พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 657 สัญญาของสองคน
องค์หญิงฝูเยาไม่ชายตามองผู้คนที่กำลังปรี่เข้ามาแม้แต่น้อย นางสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครา บุปผาสดจำนวนมากก็ลอยออกมาอีกและพุ่งตรงไปยังมั่วชิงเฉิน
หมาป่าน้อยอ้าปากพ่นหมอกสีดำออกมาหนึ่งกลุ่ม
ไกลออกไป แรงกดดันอันน่าตกใจก็ขยับเข้ามาด้วยความเร็ว
“สหายเยี่ย ท่านพาดวงจิตของชิงเฉินกลับร่างก่อน ที่ตรงนี้ปล่อยให้พวกเรารับมือเถิด!” หลัวอวี้เฉิงตะโกนบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน
เยี่ยเทียนหยวนใช้วิชาเคลื่อนย้ายในฉับพลัน พริบตาเดียวก็มาอยู่ข้างกายมั่วชิงเฉิน เขาคว้ามั่วชิงเฉินที่มีท่าทางงงงันและพาเหาะไปยังที่พำนักอย่างรวดเร็ว
เมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันน่าตกใจที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ หลัวอวี้เฉิงกลั้นใจ จากนั้นอาศัยใช้ปีกวายุบินไปทางองค์หญิงฝูเยาราวกับควันไฟ
องค์หญิงฝูเยาใบหน้าเย็นชาราวน้ำค้างแข็ง ทันใดนั้นนางก็ปรบมือทั้งสองข้างเบาๆ
บุปผาสดในสวนจำนวนนับไม่ถ้วนพร้อมใจกันผลิบาน กลิ่นหอมประหลาดโชยมา หลัวอวี้เฉิงและพวกหมาป่าน้อยหยุดนิ่ง
เพราะชีวิตอันสูงส่งไร้ความขัดแย้งตั้งแต่เด็ก พลังต่อสู้ขององค์หญิงฝูเยาจึงไม่ได้แข็งแกร่งนัก แต่ในดินแดนของตนเอง ทั้งยังเตรียมการเอาไว้แล้ว กลับทำให้มีข้อได้เปรียบอันมิอาจมีใครเทียบได้
ทะเลบุปผานี้คืออาณาเขตบุปผาของนาง!
เพียงแค่พริบตาเดียวก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของปราณวิญญาณอันพิเศษของเจ้าหุบเขาไป่กั่วที่มาถึง เมื่อเห็นคนหลายคนกำลังรุมโจมตีบุตรีอันเป็นที่รักก็กล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ “บังอาจ!”
“ท่านพ่อ มิต้องสังหารพวกเขา ข้ายังมีเรื่องที่ต้องคิดบัญชี!” บิดาขององค์หญิงฝูเยารีบปรี่เข้ามา พูดประโยคต่อมาจบก็รีบเร่งติดตามเยี่ยเทียนหยวนกับมั่วชิงเฉินไป
องค์หญิงฝูเยายกมือขึ้นหนึ่งครา อาศัยพลังจากอาณาเขตบุปผา ตรงหน้าก็ปรากฏทางแคบๆ สายหนึ่งปูไปด้วยบุปผาสด
นางก้าวเหยียบลงไปอย่างไม่ลังเล แสงวิญญาณส่องแสงระยิบระยับชวนฝัน คล้ายกับเมื่อก้าวออกไปจะมีดอกบัวผุดขึ้นมา ทุกย่างก้าวบนเส้นทางบุปผาก็จะขยายยาวออกไปเรื่อยๆ ก้าวออกไประยะทางสิบจั้งด้วยความเร็วจนดูราวกับระยะทางแค่ไม่กี่ชุ่นด้วยความเร็วจนน่าตกใจ พริบตาเดียวก็มาถึงที่พำนักของพวกเยี่ยเทียนหยวน
เยี่ยเทียนหยวนพามั่วชิงเฉินกลับมาโดยไม่สนใจสิ่งใด เมื่อถึงห้องของมั่วชิงเฉินเขาก็ผลักดวงจิตอันเลอะเลือนของมั่วชิงเฉินเข้าไปในร่างของนางโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
หลังจากดวงจิตของนางกลับเข้าร่างแล้ว ก็เห็นมั่วชิงเฉินที่อยู่บนเตียงเรือนผมสีขาวโพลนของนางก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ ในที่สุดนางก็ลืมตาขึ้น
จากนั้นครู่หนึ่งมั่วชิงเฉินก็กะพริบตา สายตากลับมามองเห็นชัดเจน
