พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 659 ในที่สุดก็ได้กลับบ้านเกิด
ครั้นปีก่อนที่พบกับซีอวิ๋นเจินจุน มั่วชิงเฉินก็ได้พูดถึงเรื่องอาสิบสี่แล้ว แต่ซีอวิ๋นเจินจุนกลับไม่มีความทรงจำใดๆ
ถ้าหากอ้างอิงจากการคาดเดาก่อนหน้านี้ อาสิบสี่อาจจะมาที่จงหลางเพราะเวินหนิง เช่นนั้นแล้วอาศัยจากสถานะของเวินหนิง อาสิบสี่ที่เป็นผู้นำข่าวของนางมาจะต้องรบกวนผู้นำระดับสูงของสำนักฉางซู่อย่างแน่นอน
แต่ข้อเท็จจริงคือซีอวิ๋นเจินจุนไม่ได้ทราบเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้วมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นคืออาสิบสี่ไม่เคยมาที่สำนักฉางซู่
ดังนั้นเมื่อยามแยกจากซีอวิ๋นเจินจุน มั่วชิงเฉินจึงขอร้องให้เขาช่วยสืบข่าวที่อยู่ของอาสิบสี่
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกนางก็เหาะข้ามผ่านทะเลอันกว้างใหญ่จนในที่สุดก็กลับมาถึงจงหลาง
สิบกว่าปีผ่านไป สำนักฉางซู่ไม่ได้มีสภาพราวซากปรักหักพังดั่งเช่นก่อนหน้านี้ แต่กลับสูงตระหง่านและโอ่อ่า ฟื้นฟูกลับสู่บรรยากาศที่สำนักยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งแห่งจงหลางพึงมี
เมื่อพบซีอวิ๋นเจินจุน มั่วชิงเฉินก็พูดจุดประสงค์ในการมาทันที
ซีอวิ๋นเจินจุนส่ายหน้า “หลายปีมานี้ข้าได้สั่งให้คนในสำนักออกไปสืบข่าวคราวแล้ว แต่มิพบข่าวคราวอะไร”
ในใจของมั่วชิงเฉินบังเกิดความไม่เข้าใจเมื่อได้ยิน
ซีอวิ๋นเจินจุนพูดอย่างตรงไปตรงมา “ชิงเฉิน แม้ว่าหลายปีก่อนสำนักฉางซู่จะประสบกับภัยพิบัติ ลูกศิษย์ระดับต่ำจำนวนมาก ออกไปจากสำนักและกระจายไปทั่วจงหลาง หากอยากสืบข่าวคราวใดก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องยาก ถ้าหากว่าไม่มีข่าวคราวใด เกรงว่าคนที่เจ้าตามหามิเคยมาที่จงหลาง หรือไม่ก็…”
แม้ว่าความทรงจำในวัยเด็กจะผ่านมานานมากแล้ว ช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกับอาสิบสี่ก็มีเพียงแค่สองปีสั้นๆ แต่มั่วชิงเฉินมีความรู้สึกพิเศษให้กับเขา ผู้ที่พานางกลับไปยังตระกูลมั่วและเริ่มต้นเดินบนเส้นทางเซียน
พูดได้ว่าอาสิบสี่อยู่ในใจของนาง เหมือนกับการดำรงอยู่ของบิดา
เมื่อได้ยินคำพูดของซีอวิ๋นเจินจุน ด้วยสภาพจิตใจในยามนี้ของมั่วชิงเฉิน นางจึงเงียบอยู่ครู่ใหญ่
