พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 658 ตบตีแบบสตรีที่ดุร้าย
องค์หญิงฝูเยามองมั่วชิงเฉิน
ใบหน้าของนางมีรอยยิ้มนุ่มนวล ดวงตาเผยให้เห็นความสบายใจและจริงใจ รวมถึง…ความรู้สึกเสียใจ
องค์หญิงฝูเยายอมรับอย่างช่วยไม่ได้ว่า ดวงตาคู่นี้งดงามยิ่งนักและทำให้ใจที่เดือดดาลของนางเย็นลงเล็กน้อย
หากจะกล่าวว่านางจะฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดโดยไม่ได้เจตนาเพราะพืชพรรณวิญญาณต้นหนึ่ง นางเองก็ทำไม่ลง ก่อนหน้านี้คิดเพียงแค่อยากมอบบทเรียนให้สตรีนางนี้อย่างโหดเหี้ยมและระบายความโกรธแทนลูกท้อสีเขียว
แต่ตอนนี้กลับยกโทษเสียอย่างนี้โดยมิได้สั่งสอน นางเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน
“หากเป็นเจ้า เจ้าจะทำเยี่ยงไร” องค์หญิงฝูเยามองตรงไปทางมั่วชิงเฉิน
“เรื่องอะไรหรือ”
องค์หญิงฝูเยากัดริมฝีปาก “อย่าแสร้งทำเป็นเลอะเลือน หากเจ้าเป็นนายของวิญญาณบุปผา เจ้าจะทำเยี่ยงไร”
“ถ้าหากเป็นข้า…” มั่วชิงเฉินหรี่ตามองกลีบบุปผาที่ระเกะระกะอยู่รอบด้าน “ถ้าหากเป็นเรื่องที่มีคนรังแกมัน ทำร้ายมันโดยเจตนา ข้าจะให้เขาชดใช้ด้วยชีวิต แต่ถ้าหากทำโดยมิเจตนา…”
มั่วชิงเฉินมองไปยังองค์หญิงฝูเยาและพูดอย่างจริงจัง “จะจัดการเขาอย่างโหดเหี้ยมทุกคราที่พบ”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่ข้าเอาชนะไม่ได้!” องค์หญิงฝูเยากัดริมฝีปาก แต่เพราะความคิดที่คล้ายกันของทั้งสอง ทำให้เกิดความรู้สึกเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง
มั่วชิงเฉินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “องค์หญิงฝูเยา มิทราบว่าท่านเคยลองตบตีแบบสตรีบนโลกิยะหรือไม่”
“ตบตีแบบสตรีบนโลกิยะหรือ” ดวงตาขององค์หญิงเป็นประกายประหลาดใจ
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “ใช่ พวกนางมิมีพลังวิญญาณ แม้แต่เรี่ยวแรงจะเชือดไก่ยังมิมี แต่กลับตบตีได้อย่างสบายอกสบายใจ อีกทั้งระบายความโกรธได้เป็นพิเศษ อยากลองดูสักหน่อยหรือไม่ มิแน่ว่าบางทีท่านอาจจะเอาชนะได้”
“สู้อย่างไรหรือ” ดวงตาขององค์หญิงฝูเยาสว่างขึ้น
“ผนึกพลังวิญญาณทั่วร่าง อยากสู้อย่างไรก็สู้อย่างนั้น” มั่วชิงเฉินกล่าว
องค์หญิงฝูเยาลังเลชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “ได้ พวกเรามาผนึกพลังวิญญาณกันและกันพร้อมกัน”
หลังเจรจาเรียบร้อย ทั้งสองก็ลงมือผนึกพลังวิญญาณของอีกฝ่าย
“เจ้าสอนข้าทีว่าสู้อย่างไร” องค์หญิงฝูเยาพูดด้วยสีหน้าขอคำชี้แนะ
มั่วชิงเฉินไม่รู้จะทำเช่นไร นางเองก็ตบตีแบบสตรีที่ดุร้ายไม่เป็น!