เรื่องราวทุกที่เกิดขึ้นปรากฏขึ้นมาในหัวของนางเป็นฉากๆ ราวกับฉายภาพยนตร์ นางรู้สึกมหัศจรรย์มาก
เรื่องราวเหล่านั้นนางในก่อนหน้านี้ไม่รู้ตัวและไม่ได้รู้สึกใดๆ แต่ในยามนี้นางกลับจำมันได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกันความรู้สึกที่หายไปก็กลับคืนมาในที่สุด
จากนั้นมั่วชิงเฉินก็ตบศีรษะตัวเอง แล้วพูดด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง “ศิษย์พี่ ข้าก่อเรื่องแล้วหรือ”
เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมาเพื่อยืนยัน จากนั้นก็เอ่ย “ศิษย์น้อง พวกเราไปขอโทษองค์หญิงฝูเยากันเถิด”
เพิ่งจะกล่าวจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ทั้งสองคนมองออกไปพร้อมกัน ก็พบสตรีในชุดเหลืองร่อนลงมาจากเส้นทางบุปผา เส้นทางบุปผาแยกออกตามสองเท้าของนาง จากนั้นกลายเป็นเชือกสองเส้นล้อมรอบลานบ้านเอาไว้
ข้างบนชายคา บนกำแพง แม้กระทั่งบนรั้วสีเขียวล้วนมีดอกลำโพงผลิบานอยู่ แม้ว่าเยี่ยเทียนหยวนและมั่วชิงเฉินจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย แต่ก็ต้องหยุดนิ่งไปเพราะความเปลี่ยนแปลงอันน่าตะลึงในชั่วพริบตานี้
หลังจากนั้นจู่ๆ ร่างกายของมั่วชิงเฉินก็เกิดระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พริบตาเดียวนางก็หายไปต่อหน้าต่อตาเยี่ยเทียนหยวน
เช่นเดียวกันกับองค์หญิงฝูเยาที่ไม่พบเสียแล้ว
เยี่ยเทียนหยวนใบหน้าเย็นเยียบ ความกังวลที่เขามีต่อมั่วชิงเฉินกดทับความตั้งใจที่จะขอโทษองค์หญิงฝูเยาเสียแล้ว เขาชูดาบยาวเพลิงม่วงขึ้น จากนั้นรักแท้ตัดสะบั้นก็สำแดงออกมา
แสงวิญญาณสาดส่องทั่วทิศทาง เรือนที่ทุกคนอาศัยอยู่ถูกผ่าออกเป็นสองท่อนและล้มลงเสียงดัง ครืน
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงที่หลบอยู่ในห้องเพื่อโคจรกำลังภายในพุ่งออกมาอย่างไม่มีทางเลือก เขากระแอมพลางพูด “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
เยี่ยเทียนหยวนมองไปรอบๆ จากนั้นก็หันหลังจากไปเมื่อไม่พบเบาะแสใดๆ
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงขมวดคิ้วอย่างงงงวย เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันไม่ไกลนัก สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากลังเลเล็กน้อยก็ตามไป
อีกฝั่งหนึ่ง หลัวอวี้เฉิงและพวกหมาป่าน้อยกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับเจ้าหุบเขาไป่กั่ว เพียงแต่ด้วยข้อจำกัดด้านระดับขั้น พวกเขาจึงถูกเจ้าหุบเขาไป่กั่วโจมตีจนต้องถอยร่น ดูหน้าหวาดเสียวเสียร้อยส่วน
เจ้าหุบเขาไป่กั่วก็เงยหน้าขึ้นโดยพลันเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเจ้าปีศาจ จากนั้นก็ทะยานขึ้นไปอยู่ตรงหน้าเจ้าปีศาจ เขาหัวเราะเสียงเย็นพลางกล่าว “มิน่าเล่าถึงได้กล้ามาพาลอยู่หน้าบ้านข้า ที่แท้ก็มีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง!”
