พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 655 เนตรวิญญาณของอู๋เย่ว์
“มิอาจรู้ได้ว่าจะแพร่พันธุ์วิญญาณบุปผาออกมาเมื่อใดหรือ” เยี่ยเทียนหยวนถาม
องค์หญิงฝูเยาพยักหน้า “ใช่ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าต้องตรึกตรองให้ดีเล่า”
“ข้ายินยอม เพียงแต่ข้ามีเรื่องต้องขอร้อง” เยี่ยเทียนหยวนกล่าว
“เรื่องอันใดหรือ”
“มอบผลแย่งลิขิตให้ภรรยาของข้าใช้ก่อนได้หรือไม่”
องค์หญิงฝูเยาชะงักก่อนจะพยักหน้า “ได้ เพียงแต่ในเมื่อเจ้ารับปากแล้ว ก็ต้องรอจนบุปผาอัศจรรย์ต้นนั้นแพร่พันธุ์วิญญาณบุปผาออกมาถึงจะจากไปได้”
เยี่ยเทียนหยวนตอบเสียงเรียบ “เรื่องนี้ข้าทำได้อยู่แล้ว”
องค์หญิงฝูเยายิ้มพลางมองไปทางหลัวอวี้เฉิง “แล้วสหายท่านนี้เล่า”
เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยปากถาม “จิตวิญญาณและโลหิตของข้ายังมิพอหรือ”
“ถ้าหากว่าตัวข้ามิได้มองผิดไป สหายมีร่างหยางบริสุทธิ์ใช่หรือไม่ จิตวิญญาณและโลหิตของสหายเป็นสิ่งล้ำค่ามาก ใช้ได้ผลอย่างยิ่งกับพืชวิญญาณ เพียงแต่มีฤทธิ์ร้ายแรงไปเสียหน่อยจึงต้องผสมกับจิตวิญญาณและโลหิตของบุรุษท่านอื่น อีกทั้งระดับของสหายท่านนี้ด้อยกว่าสหายอยู่เล็กน้อยทั้งยังมีความเป็นหยาง จึงเหมาะสมที่สุด” องค์หญิงฝูเยาอธิบายอย่างไม่ช้าไม่เร็ว จากนั้นก็มองไปทางหลัวอวี้เฉิง
หลัวอวี้เฉิงยิ้มน้อยๆ “อวี้เฉิงยินดียิ่ง”
“เช่นนั้นแล้ว หลังจากการประลองยุทธ์หาคู่พวกเจ้าก็ตามข้ากลับที่หุบเขาไป่กั่วเถิด” องค์หญิงฝูเยาพูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
หลังจากพูดธุระเสร็จองค์หญิงฝูเยาก็จากไปเพียงลำพัง ส่วนพวกเยี่ยเทียนหยวนก็รออยู่ในสถานที่พำนักที่เช่าไว้
สามวันต่อมาก็ได้ยินข่าวว่าองค์หญิงฝูเยาเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันบทประพันธ์ นางได้คัดเลือกบุรุษทั้งหมดสามคน และพวกเขาก็กลายเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นคู่บำเพ็ญขององค์หญิง ใช้เวลาสั้นๆ ไม่กี่ปีหรือเวลานานเป็นสิบกว่าปีในการตรวจสอบทั้งสามคนนี้ เช่นเดียวกันกับใช้เวลาพัฒนาความสัมพันธ์กับองค์หญิง และท้ายที่สุดก็ค่อยตัดสินอีกครา
ในระหว่างนี้องค์หญิงฝูเยายังคงเป็นคนอิสระ นางส่งเสี่ยวเฉิงสาวใช้ของนางมาพาพวกเขาไปยังหุบเขาไป่กั่วอย่างเงียบๆ
หลังจัดการที่พักของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว องค์หญิงฝูเยาก็พาพวกเขาไปยังสวนดอกไม้ เดินไปพลางพูดไป “นี่คือสวนดอกไม้ของข้า ผู้ไม่เกี่ยวข้องมิอาจเข้ามาได้”
เดินอยู่ครู่ก็มาหยุดอยู่บริเวณข้างหน้าต้นท้อต้นหนึ่งบริเวณมุมกำแพง “บุปผาอัศจรรย์ที่ข้าพูดถึง คือมัน”