“คงมิใช่ว่าเจ้าเองก็ทำไม่เป็นหรอกใช่ไหม” เมื่อเห็นมั่วชิงเฉินไม่ส่งเสียงอะไร องค์หญิงฝูเยาผู้ฉลาดหลักแหลมก็แสดงท่าทีสงสัยของตนออกมา
สมองของมั่วชิงเฉินกำลังนึกย้อนกลับไปยามที่เห็นน้าสะใภ้ตบตีกับเพื่อนบ้าน ภายใต้สายตาสงสัยขององค์หญิงฝูเยานางก็ตัดสินใจพูดเงียบๆ ในใจว่า แม้จะมิเคยประสบพบเจอ แต่เคยได้ยินมา นางก้มตัวและศีรษะลง จากนั้นพุ่งเข้าชนองค์หญิงฝูเยา
องค์หญิงฝูเยาตกใจ “เจ้า เจ้ากำลังทำอะไร”
มั่วชิงเฉินพุ่งเข้ามาชนองค์หญิงฝูเยาจนล้มลงตามด้วยอธิบาย “ตบตีอย่างไรเล่า พวกเขาตบตีกันอย่างนี้…”
องค์หญิงฝูเยาที่ถูกชนจนล้มลงตกใจจนพูดติดๆ ขัดๆ “ตบตีเช่นนี้ก็ได้หรือ”
หลังจากชนจนองค์หญิงฝูเยาล้มลงไปแล้ว มั่วชิงเฉินก็คิดถึงขั้นตอน จากนั้นก็ขึ้นคร่อมองค์หญิงฝูเยา หลับตาและยื่นมือออกไปคว้าผมอีกฝ่าย
อย่าว่าแต่ถูกนั่งทับเลย ทั้งชีวิตองค์หญิงฝูเยาไม่เคยสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ใดเช่นนี้มาก่อน เมื่อรู้สึกตัวก็ดิ้นรนอย่างแรง มั่วชิงเฉินรู้สึกได้เพียงความอ่อนนุ่มและอบอุ่นใต้ฝ่ามือ หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง
มั่วชิงเฉินรีบลืมตาและก้มลงมอง มือทั้งสองข้างกำลังกดลงบนหน้าอกสูงตระหง่านของอีกฝ่าย
มิน่าเล่าถึงได้นุ่มเยี่ยงนี้ ทั้งยังใหญ่กว่าของนางอยู่มาก
มั่วชิงเฉินมองมือทั้งสองข้างของนางอย่างว่างเปล่า ในใจบังเกิดความคิดแปลกประหลาด
เมื่อเห็นมั่วชิงเฉินจ้องมองหน้าอกตนเองไม่ขยับ มือก็ยังไม่ขยับออก องค์หญิงฝูเยาก็รู้สึกเลือดสูบฉีด นางโกรธแล้ว นางยื่นมือทั้งสองข้างผลักมั่วชิงเฉินลง จากนั้นก็เปลี่ยนไปขึ้นคร่อมและบีบคอของนางไว้พร้อมทั้งหากปาก “ไร้ยางอาย อธิบายให้ข้าฟังเสียว่าเจ้าเป็นบุรุษที่ปลอมตัวเป็นอิสตรีใช่หรือไม่”
เพราะถูกบีบคอ มั่วชิงเฉินจึงยกขาขวาขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ครั้นพอได้สติก็รีบเก็บขากลับไป นางตกใจเสียจนเหงื่อเย็นไหลซึมออกมา
หากเตะขานี้ออกไปจริงๆ องค์หญิงฝูเยาทั้งสิบก็คงถูกเตะจนลอย
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร บีบคอทำให้คนตายได้นะ” มั่วชิงเฉินตะโกนไปใช้มือแยกมือขององค์หญิงฝูเยาออก แต่กลับพบว่าองค์หญิงฝูเยาที่กำลังอารมณ์ร้ายนั้นมีเรียวแรงมหาศาล นึกไม่ถึงว่าจะแยกไม่ออก
เมื่อรู้สึกหายใจลำบากและไม่กล้าใช้ขาขวา มั่วชิงเฉินโยนศีลธรรมทิ้งไปและคว้าเรือนผมขององค์หญิงฝูเยาไว้
“เจ้ากล้าคว้าผมของข้าผู้เป็นองค์หญิงหรือ ข้า ข้าจะกัดเจ้าเสีย!” องค์หญิงฝูเยาก้มศีรษะลงและกัดเข้าที่ไหล่ของมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินน้ำตาไหล นางยื่นกำปั้นออกไปชกเข้าที่ดวงตาข้างขวาขององค์หญิงฝูเยา
ยิ่งทั้งสองตบตีกันก็ยิ่งอารมณ์ร้อน สุดท้ายก็กอดกันไว้และดึงกันไปมา ดูจากสถานการณ์แล้วไม่ต่างอะไรกับการตบตีกันของสตรีที่ดุร้าย
จากนั้นรอทั้งสองคนออกจากอาณาเขตบุปผาและปรากฏตัวในสวนบุปผาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พวกเยี่ยเทียนหยวนที่ถูกลูกศิษย์ซึ่งเจ้าหุบเขาไป่กั่วเรียกมาปราบ มองสตรีสองนางที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง รอยเล็บเต็มใบหน้า ทั่วทั้งกายและปกคลุมไปด้วยเศษกลีบบุปผาและใบไม้ต่างก็ตกตะลึง
ทั้งสองฝ่ายมองหน้ากันอยู่ครู่ใหญ่ องค์หญิงฝูเยาก้มหน้าลงมาตนเอง จากนั้นสีหน้าก็เข้มขึ้นกว่าเดิม “ท่านพ่อ พวกเขาเข้ามาได้อย่างไร!”