พูดจบก็ไม่รอให้เจ้าปีศาจลั่วเฟิงเอ่ยสิ่งใด เขาส่งอาวุธวิเศษออกไปทันที
ในใจของเจ้าปีศาจลั่วเฟิงกระอักเลือด ทว่ากลับไม่มีแม้แต่เวลาจะด่าทอ จึงต้องต่อสู้กับเจ้าหุบเขาไป่กั่ว
เยี่ยเทียนหยวนเคลื่อนย้ายมาอยู่ข้างหมาป่าน้อยในฉับพลัน “หมาป่าน้อย เจ้าประสาทสัมผัสด้านการดมไวมิใช่หรือ รีบดมตำแหน่งของชิงเฉินหน่อย”
ปีกจมูกของหมาป่าน้อยขยับ เขาถอนหายใจอย่างแรง จากนั้นสีหน้าก็ไม่น่าดูนัก “ข้าไม่ได้กลิ่นอายของนายท่านเลย!”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น!” หลายคนถามขึ้นพร้อมกัน
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงคำรามเสียงดังอย่างหงุดหงิด “พวกเจ้าอย่ามัวแต่พูดเรื่อยเปื่อย มาช่วยข้าสิ!”
เขาถูกดึงเข้ามาพัวพันด้วย แต่เหตุใดคนอื่นถึงได้ไม่สนใจไยดีและมีแค่เขาคนเดียวที่กำลังต่อสู้กันเล่า
“นายท่านหายไปแล้ว ผู้ใดจะมีเวลามาช่วยเจ้ากัน!” อีกาไฟคำรามกลับอย่างหาญกล้า
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงกัดฟัน ความโกรธของเขาที่มีต่อมั่วชิงเฉินพุ่งขึ้นสูงอย่างน่าตกใจ
นางหนูนี่อีกแล้ว!
เทพสวรรค์ไร้ศีลธรรม ตั้งแต่ข้าสมาคมกับนางหนูผู้นี้ ท่านเองก็หนีตามนางไปแล้วใช่หรือไม่!
สายฟ้าฟาดลงมาส่งเสียง เปรี้ยง ใต้ฝ่าเท้าของเจ้าปีศาจลั่วเฟิง
ร่างของเจ้าปีศาจลั่วเฟิงสั่นไหวอย่างถูกคาถาของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็กระอักโลหิตออกมา
ทุกคนจ้องมองไปยังอีกาไฟ
“เจ้านกอ้วน เจ้าเป็นไส้ศึกหรือ!” เจ้าปีศาจลั่วเฟิงโมโหจนรู้สึกวิงเวียน
อีกาไฟสีหน้าไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย “อย่าใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น หากข้าเป็นไส้ศึกข้าหั่นเจ้าไปตั้งนานแล้ว!”
ทันทีที่เจ้าปีศาจลั่วเฟิงได้รับบาดเจ็บก็ถูกเจ้าหุบเขาไป่กั่วโจมตีจนไม่มีโอกาสได้เอ่ยอะไร จากนั้นก็ได้ยินเขาน้อยพูดอย่างขลาดกลัว “นี่ก็ถูกหั่นจนเอียงแล้วมิใช่หรือ”
“พอได้แล้ว พวกเจ้าไม่เป็นกังวลว่านายท่านอยู่ที่ไหนหรืออย่างไร” อีกาไฟพาลโกรธ
“ข้าไม่ได้กลิ่นอายของนายท่าน เช่นนั้นแล้วมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว ยามนี้นางอยู่ในมิติอื่น” หมาป่าน้อยกล่าว
“มิติอื่นหรือ หรือว่าองค์หญิงฝูเยาพานางไป” เยี่ยเทียนหยวนอธิบายเหตุการณ์ในเวลานั้น
หลัวอวี้เฉิงถอนหายใจเบาๆ “หากเป็นเช่นนั้น ชิงเฉินคงจะไม่มีปัญหานัก พวกเราไปช่วยเจ้าปีศาจเถิด หากไม่ช่วยเกรงว่าเขาจะแพ้”
“นายท่านจะไม่เป็นอะไรจริงหรือ” เขาน้อยถามด้วยใบหน้าเป็นกังวล