พวกเยี่ยเทียนหยวนคิดไม่ถึงเลยว่าดอกไม้ประหลาดที่แพร่พันธุ์วิญญาณบุปผาออกมาได้จะเป็นเพียงแค่ต้นท้อต้นหนึ่ง จ้องมองผ่านก็พบว่ามันไม่ธรรมดาอยู่หลายส่วน
ต้นท้อต้นนี้ยาวไม่ถึงสามฉื่อ มีใบไม่มาก แต่ดอกท้อที่บานอยู่กลับใหญ่กว่าดอกท้อทั่วไป ที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นก็คือกลีบดอกไม้เป็นสีเขียวอย่างคาดไม่ถึง
ดอกท้อสีเขียวดอกนี้ขาดความงามอันน่าหลงใหลอย่างดอกท้อทั่วไป แต่กลับปรากฏความงามทั้งภายนอกและภายในของอิสตรีออกมาหลายส่วน
องค์หญิงฝูเยาโบกมือหนึ่งครา ตรงหน้าพวกเขาก็ปรากฏต้นไม้ต้นหนึ่งในกระถาง มืออีกข้างปรากฏจอบเปล่งประกายขนาดเล็ก จากนั้นก็ขุดส่วนรากของพืชวิญญาณเบาๆ
กลางกระถางเปล่งแสงวิญญาณสว่างแพรวพราวขึ้นมาอย่างฉับพลัน เมื่อแสงวิญญาณสลายไปบนจอบก็ปรากฏผลไม้กลมเกลี้ยงผิวขาวนวลผลหนึ่ง
“นี่คือผลแย่งลิขิต สหายลั่วหยางรีบนำมันไปให้คู่บำเพ็ญทานเพื่อป้องกันปราณสลายเถิด นับแต่วันพรุ่งนี้ท่านทั้งสองอย่าลืมมารดน้ำบุปผาอัศจรรย์ยามอาทิตย์ขึ้นทุกวันเล่า” องค์หญิงฝูเยาใช้ปลายนิ้วเด็ดผลไม้ส่งให้เยี่ยเทียนหยวน จากนั้นก็หมุนตัวจากไป
เยี่ยเทียนหยวนรับผลแย่งลิขิตมาด้วยความความระมัดระวัง เขากล่าวขอบคุณแผ่นหลังขององค์หญิงฝูเยาที่เดินจากไปจากใจจริง
พวกเขากลับที่พำนักอย่างร้อนรน เยี่ยเทียนหยวนร่ายคาถานับร้อยบทเพื่อเปิดม่านบังตาออก ข้างบนสมบัติวิเศษรูปทรงใบไม้มีร่างของมั่วชิงเฉินและเจ้าปีศาจลั่วเฟิง
หมาป่าน้อยเดินเข้าไปใกล้ เขาโน้มตัวลงอุ้มเจ้าปีศาจลั่วเฟิงขึ้นมาและโยนไปอีกทางจาก จากนั้นก็หลีกทางให้เยี่ยเทียนหยวน
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงกระแทกลงกับพื้นจนเกิดเสียงดัง ตึง ทุกคนรวมตัวกันอยู่ตรงหน้าสมบัติวิเศษรูปทรงใบไม้ราวกับไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ไม่มีใครเหลียวหลังไปมองแม้แต่น้อย
แต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าปีศาจลั่วเฟิงที่สลบไสลมาถึงครึ่งปีจะฟื้นขึ้นมาหลังจากล้มลงเช่นนี้ เขามองไปยังทุกคนอย่างใจลอยเล็กน้อย
“จะให้นายท่านทานผลแย่งลิขิตนี้เข้าไปอย่างไร” เขาน้อยถามอย่างสงสัยเมื่อมองมั่วชิงเฉินที่ไม่เคลื่อนไหว
เยี่ยเทียนหยวนมองผลไม้ในมือพลางย่นคิ้ว ในตอนที่อยากจะถามเหมาเถาในน้ำเต้าสักหน่อย ก็ได้ยินเสียงของหลัวอวี้เฉิง “หากผลแย่งลิขิตแตกและกลายเป็นน้ำ เมื่อเจอลมก็จะกลายเป็นควัน เช่นนั้นแล้วมิอาจป้อนด้วยวิธีธรรมดาได้”
“อา เช่นนั้นแล้วทำอย่างไรดีเล่า” อีกาไฟที่เกาะอยู่บนศีรษะของหมาป่าน้อยถาม
หลัวอวี้เฉิงปรายตามองเยี่ยเทียนหยวนนิ่งๆ เม้มปากจากนั้นก็พูดออกมา “มิยาก เพียงสหายเยี่ยกัดผลแย่งลิขิตให้แตก อมน้ำไว้ในปาก จากนั้นก็ป้อนให้กับสหายมั่วก็จบแล้ว”