ด้วยแหล่งที่มาของเวินหนิง ประกอบกับเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน ทำให้ซีอวิ๋นเจินจุนมองมั่วชิงเฉินเป็นชนรุ่นหลังด้วยใจจริง เมื่อเห็นเช่นนี้จึงพูดให้กำลังใจ “ชิงเฉิน เจ้าควรจะทราบดี ผู้บำเพ็ญเพียรควรไม่ควรอ่อนไหวไปตามอารมณ์ ถึงแม้การจากลาชั่วนิรันดร์จะทำให้รู้สึกเศร้าโศก แต่มิควรยึดติดกับมันจนเกินไป”
“ข้าน้อยเข้าใจคำพูดของเจินจุน เพียงแต่อารมณ์ความรู้สึกแบบปุถุชนทั่วไปนั้นเป็นไปตามเจตนาเดิม เผชิญหน้ากับเจตนาเดิม กลับสู่เจตนาเดิม ไม่เสียใจในเจตนาเดิม ล้วนเป็นมรรคาของชิงเฉิน”
ซีอวิ๋นเจินจุนได้ยินแล้วก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ตามด้วยเผยรอยยิ้มสบายๆ “คำว่ามรรคาเพียงคำเดียว ผู้คนนับหมื่นก็มีความคิดนับหมื่น ขอเพียงชิงเฉินมั่นคงในจุดยืนมรรคาของตนเองก็พอ จริงสิ ข้ามีเรื่องเรื่องหนึ่งต้องบอกแก่พวกเจ้า”
“เจินจุนพูดเรื่องอะไรหรือ” มั่วชิงเฉินถาม
“เจ้ามีพี่สาวหนึ่งนางใช่หรือไม่ ยามนี้นางกำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในสำนัก”
“ว่าอย่างไรนะ” หลังจากได้ยินหัวใจของมั่วชิงเฉินก็เต้นแรงขึ้น
ซีอวิ๋นเจินจุนเห็นอย่างนี้จึงเรียกให้ศิษย์พาพวกเขาไป
“พี่สิบ!” เมื่อเห็นสตรีชุดแดงกำลังหยอกล้อกับเด็กน้อย มั่วชิงเฉินก็รีบเดินเข้าไป
มั่วหร่านอีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นดวงตาก็มีแววปีติยินดี “น้องสิบหก!”
มั่วชิงเฉินมองมั่วหร่านอีขึ้นๆ ลงๆ จากนั้นก็พูดอย่างลังเล “พี่สิบ ซีอวิ๋นเจินจุนบอกว่าท่านกำลังรักษาอาการบาดเจ็บ…”
แววปีติยินดีในตาของนางหม่นหมองลง “ข้าไม่เป็นไร อาชิงต่างหากที่บาดเจ็บสาหัสและนอนหลับใหลตลอดหลายปีมานี้”
ยามนั้นเด็กน้อยที่ยืนอิงแอบอยู่ข้างกายมั่วหร่านอีก็ยื่นมืออ้วนป้อมน้อยๆ นั่นออกมาแหย่มั่วชิงเฉิน พลางพูดอย่างไร้เดียงสา “น้าสิบหก ท่านจำตูตูได้หรือไม่”
มั่วชิงเฉินมองแขนขาอ้วนๆ บนศีรษะของตูตูยังมีหูเสือคู่หนึ่งที่นางชอบมากอยู่ นางยกเขาขึ้นและจูบหนักๆ ไปหนึ่งที “จำได้แน่นอน น้าสิบหกจะลืมตูตูที่รักไปได้อย่างไรกันเล่า!”
ใบหน้าของตูตูขึ้นริ้วสีแดง เขาพยายามหลบ “อาสิบหก ท่านจูบข้าไม่ได้ ท่านเป็นสตรี”
“ทำไมหรือ” มั่วชิงเฉินเย้าหยอกเขาอย่างตั้งใจ
“เพราะว่า เพราะว่า…” ตูตูชายตามองมั่วหร่านอี จากนั้นกล่าวด้วยเสียงเบา “ท่านแม่บอกว่าตูตูกับท่านพ่อให้ท่านแม่จูบได้เพียงผู้เดียว มิเช่นนั้นจะถูกทุบตี”
มั่วชิงเฉินแกล้งจูบตูตูอีกหลายครา จากนั้นก็อุ้มเขาไว้ในอ้อมแขนและมองมั่วหร่านอี “พี่สิบ พาพวกเราไปหาอาชิงเถิด”