หลัวอวี้เฉิงตบศีรษะของเขาน้อยเบาๆ จากนั้นปรายตามองเจ้าหุบเขาไป่กั่ว “ถ้าหากสู้กันตัวต่อตัวแล้ว องค์หญิงฝูเยามิใช่คู่ต่อสู้ของชิงเฉินหรอก”
เมื่อเห็นสีหน้าของเจ้าหุบเขาไป่กั่วเปลี่ยนไปเล็กน้อย ท่าทางโจมตีก็เปลี่ยนไปรวดเร็วและรุนแรงขึ้น ทุกคนรีบรุดเข้าช่วยเจ้าปีศาจลั่วเฟิง
ครู่เดียวสมบัติวิเศษและคาถามากมายก็ตีกันยุ่งเหยิงอย่างรวดเร็วและทรงอานุภาพมาก เพียงแต่สวนบุปผาขององค์หญิงฝูเยาที่แต่ไหนแต่ไรมาก็มิอนุญาตให้ผู้ใดเข้า ศิษย์ของหุบเขาไป่กั่วเองก็เช่นกัน
อีกฝั่งหนึ่ง มั่งชิงเฉินพบว่าสภาพแวดล้อมรอบกายเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา นางกำลังอยู่ท่ามกลางทะเลบุปผา ตรงหน้าคือองค์หญิงฝูเยาในชุดสีเหลืองที่มีใบหน้าโกรธเกรี้ยว
“องค์หญิงฝูเยา…”
มั่วชิงเฉินเพิ่งจะปริปากพูดขอโทษ องค์หญิงฝูเยาก็ลงมือทันที
“องค์หญิงฝูเยา ฟังข้าอธิบายก่อนเถิด…” มั่วชิงเฉินหลบหลีกจนทิวทัศน์รอบข้างกลายเป็นภาพพร่ามัว นางรู้ว่าตนเองเป็นฝ่ายผิดจึงไม่คิดตอบโต้
องค์หญิงฝูเยามีสีหน้าไม่น่ามองอย่างมาก นางพูดเสียงเย็น “หุบปาก ข้าไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น!”
ดอกท้ออัศจรรย์สีเขียวล้ำค่านัก วิญญาณบุปผาก็พบได้ยาก แต่ที่ล้ำค่ายิ่งกว่ามิใช่ลูกท้อสีเขียวหรือวิญญาณบุปผาที่หาได้ยาก แต่เป็นเลือดเนื้อจิตใจที่ทุ่มเทลงไปตลอดหลายปีมานี้
วิญญาณของดอกท้อสีเขียวมิได้แตกต่างอะไรกับบุตรของนาง
มือหนึ่งหยิบกิ่งไม้ที่นางปลูกจนแตกกิ่ง บุปผาผลิบาน ฟังมันเล่าเรื่องสุขและทุกข์ เล่าเรื่องโลกภายนอกที่แปลกใหม่และใฝ่ฝัน
นางเคยเล่าความในใจเกี่ยวกับบุตรีของนางให้มันฟัง มันก็เคยออดอ้อนออเซาะตนเอง เคยดื้อ แต่เมื่อมันมองเห็นโลกใบนี้ชัดเจนครั้งแรก ก็ถูกแม่นางผู้นี้ทำลายเสียแล้ว!
นางยังเคยได้ยินนางพูดว่านำทองมากมายเพียงใดมาแลก ก็แลกลูกท้อสีเขียวของนางมิได้!
ดวงจิตของมั่วชิงเฉินเพิ่งกลับเข้าร่างได้ไม่นาน ความรู้สึกที่มีต่อการเคลื่อนไหวของจิตวิญญาณก็อยู่ในสภาพลึกลับ นางรู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าอันเด่นชัดขององค์หญิงฝูเยาอย่างคาดไม่ถึง
ตั้งแต่บำเพ็ญเพียรมา นางก็เลื่อมใสในเรื่องของเวรกรรมมาโดยตลอด นางพิจารณาด้วยตนเองและมิเคยติดค้างผู้ใด แต่กลับรู้สึกละอายใจกับองค์หญิงฝูเยา
ถ้าเปลี่ยนเป็นอสูรวิญญาณของนางถูกฆ่า เกรงว่านางก็คงทำไม่ได้ดีไปกว่าองค์หญิงฝูเยา
รู้ดีว่าองค์หญิงฝูเยากำลังอยู่ในอาการเศร้าและโกรธ นางจึงมิได้กล่าวสิ่งใด ทั้งสองเริ่มต่อสู้กัน แน่นอนว่านางข่มกำลังไว้จนอยู่ในระดับเดียวกับอีกฝ่าย
หลังจากต่อสู้กันอยู่หลายชั่วยาม องค์หญิงฝูเยาก็กัดฟันพลางเอ่ย “เจ้ามิจำเป็นต้องอ่อนข้อให้ข้า!”