“อ้อ…” พวกอีกาไฟเหลือบมองเยี่ยเทียนหยวน
ใบหูของเยี่ยเทียนหยวนพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง
“สหายเยี่ย เรื่องนี้มิอาจรีรอ รีบมอบผลแย่งลิขิตให้สหายมั่วทานเถิด พวกข้าจะไปรอข้างนอก” หลัวอวี้เฉิงพูดจบก็หันหลังเดินออกไป แต่กลับรู้สึกว่าด้านหลังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เขาหันกลับมามอง พวกอีกาไฟไม่มีใครขยับ พวกมันยืนปักหลักอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
“พวกเจ้ายังไม่ไปอีกหรือ” หลัวอวี้เฉิงเลิกคิ้ว
“ทำไมต้องไปล่ะ” อสูรวิญญาณทั้งสามตนถามขึ้นอย่างพร้อมเพรียง พร้อมทั้งส่งสายตาบอกว่าเจ้าต่างที่ทำเรื่องเกินความจำเป็นมาให้
หลัวอวี้เฉิงกัดฟันแล้วหันหลังก้าวยาวๆ ออกไป เมื่อเดินผ่านเจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็ยื่นมือลากเขาออกไปด้วยกัน
เยี่ยเทียนหยวนมองพวกอีกาไฟทั้งสามอย่างจนปัญญา เขาใช้วิธีของหลัวอวี้เฉิงป้อนผลแย่งลิขิตให้แก่มั่วชิงเฉินอย่างไม่รีรอ ทั้งยังเก็บเม็ดของมันลงในถุงเก็บวัตถุ
มั่วชิงเฉินได้บอกความลับแก่เขาว่าสุราน้ำเต้าเลิศรสสามารถเร่งพืชวิญญาณให้งอกได้ รอศิษย์น้องฟื้นขึ้นมา ไม่แน่ว่าเม็ดนี้อาจเติบโตไปเป็นต้นแย่งลิขิตก็เป็นได้
เมื่อเสียงร้องอย่างตกใจของอีกาไฟกับเขาน้อยดังขึ้น ประตูถูกเปิดออกดังโครม หลัวอวี้เฉิงก็ลากเจ้าปีศาจลั่วเฟิงเข้ามา สายตามองไปยังกายของมั่วชิงเฉิน
แต่กลับเห็นเพียงหญิงชราอายุนับร้อยปี ผิวเหี่ยวย่น ผมขาวโพลนค่อยๆ หายไป ผิวหนังของนางกลับมายืดหยุ่นและเรียบเนียนดังเดิม
ครู่เดียวผิวหนังของนางก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม ใบหน้าเจือสีแดง ถ้าหากไม่มีผมสีขาวโพลนราวหิมะก็ไม่มีสิ่งใดแตกต่างกับก่อนหน้านี้
รออยู่พักใหญ่ มั่วชิงเฉินก็ยังคงไม่ฟื้นขึ้นมา
แม้ว่าจะมีผู้คนดับสูญมาแล้วมากมาย สำหรับนางนั้นพวกเขาเตรียมใจไว้นานแล้ว
ความจริงแล้วที่มั่วชิงเฉินสามารถฟื้นฟูมาได้ถึงระดับนี้ก็นับว่าโชคดีแล้ว
หลัวอวี้เฉิงมองใบหน้าที่คุ้นเคย ส่งม้วนคัมภีร์หยกที่ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือให้แก่เยี่ยเทียนหยวน
“สหายลั่ว นี่มัน…”
หลัวอวี้เฉิงเม้มริมฝีปากจากนั้นก็ยิ้มจางๆ “สหายมั่วสูญเสียไฟชีวิตไป ผลแย่งลิขิตทำได้เพียงแค่ช่วยฟื้นฟูพลังชีวิต แต่มิอาจทดแทนไฟชีวิตและโลหิตที่สูญเสียไปได้ หากอยากให้สหายมั่วฟื้นขึ้นมา เกรงว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการกระตุ้นไฟชีวิตในส่วนลึกของตันเถียนของนาง ทำให้ไฟชีวิตลุกขึ้นมาอีกครา จากนั้นก็บำรุงรักษาเพื่อเสริมโลหิตอย่างช้าๆ นางถึงจะกลับไปเป็นดังเดิมได้ นี่คือวิชาบำเพ็ญเพียรคู่ที่ฝูเฟิงเจินจวินมอบให้ ไฟจริงในกายของสหายเยี่ยและสหายมั่วดึงดูดซึ่งกันและกันโดยธรรมชาติ เช่นนั้นแล้วอาจได้รับผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ก็เป็นได้”
