแล้ว เลือดเนื้อมีค่ากว่ามนุษย์บำเพ็ญเพียรมาก โดยเฉพาะเลือดสดๆ นั่นคือรากฐานที่ใช้รักษาร่างกายของพวกเขาให้กำยำแข็งแรง
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงสนใจอื่นใดไม่ได้อีก เคล็ดวิชาอิทธิฤทธิ์อะไร ก็เทียบไม่ได้กับร่างกายกำยำแข็งแรงที่ดูหล่อเหลา
เขาจึงจับเข้าที่ไหล่ของมั่วชิงเฉิน
แม้มั่วชิงเฉินถลำลึกเข้าไปในรังสีฆ่าฟัน แต่สำหรับอีกมุมหนึ่ง กลับเยือกเย็นอย่างน่าประหลาด และมีความรู้สึกไวต่อความเคลื่อนไหวของเจ้าปีศาจ จึงปล่อยทันที แล้วถอยหลังออกมา จากนั้นค่อยเงื้อเคียวสังหารขึ้น เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ กลางอากาศ รังสีฆ่าฟันขนาดมหึมาม้วนเข้าหาเจ้าปีศาจ
สัญชาตญาณของปีศาจทำให้เจ้าปีศาจจิตใจสั่นไหว เขาแทบไม่ลังเลใจใดๆ แหงนหน้าคำรามเสียงดัง แสงสว่างในร่างกะพริบ ร่างเดิมซึ่งเป็นอสูรเฉาเฟิงปรากฏออก
“นางหนู หลายปีมานี้ เจ้าเป็นคนแรกที่สามารถบีบให้ข้าเผยร่างเดิมออกมา!” เสียงใหญ่ๆ สะท้อนไปมาในอากาศ
ลมหายใจของอสูรเทพโบราณกาล ทำให้วิญญาณมีชีวิตทั้งหมดในรัศมีหมื่นลี้คืบคลานออกมาอย่างตัวสั่นงันงก
แต่มั่วชิงเฉินดูเหมือนไม่ได้รับอิทธิพลนี้แต่อย่างใด น้ำเสียงสงบนิ่งเยือกเย็น “ข้าแค่อยากให้เจ้าตาย!”
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงหัวเราะเสียงดัง ก่อนอ้าปากพ่นแสงสีเขียวออกมาหนึ่งสาย
แสงสีเขียวทะลุผ่านรังสีฆ่าฟันที่แผ่เต็มฟ้า ต่อให้มั่วชิงเฉินหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น สักพักจึงตกถึงร่างนาง
มั่วชิงเฉินพ่นโลหิตออกมาคำหนึ่ง แล้วล้มลงกับพื้น ดวงตาที่ถูกบดบังด้วยโลหิตมองเห็นเจ้าปีศาจที่คืนสู่ร่างมนุษย์ดังเดิม พุ่งเข้ามาด้วยใบหน้าซีดขาว