พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 647 ไม่มีลมฝน แต่ก็ไม่แจ่มใส
เนื่องจากเจ้าปีศาจบาดเจ็บ จึงพุ่งเข้ามาไม่เร็วนัก ทำให้มั่วชิงเฉินเห็นเจตนาสังหารในดวงตาของเขาอย่างชัดเจน
มือที่สั่นเล็กน้อยพลิกขึ้น ลูกปัดสีแดงสดเม็ดหนึ่งปรากฏบนฝ่ามือ แล้วขว้างออกไปอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย
หมอกหนาลอยฟุ้ง แสงสีแดงกะพริบ ต่อด้วยการปรากฏตัวกลางอากาศของชายหนุ่มผมสีแดงเพลิงคนหนึ่ง พร้อมหูแหลมๆ ทั้งสองข้าง
สายตาเจ้าปีศาจลั่วเฟิงเคร่งขรึม ก่อนพูดเสียงแหบ “หลิง…”
ดวงตาของครึ่งปีศาจหลิงสีแดงอ่อน คล้ายอัญมณีที่สวยที่สุด บริสุทธิ์ แต่ไม่มีความรู้สึกใดๆ
เขาจ้องมองเจ้าปีศาจลั่วเฟิงสักพัก ค่อยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ลั่ว ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัว”
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงหันควับไปมองมั่วชิงเฉิน แววตามีความเครียดวาบผ่าน “นี่มันเรื่องอะไรกัน เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับหลิง”
มั่วชิงเฉินกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง หัวเราะใส่เจ้าปีศาจ แล้วพูดเสียงขาดๆ หายๆ “เจ้าถาม…ถามมากความไปทำไม…เจ้าเพียงรู้ไว้ว่า พวกข้าล้วนอยากให้เจ้าไปตายก็…ก็พอแล้ว…”
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงมองครึ่งปีศาจหลิงอย่างลึกล้ำ แล้วจึงหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆ น่าขัน หลิงในปีนั้น ข้าล้วนสังหารเองกับมือ หรือของเล่นที่อธิบายไม่ได้เหล่านี้ จะสามารถขวางข้าได้”
ว่าพลางร่างก็หมุนดั่งลม โจมตีครึ่งปีศาจกลางอากาศ
ผมสีแดงที่ยาวถึงข้อเท้าของครึ่งปีศาจหลิงตั้งตรงขึ้น มีเปลวไฟเผาไหม้ขณะพุ่งเข้าหาเจ้าปีศาจลั่วเฟิง ความแค้นที่ระเบิดออกในขณะนั้น น่าตกใจยิ่งกว่าที่มั่วชิงเฉินตกอยู่ในภวังค์มรรคาสังหารและปล่อยรังสีฆ่าฟันออกมา
ขณะมองสองปีศาจห้ำหั่นกันกลางอากาศ มั่วชิงเฉินก็กัดฟัน ค่อยๆ คลานเข้าหาหลัวอวี้เฉิงที่อยู่ใกล้นางมากสุด
“สหายหลัว…” พอไถตัวมาถึงตรงหน้า มั่วชิงเฉินก็กอดครึ่งท่อนบนของหลัวอวี้เฉิงไว้ และพอเห็นส่วนท้องของเขายังมีเลือดออก ก็รีบนำโอสถวิญญาณห้ามเลือดโปะไปที่บาดแผล
“สหายหลัว สหายหลัว หลัวอวี้เฉิง ตื่นสิตื่น…” มั่วชิงเฉินใช้มือที่สั่นเทาลูบใบหน้าที่ไร้เลือดฝาดของหลัวอวี้เฉิงไปมา น้ำตาร้อนๆ หยดลงบนใบหน้าของเขาหยดแล้วหยดเล่า