เยี่ยเทียนหยวนเงียบ
หลัวอวี้เฉิงก็ยังคงค้างอยู่ในท่วงท่ามอบคัมภีร์หยกให้แก่เขา
จากนั้นเยี่ยเทียนหยวนก็รับคัมภีร์หยก เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ขอบคุณสหายหลัว”
หลัวอวี้เฉิงยิ้มสบายๆ “เพียงแค่สิ่งของกลับคืนสู่เจ้าของเดิม”
พูดจบก็หันหลังเดินจากไป ครั้งนี้ไม่เสียเวลาพูดพร่ำทำเพลงลากทุกคนออกไปด้วยตามด้วยปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบ
ท้องฟ้ายังสว่างอยู่ พวกหลัวอวี้เฉิงนั่งอยู่ตรงโต๊ะหินใต้ร่มไม้กลางลานบ้าน
อีกาไฟเกาะอยู่บนกิ่งไม้มองหลัวอวี้เฉิงที่ใจลอย ในหัวมีแต่คำพูดของเขาก้องขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
สิ่งของกลับคืนสู่เจ้าของเดิมหรือ
อีกาเพลิงลอบถอนหายใจ
แม้แต่นายท่านยังไม่รู้เลยว่าพรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นมาหลังมันเลื่อนเป็นขั้นเจ็ดคือสิ่งใด พรสวรรค์นั้นคือเนตรสื่อกลางวิญญาณ สามารถมองเห็นด้ายแดงที่ผูกอยู่ที่ข้อมือของชายหญิงตั้งแต่พวกเขากำเนิด
แน่นอนว่า ไม่ใช่ว่ามันอยากจะดูของใครก็ได้ สำหรับคนธรรมดาแล้วแค่มองก็สามารถเกือบจะรู้อย่างแม่นยำทุกครั้ง แต่ถ้าหากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรนั้นขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ แล้วถ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเล่า แค่กๆ ทุกท่านคงเข้าใจ
วิชาอ่านใจและการสาปแช่งที่ใช้ได้บ้างไม่ได้บ้างทำให้มันขายหน้ามากพอแล้ว จะเพิ่มพรสวรรค์แม่สื่อที่ไม่น่าเชื่อถือเข้าไปอีกหรือ ฉะนั้นมันจึงตัดสินใจว่าจะไม่พูดออกมาตั้งแต่แรก
ถ้าหากว่า ไม่มีแสงวิญญาณสว่างวาบขึ้นมาอย่างไม่ได้คาดคิด และเห็นด้ายแดงที่ข้อมือของนายท่าน ลั่วหยางเจินจวิน และอวี้เฉิงเจินจวินทั้งสามคน มันคงไม่ไม่สบายใจเช่นนี้
นึกไม่ถึงเลยว่าบุพเพสันนิวาสที่สวรรค์กำหนดไว้ให้อวี้เฉิงเจินจวินก็คือนายท่าน เพียงแค่คิดถึงเรื่องนี้ หัวของมันก็แทบจะระเบิดแล้ว
หลัวอวี้เฉิงก็ดูเหมือนจะรับรู้ได้จึงปรายตามองมัน อีกาไฟที่กำลังครุ่นคิดก็สะดุ้งตกใจจนแทบจะล้มลงใส่ มันรีบกระแอมสองที พลางพูดในใจว่าความลับนี้จะต้องเน่าเปื่อยอยู่ในท้องนี้ตลอดชีวิตเช่นเดียวกันกับความลับอีกเรื่องหนึ่ง
หลัวอวี้เฉิงรู้สึกว่าอีกาไฟแปลกไปเล็กน้อย แต่เขามิอาจใช้วิชาอ่านใจได้ ทั้งยังเดาความลับอันน่าตกใจในใจของอีกาไฟไม่ได้ เขาจึงหันกลับไปมองเจ้าปีศาจลั่วเฟิง “เจ้าปีศาจ?”