มั่วชิงเฉินจนปัญญา “องค์หญิงฝูเยา ท่านเองก็ทราบดีว่าท่านในตอนนี้ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
องค์หญิงฝูเยามีสีหน้าโกรธยิ่งกว่าเดิม “นี่นับเป็นอะไรกัน เจ้าคิดว่าเช่นนี้แล้วข้าจะยกโทษให้เจ้าหรือ นี่ยิ่งทำให้ข้ารังเกียจเจ้ายิ่งกว่าเดิมเสียอีก! ถ้าหากว่าเจ้าเคารพข้า เช่นนั้นแล้วก็ปลดปล่อยกำลังออกมาทำให้เต็มที่สิ!”
“ท่านแน่ใจหรือ” มั่วชิงเฉินถามอย่างอารมณ์ดี
“ข้าแน่ใจ!”
“ได้” มั่วชิงเฉินปลดปล่อยพลังทั้งหมด นางแสดงอิทธิฤทธิ์ที่ตื่นขึ้นมาในทันที ด้วยดวงจิตที่ออกจากกายบางครายามไม่ได้สติอันยาวนาน เส้นผมกลายเป็นหิมะ
จากนั้นดึงธนูเขียวซ่อนเร้น เส้นผมจำนวนนับไม่ถ้วนที่ก่อตัวขึ้นจากจิตสัมผัสปรากฏขึ้นมาในอากาศ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปพันบุปผาอย่างรวดเร็ว เมื่อดึงเส้นผมพวกนั้น บุปผาสดเหล่านั้นก็ถูกรัดจนสิ้นในชั่วพริบตา เช่นเดียวกันกับเส้นผมที่กลายเป็นดวงแสงดั่งละอองหิมะและสลายไป
ข้อได้เปรียบที่ทะเลบุปผานำมาให้องค์หญิงฝูเยาลดลงอย่างรวดเร็ว มั่วชิงเฉินขว้างก้อนอิฐออกไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
แสงสีทองจากก้อนอิฐส่องแสงแวววาวผ่านแก้มขององค์หญิงฝูเยา จากนั้นก็หมุนกลับและทุบลงบนเท้าของนางอย่างแรง
สีหน้าขององค์หญิงฝูเยาเปลี่ยนไปไม่น่ามองถึงขีดสุดโดยพลัน นางจ้องมองไปยังมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินกัดฟันพูด “เจ้าดูเสีย ข้าบอกแล้วว่าตอนนี้เจ้ายังมิใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
“เจ้า เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!” ดวงตาขององค์หญิงฝูเยามีน้ำตาคลออยู่วูบหนึ่ง จากนั้นนางก็กัดริมฝีปากอย่างแรงและเอียงศีรษะไปมา
“ข้าน้อยมั่วชิงเฉิน มีชื่อเรียกว่าชิงเฉิง ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากพรรคเหยากวงแห่งเทียนหยวน หากองค์หญิงฝูเยาอยากล้างแค้นด้วยตนเองเอง หลังจากท่านเลื่อนระดับแล้วสามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ องค์หญิงว่าเช่นนี้ดีหรือไม่”
ในสถานการณ์เช่นนี้ มั่วชิงเฉินเองก็ไม่มีวิธี ถึงแม้นางจะมีของล้ำค่ามากมายที่จะใช้ชดเชยให้ได้ แต่วิญญาณดอกท้อสีเขียวนั้นมีความหมายกับองค์หญิงฝูเยาเช่นเดียวกันกับที่พวกอู๋เย่ว์มีความหมายต่อนาง
เอาใจเราไปวัดใจผู้อื่น หากนางนำของล้ำค่าไปชดเชย พูดออกไปคงจะไร้ยางอาย
หลังจากได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉิน องค์หญิงฝูเยาหายใจลึกๆ หนึ่งครา ครู่ใหญ่กว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “หวังว่าเจ้าจะไม่คืนคำ แค้นนี้ข้าต้องชำระด้วยตัวเอง”
มั่วชิงเฉินยื่นมาออกมา
องค์หญิงฝูเยานิ่งอึ้ง
มั่วชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “สุภาพบุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ แม้ว่าข้าน้อยจะเป็นสตรี แต่ข้าก็ทำได้ องค์หญิงเล่า”