“มิได้ เจ้าไปมิได้” ใบหน้าของมั่วหร่านอีแดงเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
มั่วหร่านอีถึงได้พูดขึ้น “อาชิงมิอาจรักษาร่างมนุษย์ไว้ได้ ตอนนี้อยู่ในร่างเดิม…”
มั่วชิงเฉินตะลึงอยู่ชั่วครู่ถึงได้เข้าใจ ปล่อยให้พวกเยี่ยเทียนหยวนเข้าไป ส่วนนางรั้งอยู่พูดคุยกับมั่วหร่านอี
สองพี่น้องเล่าเรื่องที่ผ่านมาในหลายปีนี้ของตน
มั่วหร่านอีเพิ่งทราบว่าวัยรุ่นทั้งสองที่เดินตามเยี่ยเทียนหยวนคือหมาป่าน้อยกับเขาน้อย
มั่วชิงเฉินเองก็เสียดายที่คลาดกับมั่วหร่านอี ถ้าหากว่าไปยังโพ้นทะเลช้ากว่านั้นสักนิด นางก็จะสามารถเรียกพวกเขาให้ไปด้วยกันได้
ไม่ใช่เพราะว่าหลังจากพวกเขาอยู่ใกล้ๆ เพราะฐานะครึ่งปีศาจของตูตูถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงจับจ้อง ต้องการจะลงมือสังหารในนามแห่งบัญชาสวรรค์
โชคดีที่ก่อนมั่วหร่านอีแต่งงานนางสืบข่าวคราวของมั่วชิงเฉินมาตลอด ซึ่งดึงดูดความสนใจของสำนักฉางซู่ถึงได้ถูกช่วยเอาไว้
จากนั้นไม่นานพวกเยี่ยเทียนหยวนก็ออกมา มั่วชิงเฉินถามเกี่ยวกับอาการของอาชิง เยี่ยเทียนหยวนเอ่ย “ดูจากสภาพของอาชิงแล้ว ซีอวิ๋นเจินจุนคงจะให้การดูแลอย่างดี เพียงแต่ถึงอย่างไรเสียมนุษย์และปีศาจนั้นก็มีข้อแตกต่างเป็นพิเศษ ทำให้ผลการรักษามีขีดจำกัด”
หลัวอวี้เฉิงกวาดตามองเจ้าปีศาจ
ประสาทสัมผัสของเจ้าปีศาจว่องไว เขาทำสีหน้าอวดดีทันทีและแทบจะพูดออกมาตรงๆ ว่า เจ้าขอร้องข้าสิ
มั่วชิงเฉินมองเจ้าปีศาจ
เจ้าปีศาจเชิดหน้าขึ้น ศีรษะเอียงไปด้านข้างเล็กน้อย ในใจคิด นางหนูผู้นี้ ครั้งนี้จะต้องให้เจ้าขอร้องข้าสักหนึ่งร้อยแปดสิบครั้ง จากนั้นข้าก็มิยอมรักษาให้เขา ยั่วให้นางโมโหจนตาย!
คิดไม่ถึงว่าเมื่อกลิ่นหอมจางๆ โชยมา มั่วชิงเฉินก็พามั่วหร่านอีมองตรงไปข้างหน้าและเดินผ่านข้างกายเจ้าปีศาจ จากนั้นยืนอยู่หน้าประตูพลางพูด “พี่สิบ ท่านเข้าไปจัดการอาชิงให้เรียบร้อยเถิด ข้าจะเข้าไปรักษาอาการบาดเจ็บให้เขา”
“น้องสิบหก เจ้าทำได้หรือ” มั่วหร่านอีย่นคิ้ว
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงหันไปจ้องมั่วชิงเฉินโดยพลัน เขาพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “นั่นสิ เจ้าทำได้หรือ อย่ารักษาพี่เขยของเจ้าจนตายแล้วให้พี่สาวของเจ้าเป็นม่ายเล่า!”
นางหนูผู้นี้ ขอร้องข้าสักหน่อยมันจะตายหรือไร!