ทันใดนั้นเจ้าหุบเขาไป่กั่วก็ได้สติ เขาโบกมือ “เอาตัวพวกเขาไป!”
ชั่วพริบตาก็ย้ายมาอยู่ข้างกายองค์หญิงฝูเยา “ฝูเยา เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
พูดจบก็มองไปยังมั่วชิงเฉินด้วยสายตาเย็นเยียบราวน้ำแข็ง จากนั้นยกมือขึ้นและตบลงบนใบหน้าของนาง
“ชิงเฉิน!” พวกเยี่ยเทียนหยวนที่ถูกควบคุมตัวอยู่สีหน้าเปลี่ยนไปมาก
ลูกศิษย์เหล่านั้นก้มหน้าและพาพวกเยี่ยเทียนหยวนออกไปข้างนอก
“ท่านพ่อ อย่า!” องค์หญิงฝูเยายื่นมือขวาง จากนั้นเหลือบมองพวกเยี่ยเทียนหยวนและพูดเสียงเรียบ “ท่านพ่อ ให้ลูกศิษย์พวกนี้ถอยไปและปล่อยพวกเขาเถิดเจ้าค่ะ”
เจ้าแห่งหุบเขาไป่กั่วรู้สึกแปลกใจอย่างมาก “ฝูเยา หรือว่าเด็กน้อยเยี่ยงเจ้าจะเสียใจเสียจนพูดไร้สาระออกมา”
“ท่านพ่อ ข้าเปล่าเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นแล้วเหตุใดเจ้าจึงอยากปล่อยพวกเขาเล่า” เจ้าหุบเขาไป่กั่วสีหน้าเปลี่ยนไปมาก เขามองมั่วชิงเฉิน “หรือว่านางหนูผู้นี้ใช้วิชานอกรีตทำให้จิตใจเจ้าลุ่มหลงเสียแล้ว”
การเอาชนะเขาที่ระดับการบำเพ็ญเพียรเทียบเท่ากับเจ้าปีศาจไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนั้นยังมีคนฝีมือดีอีกมากมาย ทั้งยังจำใจทำลายกฎเกณฑ์เรียกลูกศิษย์เข้ามาในสวนบุปผาของบุตรสาวเพื่อปราบคนเหล่านี้ เมื่อปล่อยไปก็ไม่ต่างอะไรจากปล่อยเสือกลับภูเขา
องค์หญิงฝูเยาก้าวเข้ามาข้างหน้าหนึ่งก้าว นางยื่นมือออกมาจับแขนของเจ้าหุบเขาไป่กั่ว “ท่านพ่อ ลูกอยู่ในห้วงแห่งเทพบุปผาของตนเองจะจิตใจลุ่มหลงได้อย่างไรเล่า อีกอย่างลุ่มหลงมิลุ่มหลงท่านก็ดูไม่ออกหรือเจ้าคะ”
เมื่อเห็นแววตากระจ่างใสของบุตรี เจ้าหุบเขาไป่กั่วก็เบาใจลงไปเล็กน้อย แต่ก็มิวายถามอย่างสงสัย “ฝูเยา เจ้าคิดอย่างไรกันแน่”
“ท่านพ่อ ท่านรอให้ลูกศิษย์เหล่านั้นกลับไปค่อยถามมิได้หรือ” องค์หญิงฝูเยาพูดอย่างไม่พอใจ
เห็นท่าทางของบุตรีมีลับลมคมนัย เจ้าหุบเขาไป่กั่วจึงโบกมือ “พวกเจ้าถอยไปเสียเถิด ส่วนพวกนั้นอยู่ต่อก่อน”
รอจนลูกศิษย์หุบเขาไป่กั่วแยกย้ายไปจนหมด องค์หญิงฝูเยาถึงได้พูดขึ้น “ท่านพ่อ ข้าขอไปจัดการตนเองเสียหน่อย”
พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปไม่กี่ก้าวและหันกลับมา นางมองมั่วชิงเฉินพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “เจ้าวางแผนไว้เช่นนี้หรือ”