ขนตาหลัวอวี้เฉิงขยับ เขาลืมตาขึ้น พอเห็นมั่วชิงเฉินก็ยิ้มเศร้าๆ “ร้องไห้ทำไม…เรียกวิญญาณหรือ…แค่กๆๆ”
ว่าพลางไอรุนแรงขึ้นมา ก่อนกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง
มั่วชิงเฉินเห็นแล้ว หัวใจก็เย็นวาบ ล้วงเอาโอสถกำหนึ่งยัดเข้าไปในปากหลัวอวี้เฉิง จากนั้นก็อุดปากเขาไว้อย่างนั้น “เจ้าหุบปากก่อน ไม่ต้องพูดแล้ว…”
แต่โลหิตที่เขากระอักออกมา กลับทำมือนางแฉะ ก่อนไหลลงตรงง่ามนิ้ว
หลัวอวี้เฉิงคว้ามือของมั่วชิงเฉินไว้ แทบใช้แรงที่มีอยู่ทั้งหมด
“สหายหลัว…”
หลัวอวี้เฉิงจับมือมั่วชิงเฉินแน่น พลางจ้องมองนาง แต่แววตาที่ใสกระจ่างฉลาดเฉลียวในอดีตกลับค่อยๆ จางหายไป
มั่วชิงเฉินเห็นแล้วก็สะเทือนใจ ทนไม่ไหวจึงดึงมือออก
“ชิง…ชิงเฉิน เรารู้จักกันมานานหลายปีแล้ว เจ้าเรียกชื่อข้าได้ไหม…” หลัวอวี้เฉิงพบว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าเริ่มรางเลือนไปหมด ค่อยๆ มองไม่เห็นแล้ว แต่ยังไม่ยินยอม พยายามเบิกตาให้โต อยากมองดูคนที่อยู่ใกล้ๆ
มั่วชิงเฉินพยักหน้าหงึกๆ น้ำตาไหลออกไม่หยุด “อวี้เฉิง…”
หลัวอวี้เฉิงยิ้มมุมปาก ยื่นมือไปยังดวงตาของมั่วชิงเฉิน พลางพึมพำ “คนโง่ เมื่อครู่…ข้าเกือบหายใจไม่ออก…”
คำสุดท้ายจบลงสั้นๆ อย่างไม่คาดคิด แล้วมือที่ไร้เรี่ยวแรงก็ตกลง
“อวี้เฉิง หลัวอวี้เฉิง!” พอเห็นมือของหลัวอวี้เฉิงตกลง มั่วชิงเฉินก็รู้สึกหายใจไม่ออก เหมือนคนทั้งคนจมอยู่ในความสิ้นหวัง ไม่มีความกล้าจะลุกขึ้นมาอีก
“หลัวอวี้เฉิง เจ้างั่ง เจ้าต้องตื่น เจ้าต้องตื่น เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตายเพื่อข้า มีสิทธิ์อะไร! เจ้าจะให้ข้าไปแดนผีพบเจ้าได้อย่างไร!”
มั่วชิงเฉินร้องตะโกนอย่างสิ้นหวัง ก่อนดึงน้ำเต้าที่ห้อยคอออก แล้วพูดจาไม่ปะติดปะต่อ “น้ำเต้า จริงสิ ข้ายังมีน้ำเต้า อวี้เฉิง จิตดั้งเดิมของเจ้าล่ะ ออกมาเร็วเข้า”
คนในอ้อมอกเริ่มตัวเย็น จิตดั้งเดิมที่ควรปรากฏกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
มั่วชิงเฉินจับข้อมือเขาไว้ แล้วส่งพลังวิญญาณเข้าไปสำรวจดู พอเข้าสู่ส่วนลึกของตันเถียน ถึงได้พบตัวอ่อนน้อยๆ คลานอยู่ด้านบน ทว่าไม่มีพลังชีพแต่อย่างใด
ใจของมั่วชิงเฉินตกลงไปในถ้ำน้ำแข็งทันที นางเงยหน้าขึ้นมองเจ้าปีศาจที่ยังคงต่อสู้อยู่ ความเกลียดชังเข้ากระดูกดำวาบผ่านในแววตา
ปีนั้น นางเป็นเช่นนี้ ตอนนี้หลัวอวี้เฉิงก็เป็นเช่นนี้ เจ้าปีศาจลั่วเฟิงลงมือทีไร เป็นต้องปิดกั้นจิตดั้งเดิมไว้ในร่างกายโดยตรง ไม่ให้กระทั่งโอกาสที่จิตดั้งเดิมจะหนีออกมา!