“หุบปากเสียๆ ของเจ้า!” มั่วชิงเฉินและมั่วหร่านอีพูดขึ้นพร้อมกัน คนหนึ่งขว้างก้อนอิฐออกไป อีกคนสะบัดแส้ออกไป
แน่นอนว่าสิ่งนี้มิอาจทำให้เจ้าปีศาจได้รับบาดเจ็บแต่เขากลับโกรธจนกระทืบเท้า
มั่วชิงเฉินไม่ขอร้องตนก็ช่างเถิด แต่มั่วหร่านอีรู้ดีว่าตนเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บให้อาชิงได้ แต่ยังพาลได้ถึงเพียงนี้ พี่น้องตระกูลมั่วนี่เหนือกว่าเขาแล้วอย่างนั้นหรือ
ทันใดนั้นก็นึกถึงใบหน้าเย็นชาใบหน้าหนึ่ง ทันทีที่มั่วเฟยเยียนพูดกับเขาก็โยนมีดบินมา เจ้าปีศาจพลันรู้สึกกลุ้มใจอย่างถึงที่สุด
ชาติที่แล้วเขาต้องขุดสุสานบรรพบุรุษตระกูลมั่วไว้แน่ใช่หรือไม่
เห็นสีหน้าของเจ้าปีศาจอ่านไม่ได้ มั่วชิงเฉินก็กระแอมเบาๆ “ท่านเจ้าปีศาจต้องลืมไปแล้วแน่ว่ามรรคาของข้าคือคืนปฐม”
นางสามารถดึงดูดปราณมรณะของแดนผีเข้าไปในกายแปรเปลี่ยนเป็นพลังบริสุทธิ์ได้ ว่ากันตามเหตุผลแล้วพลังบริสุทธิ์นั้นมิอาจถูกเจ้าปีศาจกำจัดได้ ไม่แน่ว่าอาจจะดีกว่าการใช้พลังปีศาจรักษาอาการบาดเจ็บ
เป็นดังที่คาดเอาไว้ มั่วชิงเฉินใช้พลังบริสุทธิ์รักษาอาการบาดเจ็บให้แก่อาชิงและได้ผลจริง ทำเช่นนี้วันละสามเวลาต่อเนื่องไปสองเดือน ในที่สุดอาชิงก็ได้สติ ผ่านไปอีกครึ่งปีก็ฟื้นฟูร่างมนุษย์ได้
มั่วชิงเฉินเห็นเช่นนี้จึงกล่าว “พี่สิบ อาชิงรักษาร่างมนุษย์เอาไว้ได้แล้ว อาการบาดเจ็บก็ดีกว่าครึ่งแล้ว ที่เหลือเขาสามารถรักษาได้ด้วยตนเอง พวกท่านอยู่ที่สำนักฉางซู่ก่อนจะดีเสียกว่า ส่วนข้าจะไปตามหาพี่เก้า”
มั่วหร่านอีมิได้ห้ามปราม นางเพียงแค่กล่าว “โลกนี้กว้างใหญ่นัก ทั้งยังมีผู้คนมากมาย เจ้าคิดจะไปหานางที่ใดกัน”
มั่วชิงเฉินกล่าว “พี่สิบอาจจะยังไม่ทราบ หลังจากหมาป่าน้อยกลายร่างเขามีความสามารถพิเศษเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง ประสาทในการดมกลิ่นพิเศษและว่องไวมาก เพียงแค่นำสิ่งของที่มีกลิ่นอายของพี่เก้าให้เขาดมสักหน่อย เขาสามารถดมกลิ่นอายค้นหาร่องรอยได้ นอกเสียจากว่าอยู่ในมิติอื่น”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้ารีบไปตามหานางเถิด ข้าและอาชิงจะรออยู่ที่นี่”
มั่วชิงเฉินหยิบสิ่งของของมั่วเฟยเยียนออกมา มันคือยันต์ใจผนึกน้ำแข็งที่มั่วเฟยเยียนมอบให้นางเมื่อนานมาแล้ว ยันต์นี้เป็นยันต์ที่มั่วเฟยเยียนสร้างขึ้นเอง มีตราประทับวิญญาณอยู่ด้านในและมีกลิ่นอายเข้มข้น
หมาป่าน้อยดมกลิ่นอย่างละเอียดอยู่นานถึงจะนำทาง มั่วเฟยเยียนอยู่ในที่ที่ไกลจากที่แห่งนี้มาก เพราะระยะทางนั้นไกลมาก เขาจึงไม่อาจรับประกันได้ว่าจะหาพบ
พวกนางออกเดินทาง เดินๆ หยุดๆ หมุนเป็นวงกลมอยู่เช่นนั้น สีหน้าของหลัวอวี้เฉิงแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ
“อวี้เฉิง เจ้าเคยมาที่นี่หรือ” มั่วชิงเฉินถามอย่างอดไม่ได้
หลัวอวี้เฉิงเลิกคิ้วพลางยิ้ม “เจ้าเดาได้ด้วยหรือ”
“สีหน้าเช่นนั้นของเจ้าบอกไว้เกือบหมดแล้ว” มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก
หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังแดนไกล “ตามเส้นทางเหล่านี้ที่หมาป่าน้อยสำรวจ หากข้าคาดการณ์มิผิดสถานที่ที่แม่นางมั่วอยู่ ก็คงจะเป็นเมืองแห่งอาณาเขตน้ำแข็งที่ข้าเคยไป”
ทุกคนเชื่อคำพูดของหลัวอวี้เฉิง จากนั้นเหาะตรงไปยังเมืองแห่งอาณาเขตน้ำแข็ง หมาป่าน้อยพบว่ากลิ่นอายของมั่วเฟยเยียนเข้มข้นขึ้นตามที่คาด
ร่างของพวกเขาร่อนลงบนเมืองหิมะอันกว้างใหญ่ พวกเขาเดินอย่างเร่งรีบ สุดท้ายก็หยุดลงอยู่ตรงหน้าเรือนน้ำแข็งหลังหนึ่งบนเทือกเขาที่มีหิมะขาวโพลน
“พี่เก้าคงกำลังกักตนฝึกบำเพ็ญอยู่”
เมื่อทุกคนทราบดังนั้นจึงมิได้รบกวนในทันที แต่กลับสร้างเรือนน้ำแข็งหลายหลังใกล้ๆ กันนั้นเพื่อใช้พำนักอาศัย
อากาศที่เมืองแห่งอาณาเขตน้ำแข็งหนาวเย็นมาก มนุษย์ธรรมดามิอาจทนอยู่ได้ ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรต้องเคลื่อนพลังวิญญาณเพื่อต้านทานความหนาวเย็นตลอดเวลา
อีกทั้งปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกในสถานที่แห่งนี้ทั้งบริสุทธิ์ น่าเกรงขาม และเข้มข้น เหมาะสำหรับการบำเพ็ญเพียรอย่างมาก
ทุกคนบำเพ็ญเพียรไปพลางรอมั่วเฟยเยียนออกฌาน
พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเวลานัก พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปี มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนรู้สึกได้ว่าพวกเขามาถึงระดับก่อกำเนิดขั้นปลายสูงสุดในเวลาเดียวกัน ราวกับว่าจะข้ามผ่านฉากกำบังสุดท้ายไปยังระดับถอดดวงจิตได้ทุกเมื่อ
หากบำเพ็ญเพียรต่อไปก็ไม่น่าสนใจนัก มั่วชิงเฉินจึงคิดหลอมโอสถเซียนกลั่นจิต คาดไม่ถึงว่าในที่สุดประตูห้องของมั่วเฟยเยียนจะเปิดออกมา
ไอสีขาวของความหนาวเหน็บหมุนอยู่รอบกาย มั่วเฟยเยียนในชุดสีขาวทั้งกายเดินออกมา
นางในยามนี้คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย
เมื่อเห็นพวกมั่วชิงเฉิน ดวงตาของนางก็ฉายแววประหลาดใจอยู่วูบหนึ่งก่อนจะเลือนไปและกลับสู่ความสงบ “น้องสิบหก พวกเจ้ามาแล้ว”
หลังจากพูดคุยถึงเรื่องราวที่ผ่านมาหลายปีมั่วชิงเฉินก็กล่าว “พี่เก้า พวกเราไปที่สำนักฉางซู่ด้วยกันแล้วพาพี่สิบกลับเทียนหยวนกันเถิด”
คาดไม่ถึงว่ามั่วเฟยเยียนจะเงียบลงชั่วครู่และกล่าวว่า “มิได้ ข้าตั้งใจจะอยู่ที่นี่อีกนาน”
“พี่เก้า?”
“ข้าเพิ่งเลื่อนระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย ต้องการทำให้ระดับบำเพ็ญเสถียร หลายปีมานี้ที่ทัศนาจร ข้าพบว่าที่แห่งนี้เหมาะที่สุดและอยากบำเพ็ญเพียรที่นี่ต่อไป”
มั่วชิงเฉินรู้ว่ามั่วเฟยเยียนเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้น นางจึงกล่าว “เช่นนั้นแล้วพี่เก้าจะยังกลับไปที่เทียนหยวนหรือไม่”
มั่วเฟยเยียนหันกายมองไกลไปยังภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะพลางพูดเสียงเรียบ “อาจต้องรอให้ข้าบรรลุระดับถอดดวงจิต”
เมื่อได้ยินคำพูดของมั่วเฟยเยียน มั่วชิงเฉินก็มิได้กล่าวลาในทันที แต่กลับใช้เวลาถึงสามปีเต็ม ในที่สุดก็หลอมโอสถเซียนกลั่นจิตได้สำเร็จ นางมอบให้มั่วเฟยเยียนสองเม็ดถึงได้อำลานาง
หลังกลับมาถึงสำนักฉางซู่ ทุกคนก็รวมตัวกันและใช้ค่ายกลส่งตัวโบราณกลับสู่เทียนหยวน