แม้จะเป็นเพียงการพบกันครั้งแรก แต่มั่วชิงเฉินกลับมองออกว่าองค์หญิงฝูเยาเป็นสตรีที่มีนิสัยอ่อนโยนและใจดี หากมิใช่เพราะเหตุสุดวิสัยนี้ ไม่แน่ว่าทั้งสองอาจเป็นสหายที่ดีต่อกันได้
เพียงแต่ยามนี้การตายของวิญญาณดอกท้อสีเขียวเป็นหนามที่ขวางอยู่ระหว่างทั้งสองคน
มั่วชิงเฉินลุกขึ้นและคำนับเจ้าหุบเขาไป่กั่วเล็กน้อย จากนั้นพูดกับพวกเยี่ยเทียนหยวนที่บนใบหน้าเต็มไปด้วยเศษกลีบบุปผา “ข้าก็ขอตัวไปจัดการตนเองสักหน่อยก่อน”
ไร้เสียงตอบรับจากทุกคน…
รอจนมั่วชิงเฉินและองค์หญิงฝูเยากลับมา รวมถึงเจ้าหุบเขาไป่กั่วที่อยู่ท่ามกลางทุกคนก็ยังคงจ้องมองด้วยท่าทีเงียบเชียบ
“ฝูเยา นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
องค์หญิงฝูเยาที่จัดการตนเองเรียบร้อยแล้วยิ้มจางๆ “มิมีอะไร ลูกเพียงแค่อยากแก้แค้นด้วยน้ำมือของตัวเองเท่านั้นเจ้าค่ะ ส่วนผู้อื่นนั้น มิมีความจำเป็นใดต้องลากผู้บริสุทธิ์มาเกี่ยวข้องเจ้าค่ะ”
เจ้าหุบเขาไป่กั่วกวาดตามองมั่วชิงเฉินพลางขมวดคิ้ว “ฝูเยา เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของนาง”
“ท่านพ่อ ข้าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นกลางตลอดไปหรอกเจ้าค่ะ”
“ฝูเยา เจ้าช่างไร้เดียงสานัก ถ้าหากปล่อยพวกเขาไป แม้ว่าวันหนึ่งระดับการบำเพ็ญเพียรของเจ้าจะตามทันพวกเขา จนสามารถแก้แค้นได้ด้วยตนเอง เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะนิ่งดูดายหรือ”
เขาที่เป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิต ทราบดีว่าคนเหล่านี้จัดการยากเพียงใด
“ผู้อาวุโส พวกเขาจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว ที่ข้าน้อยติดค้างไว้ ข้าน้อยจะชดใช้ด้วยตัวเอง” มั่วชิงเฉินกล่าวอย่างสงบ
เมื่อเห็นสีหน้านิ่งเงียบของเจ้าหุบเขาไป่กั่ว มั่วชิงเฉินจึงมองพวกเยี่ยเทียนหยวน “ใช่หรือไม่”
เยี่ยเทียนหยวนส่งยิ้มจางๆ ให้มั่วชิงเฉิน จากนั้นมองเจ้าหุบเขาไป่กั่ว “ภรรยาพูดไม่ผิด ควรเป็นนางที่ต้องรับภาระ ข้าน้อยจะไม่ยุ่งเกี่ยวขอรับ”
เขาเพียงแค่ จะอยู่กับนางตลอดก็เท่านั้น
เจ้าหุบเขาไป่กั่วเลื่อนสายตาไปมองหลัวอวี้เฉิง
หลัวอวี้เฉิงยิ้ม “ถ้าหากสหายมั่วเอาชนะองค์หญิงฝูเยามิได้ ก็เป็นเพียงเพราะทักษะของนางด้อยกว่า”
เด็กที่มุทะลุผู้นั่นน่ะหรือจะเอาชนะองค์หญิงผู้งดงามมิได้ เป็นไปได้อย่างไร
อีกาไฟรีบพูด “ข้าเห็นด้วยกับนายท่าน” ในใจเติมเข้าไปว่า ก็แปลกแล้ว!
ในขณะที่อีกาไฟแอบใช้ปีกกระทุ้ง หมาป่าน้อยจึงพยักหน้าอย่างฝืนใจ
มีเพียงเขาน้อยที่มีสีหน้าจริงใจ แต่มันไม่ได้พยักหน้า ทำเพียงแค่แสดงสีหน้าจริงใจเท่านั้น
จากนั้นเจ้าหุบเขาไป่กั่วก็มองศัตรูตัวฉกาจอย่างเจ้าปีศาจ
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงนวดบาดแผลที่เจ็บปวด จากนั้นพูดอย่างเซื่องซึม “ข้ากล่าวว่าขอบคุณได้หรือไม่”
หลายวันต่อมาพวกมั่วชิงเฉินก็ออกจากหุบเขาไป่กั่ว องค์หญิงฝูเยาส่งพวกเขาด้วยสีหน้าเย็นชา
“องค์หญิงฝูเยา แล้วพบกันใหม่วันหน้า” มั่วชิงเฉินแสดงความเคารพสำหรับรุ่นเดียวกันกับองค์หญิงฝูเยา
องค์หญิงฝูเยาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจอกันครั้งหน้าก็คือยามที่ข้าจัดการกับเจ้า พรรคเหยากวงแห่งดินแดนเทียนหยวน ข้าจดจำไว้แล้ว”
มั่วชิงเฉินยิ้มจากนั้นก็มอบสุราน้ำเต้าให้หลายลูก “มาได้ทุกเมื่อ”
องค์หญิงฝูเยาไม่รับ
มั่วชิงเฉินยัดลงไปในมือของนาง “วันนั้นข้ารดสุรานี้ลงบนต้นท้อสีเขียว บังเอิญวิญญาณบุปผาก็ถือกำเนิดขึ้น มิแน่ว่าลูกท้อสีเขียวของเจ้าอาจชอบดื่มสุราก็เป็นได้ องค์หญิงใช้สุราเลิศรสนี้รดลงไปมากหน่อย มิแน่อาจช่วยฟื้นฟูปราณดั้งเดิมให้รวดเร็วได้ ต้นไม้ใบหญ้ามิใช่มนุษย์ บุปผาบานบุปผาโรย กลายเป็นดินในวสันต์ช่วยโอบถนอม ส่วนรากมิเปลี่ยนแปลงยังคงแพร่พันธุ์วิญญาณบุปผาเช่นเดิม…”
องค์หญิงฝูเยานิ่งอึ้ง นางก้มหน้ามองสุราน้ำเต้าในมือพลางพึมพำ “ลูกท้อเขียวยังคงแพร่พันธุ์วิญญาณบุปผาได้หรือ”
ในฐานะที่เป็นผู้สามารถสื่อสารกับพืชวิญญาณได้ตั้งแต่กำเนิด แน่นอนว่านางทราบดีกว่าพืชวิญญาณนั้นไม่เหมือนกับมนุษย์ แม้ตามทฤษฎีแล้วเพียงแค่เป็นพืชวิญญาณชนิดเดียวกัน ก็จะแพร่พันธุ์บุปผาวิญญาณเช่นเดียวกัน เพียงแต่พืชวิญญาณต้นหนึ่งแพร่พันธุ์บุปผาวิญญาณต้นหนึ่งก็นับว่าพบได้ยากแล้ว แล้วยังสามารถแพร่พันธุ์บุปผาวิญญาณได้อีกครั้งเช่นนั้นหรือ ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ทั้งๆ ที่เป็นศัตรูกัน แต่นางเชื่อคำพูดของมั่วชิงเฉินอย่างบอกไม่ถูก ทันใดนั้นนางก็เงยหน้าแต่กลับพบว่าคนกลุ่มนั้นได้หายขึ้นไปบนท้องฟ้าเสียแล้ว
“ศิษย์น้อง กลับจงหลางใช่หรือไม่”
มั่วชิงเฉินมองออกไปไกลพลางพยักหน้า “อืม ข้าอยากไปถามซีอวิ๋นเจินจุน มิแน่ว่าอาจมีข่าวคราวของอาสิบสี่”