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงยิ้มตอบ “ทำให้พวกเจ้าผิดหวังเสียแล้ว ข้ามิใช่ตู้รั่ว”
หลัวอวี้เฉิงยกมุมปากขึ้น “สมแล้วที่เป็นเจ้าปีศาจ ถึงมือและเท้าจะถูกมัดไว้ด้วยห่วงพันธนาการอสูร แต่กำลังก็ไม่ลดลงแม้สักครึ่งส่วน”
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงหัวเราะ “มีตู้รั่วอยู่ ข้าก็มิต้องกังวล มิใช่หรือ”
“ไม่ว่าตู้รั่วจะอยู่หรือไม่ เจ้าก็ทำได้เพียงไร้เรี่ยวแม้แต่จะมัดไก่เยี่ยงนี้ มิใช่หรือ” หลัวอวี้เฉิงพูดเสียดสี
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงกัดฟันอย่างโมโห เขาผุดลุกขึ้นตามด้วยตบโต๊ะอย่างแรง จากนั้นก็นั่งลงเพราะถูกสายตาเย็นชาหลายคู่จ้องมอง เขากระตุกมุมปากพลางพูด “โต๊ะนี่แข็งนัก”
คนอื่น…
ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใครกันอยู่สักพักจนเจ้าปีศาจพูดขึ้น “หากข้าไม่ยอมรับก็เห็นทีจะไม่ได้ พวกเจ้าทั้งหลายช่างโชคดีนัก ไม่สิ เดิมทีชีวิตก็ถูกคนใจเหี้ยมเอาไปแล้ว ยังสามารถนำกลับคืนมาได้อีก”
พูดถึงตรงนี้ ในใจก็กระอักเลือดออกมาคำโต ชั่วพริบเดียวก็ตำหนิเทพสวรรค์ไปแล้วหลายร้อยรอบ
“เลิกตำหนิได้แล้ว ตำหนิเทพสวรรค์ได้อย่างคล่องแคล่วเยี่ยงนี้ระวังฟ้าผ่าเถิด” อีกาไฟถลึงตาเล็กๆ ของมันพลางพูด
เพิ่งจะกล่าวจบก็ได้ยินเสียงครั่นครืน สายฟ้าสายหนึ่งฟาดลงมา ต้นไม้เก่าแก่ถูกผ่าออกเป็นสองท่อน อีกาไฟตกลงมาจากกิ่งไม้อย่างเสียศักดิ์ศรี
เห็นคนหลายคนมองมันจึงกระแอมไอเบาๆ ตามด้วยพูดด้วยท่าทีปกติ “มองอะไรกัน ผ่าเอียงบ้างมิได้หรือ”
ทุกคน…
หลังจากนั้นสักพักเจ้าปีศาจที่ถูกขัดอารมณ์ก็เริ่มพูดใหม่ “ความหมายของข้าก็คือ ในเมื่อพวกเจ้าได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์ บางทีฟ้าก็อาจลิขิตเอาไว้เช่นนี้ ข้ามิอาจต่อกรกับชะตาสวรรค์ลิขิตได้ เช่นนั้นแล้วความแค้นระหว่างพวกเราในแดนวิญญาณก่อนหน้านี้ก็ลืมมันไปเสียเถิด เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“เรื่องนี้ มิใช่เรื่องที่ข้าจะตัดสินใจเพียงลำพังได้” หลัวอวี้เฉิงพูดเสียงเรียบ
เจ้าปีศาจหัวเราะเยาะ “ถึงอย่างไรก็มีตู้รั่วอยู่ พวกเจ้าเองก็มิกล้าลงมือกับข้ามิใช่หรือ ข้าต้องการปลดห่วงพันธนาการอสูรออกเพื่อรักษาบาดแผล มิได้คิดจะถ่วงรั้ง เช่นนั้นหยุดชั่วคราวก่อนดีหรือไม่ ข้าจะสาบานก็ได้ ข้าจะไม่เป็นศัตรูกับพวกเจ้าในโลกมนุษย์อีก เป็นอย่างไรเล่า”