พอรู้ว่าหลัวอวี้เฉิงตายแล้ว มั่วชิงเฉินกลับเยือกเย็นลงอย่างน่าประหลาดใจ นางวางเขาลงช้าๆ เช็ดคราบโลหิตบนใบหน้าให้เขา จากนั้นก็ค่อยๆ เดินเข้าหาเยี่ยเทียนหยวน
เยี่ยเทียนหยวนนอนอยู่ในที่ที่ไกลออกไปหน่อย ชุดเขียวไม่ได้รับความเสียหายจากการต่อสู้ที่ดุเดือด ดูไปแล้วสงบนิ่ง คล้ายกำลังหลับลึก
มั่วชิงเฉินมิได้เข้าใกล้ ยืนมองเขาอย่างอ่อนโยนอยู่ไม่ไกล พลางยิ้มน้อยๆ
จากนั้น น้ำตาโลหิตก็ไหลลงเงียบๆ
ศิษย์พี่ แดนผีข้าไปมาแล้ว ใหญ่เกินไป ท่านรออยู่บนถนนสักพัก ข้าจะดูว่าเจ้าปีศาจมีจุดจบอย่างไร จึงจะวางใจลง
มั่วชิงเฉินเดินถือน้ำเต้า ไปที่ข้างกายเยี่ยเทียนหยวน ค่อยๆ นั่งลง แหงนหน้าดื่มสุราอึกแล้วอึกเล่า
คืนวันที่มุมานะเหล่านั้น คืนวันที่สนุกสนาน คืนวันที่โลเล คืนวันที่ยากลำบาก ตั้งแต่ต้นจนจบคือความว่างเปล่าหรือ
ก้มลงมองเยี่ยเทียนหยวน แล้วมองหลัวอวี้เฉิงที่อยู่ไม่ไกลกัน มั่วชิงเฉินกรอกสุราลงไปอีกหนึ่งอึกใหญ่ แล้วยิ้มอย่างใจลอย
พวกเขาล้วนล่วงเกินเจ้าปีศาจเพราะตน ถึงได้มีจุดจบเช่นนี้
ถึงเจ้าปีศาจถูกครึ่งปีศาจหลิงฆ่าตาย นางรอดจากเคราะห์ในครั้งนี้ ก็ไม่คิดจะมีชีวิตอยู่คนเดียวอีก
นางยึดถือวิถีชีวิตของการมีอายุยืนเรื่อยมา ที่แท้หลังจากสูญเสียคนสำคัญที่สุดไป นางก็มิได้เข้มแข็งอย่างที่คิด ชนิดที่เดินหน้าต่อได้โดยไม่วอกแวก
แต่ไม่เป็นไร ในแดนผียังสามารถบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนผีได้ มีน้ำเต้าอยู่ พวกนางไม่มีทางรั้งท้ายแน่
การสำเร็จเซียน ยังคงเป็นเรื่องที่พวกนางสามารถพยายามด้วยกันได้
ไม่รู้ว่าดื่มสุราไปมากน้อยเพียงใด ท้องเริ่มมีความร้อนคุกรุ่นอยู่ มั่วชิงเฉินถอนหายใจสบายๆ
ของรักชิ้นนี้ดีที่สุด ยังพกไปแดนผีได้อีก
จะว่าไป นางต้องขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้ชีวิตของนางมีสีสันเช่นนี้
ชีวิตนี้ นางไม่เคยปล่อยให้ผ่านไปโดยเสียเปล่า แม้ผิดหวังบ้าง แต่กลับไม่เสียใจ!
เสียง ปัง ดังกระหึ่มมา มั่วชิงเฉินพลันเงยหน้า เห็นแสงสีเขียวและสีแดงสองสายเรืองรองบนท้องฟ้า ในความเจิดจ้า ครึ่งปีศาจหลิงพุ่งเข้าหาเจ้าปีศาจลั่วเฟิง จากนั้นก็ชอนไชเข้าไปในร่างของเขา
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงกุมศีรษะร้องเสียงดัง ตีลังกากลางอากาศ เกิดเมฆหมอกขึ้น เห็นร่างเดิมชัดเจนในทันที
ความร้อนในท้องไหลไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกว่าร่างกายเต็มไปด้วยพละกำลัง พอแบมือออก ธนูเขียวซ่อนเร้นก็ปรากฏ จึงขึ้นสายยิงธนู ลูกศรน้ำแข็งยะเยือกแหวกเมฆหมอก ตรงไปยังเจ้าปีศาจลั่วเฟิง
มั่วชิงเฉินมองดูลูกศรน้ำแข็งยะเยือกยิงถูกเจ้าปีศาจลั่วเฟิงที่ตีลังกาไม่หยุดอย่างเย็นชา พร้อมรอยยิ้ม
แค้นนี้ ยังคงรีบชำระ จึงจะสะใจเป็นที่สุด
เสียงคำรามดังมา ร่างเดิมที่มีขนาดใหญ่ของเจ้าปีศาจลั่วเฟิงร่วงหล่นลง ขณะร่วงหล่น ไม่รู้ทำไมพลันถูกแสงสว่างล้อมรอบ รอจนตกถึงพื้นดิน ค่อยคืนสู่ร่างมนุษย์ดังเดิม จากนั้นก็พุ่งเข้าหามั่วชิงเฉิน ในท่ายื่นมือฟาดพร้อมใบหน้าที่เย็นชา
มั่วชิงเฉินจับศรทองแหลมคมทันที แล้วแทงใส่ท้องของเจ้าปีศาจโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย