พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 662-2 ซ่อนอาภรณ์สีเขียว / บทส่งท้าย
เพราะมั่วชิงเฉินอยากไปพบปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณ พวกเยี่ยเทียนหยวนจึงรออยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง
เข้าไปในวังผลึกแก้วอีกครา ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณตวนมู่จิ้งยังคงนั่งอยู่ลำพังบนหินโสโครกพลางฮัมเพลงเบาๆ เมื่อเห็นมั่วชิงเฉินมานางก็ยิ้มราวกับทักทายสหายเก่า “นางหนู เจ้ามาแล้วหรือ”
“ผู้อาวุโส” มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปคารวะ
แม้ว่านางจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย แต่ยังคงอ่านปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณไม่ออก
“ทำไมหรือ ผ่านมาก็เลยมาเยี่ยมข้าหรือ”
มั่วชิงเฉินขยับมือ กล่องหยกหนึ่งใบปรากฏออกมา นางมอบให้ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณอย่างนอบน้อม “ผู้อาวุโส อนุชนมิได้ทำให้ท่านผิดหวัง”
ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน นางรับตลับหยกมาด้วยมืออันสั่นเทา นางเปิดดูอยู่นาน น้ำตานองเต็มใบหน้า
มั่วชิงเฉินมีความสุขไปกับนางจากใจ “ผู้อาวุโส ในที่สุดท่านก็ทำตามปรารถนาได้สำเร็จแล้ว”
โดยไม่คาดคิดปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณเก็บตลับหยก จากนั้นมองมั่วชิงเฉินพลางยิ้มอย่างสงบ นางพูด “นางหนู ขอบใจเจ้า ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าจะหาผลแย่งลิขิตพบจริงๆ”
พูดจบก็โบกมือ แสงวิญญาณสายหนึ่งซึมเข้าไปในหน้าผากของมั่วชิงเฉิน “นางหนู สิ่งที่แสงวิญญาณสายนี้ห่อหุ้มไว้คือความลับของการเลื่อนขั้นระดับแยกวิญญาณ เจ้าจะอ่านมันได้หลังจากเจ้ากลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิต”
เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร มิอาจรีบเร่งได้ ยิ่งเป็นข้อความระดับสูงก็มักจะมีอุปสรรคพิเศษที่ทำให้อ่านไม่ได้ มั่วชิงเฉินมิได้รู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้ หลังจากกล่าวขอบคุณนางก็ถามอย่างประหลาดใจ “ผู้อาวุโส ท่านไม่กินผลแย่งลิขิตหรือ”
สายตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณทอดมองออกไปไกล นางพูดเรียบๆ “ไม่หรอก ไม่แน่ว่าหลังจากนี้อาจมีเด็กในตระกูลต้องการมันมากกว่า”
เห็นสายตาเต็มไปด้วยความสงสัยของมั่วชิงเฉิน ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณก็ยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อน “หนึ่งแสนปีก่อนหน้านี้ ข้าอยากได้ผลแย่งลิขิตจนบ้าคลั่ง หนึ่งหมื่นปีก่อนหน้านี้ ข้าคิดถึงมันแม้แต่ในฝัน หนึ่งพันปีก่อนหน้านี้ ข้าคิดว่าถ้าหากได้ผลแย่งลิขิตมาในตอนที่มีชีวิตอยู่ ก็ไม่มีความเสียดายในโลกมนุษย์นี้แล้ว ห้าร้อยปีก่อนหน้านี้ ข้าคิดอย่างไม่เต็มใจว่า ชีวิตนี้จะต้องดูให้ได้ว่าผลแย่งลิขิตหน้าตาเป็นอย่างไร ตอนนี้ข้าคิดว่ามันก็แค่นี้ สำหรับคนที่ต้องการมันคือสิ่งล้ำค่าหนึ่งเดียว สำหรับคนที่ไม่ต้องการมันก็แค่ผลไม้ประหลาดผลหนึ่ง และข้าก็ไม่ต้องการมันแล้ว”
มั่วชิงเฉินนั่งเงียบๆ กับปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณครู่ใหญ่ และจากไปอย่างเงียบๆ ท่ามกลางเสียงร้องเพลงราวกับฝันมายาของนาง
นางรวมตัวกับพวกเยี่ยเทียนหยวนและเหาะไปทิศทางดินแดนเทียนหยวนด้วยกัน
เมื่อเยียบลงบนดินแดนเทียนหยวนยังไม่ทันเหาะไปถึงเทือกเขาฟางจู ทันใดนั้นก็เห็นแสงวิญญาณจากฝั่งตะวันตกพุ่งขึ้นท้องฟ้า แสงสว่างโชติช่วงไปทั่วผืนฟ้า
ผู้บำเพ็ญเพียนทั้งดินแดนค้นพบนิมิตนี้ ชั่วพริบตาผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนนับไม่ถ้วนก็ออกมาหยุดมอง
ขอบฟ้าทางฝั่งตะวันตกมีเมฆที่ถูกแสงวิญญาณสะท้อนจนเป็นเจ็ดสี เรียงตัวเป็นชั้นๆ เต็มท้องฟ้า งดงามเกินบรรยาย
แม่น้ำอิ้งสยาอันเป็นที่ตั้งของแดนสวรรค์มี่หลัวตูแขวนกลับหัวเชื่อมกับขอบฟ้า ณ ใจกลางของแสงวิญญาณพอดี
ผู้บำเพ็ญเพียรที่หยุดมองอยู่ต่างอุทานออกมาอย่างตกใจ
แม่น้ำอิ้งสยาที่ถูกแสงวิญญาณสะท้อนจนใสกระจ่างราวผลึกแก้ว แสดงสภาพของแดนสวรรค์มี่หลัวตูออกมาอย่างละเอียดชัดเจน
“จุดซ้อนทับของแดนวิญญาณและโลกมนุษย์!” ผู้บำเพ็ญเพียรที่เคยเข้าไปพูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
พวกเขามองเห็นผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ท่ามกลางแดนวิญญาณสวรรค์อย่างชัดเจน
มั่วชิงเฉินเองก็มองเห็นคนที่คุ้นเคย ถังมู่เฉิน ต้วนชิงเกอ นึกไม่ถึงว่าจะมีเผยสิบสามและเฉิงหรูยวนด้วย
ผู้บำเพ็ญเพียรท่ามกลางแดนวิญญาณสวรรค์มีสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองข้างบน
ใจกลางจุดซ้อนทับมีน้ำพุวิญญาณพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน ปราณวิญญาณควนแน่นเป็นสะพานเชื่อมต่อกับหมู่เมฆ
อีกทั้งข้างบนสะพานนั้นมีเงาร่างซูบผอมเลือนรางสายหนึ่งกำลังเหาะขึ้นไปข้างบนอย่างเนิบช้า
คนผู้นั้นสวมชุดสีเทาทั้งร่าง คนผู้นั้นคือกู้หลีผู้สง่างามดั่งเทพเซียนชั้นสูง!
“อาจารย์!” ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่ได้ยิน แต่มั่วชิงเฉินก็ยังจะตะโกนเรียก
สถานการณ์เช่นนี้ นางจะเดาไม่ออกได้อย่างไร อาจารย์กำลังจะเหาะขึ้นไปยังแดนวิญญาณ
อาจารย์และลูกศิษย์อย่างพวกนางแยกจากกันกว่าสองร้อยปี ท้ายที่สุดก็ไม่มีวาสนาจะได้พบกันครั้งสุดท้าย
กู้หลีที่กำลังเหาะขึ้นไปข้างบนช้าๆ มองออกไปไกลทางฝั่งตะวันออก ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนจางๆ เขาหยิบขลุ่ยมรกตหนึ่งเลาออกมาจากแขนเสื้อ เอามันเข้ามาชิดที่มุมปากแล้วเริ่มเป่า
……
แสงจันทราในคืนเหน็บหนาวสาดส่องบานประตูไม้
พินิจหมอกเย็นแลใบหญ้าอันไกลโพ้น
สุราร้อนแผดเผาลำคอราวเปลวเพลิงที่ลุกโหม มิอาจลบความทรงจำของสองเรา
เมฆายามอัสดงคล้อยต่ำ ลมเหนือโบกสะบัดธงสุรา
สับสน หลงกลแห่งเวลา
เสียงพิณร่ำไห้ สายลมยามอัสดงโหมกระหน่ำ จันทร์แรมเป็นพยานในการจากลามากเพียงใด
มองหิมะโปรยปรายไกลพันลี้ ซ่อนอาภรณ์สีเขียวไว้
ไกลสุดขอบฟ้า มิปรารถนารอวันเวลามาพบเจอ
ร่ำสุราเพียงลำพัง แล้วร่ายรำกระบี่อีกครา
หวนรำลึกนึกถึงยามฝนพรำ
เมฆาล่องลอยไร้ระเบียบ คุณธรรมของกระบี่สามฉื่อ
นกแขกเต้าเมาสุรา ซ่อนอาภรณ์สีเขียวอย่างทระนง
ประเดี๋ยวก็คิ้วขมวดด้วยความคิดถึงคะนึงหา
ไร้ผู้นินทา ไร้ซึ่งสหายเก่า
มิอยากหวนถึงอดีตและครุ่นคิดถึงหนทางอันยาวไกล
ฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้น ดอกท้อร่วงหล่น ความรู้สึกยังคงเดิม
มองหิมะโปรยไกลพันลี้ ซ่อนอาภรณ์สีเขียวไว้
ห่างกันไกลสุดขอบฟ้า มิปรารถนารอวันเวลามาพบเจอ
ลิ้มรสสุราจนสิ้นสติ ถามปัญหากับฟ้าดิน
ยมโลกอันแสนไกล วิญญาณไร้ญาติเป็นเช่นไรโปรดบอกข้า
มองหิมะโรยไกลพันลี้ ซ่อนอาภรณ์สีเขียวไว้
ห่างกันไกลสุดขอบฟ้า มิปรารถนารอวันเวลามาพบเจอ
หวนคืนถิ่นเดิมกลับมิพบอดีตที่ค้นหา
จอกสุราว่างเปล่า ดอกบ๊วยร่วงโรยลงบนขั้นบันไดราวหิมะ
ผ่านไปนานเท่าใดรอยแผลจากความฝันอันแสนหวานยังคงมิรางเลือน
ความรู้สึกแสนลึกซึ้งย้อนกลับมาทำลายตน
เสียงบรรเลงผิดเพี้ยนมิเป็นเพลง
กวาดตะไคร่น้ำและเศษฝุ่นจากบันไดยามเหมันต์
นกดุเหว่าขับขานชวนตรึกตรองถึงการหวนกลับ
ดาราสองดวงถึงคราจากกันชั่วนิรันดร์
……
“อาจารย์…” มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นมองกู้หลีในอาภรณ์สีเทา มือของเขาถือขลุ่ยมรกตเอาไว้ มุมปากมีรอยยิ้ม ในที่สุดเขาก็หายเข้าไปในหมู่เมฆ
เยี่ยเทียนหยวนโอวเอวนางไว้แน่น ทั้งสองอิงแอบกันเงียบๆ
บทส่งท้าย
จากคำบอกเล่าของผู้บำเพ็ญเพียรที่กลับมาจากแดนสวรรค์มี่หลัวตู หลายปีก่อนเหอกวงเจินจุนได้บรรลุแล้ว จากนั้นก็ผ่านภยันตรายมากมาย นำพาผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากลงไปในใต้ปฐพีลึกถึงหนึ่งหมื่นลี้ตามหาแหล่งกำเนิดดินแดนวิญญาณสวรรค์ และแหล่งต้นน้ำน้ำพุวิญญาณก็ปรากฏบนโลก จากนั้นสร้างสะพานเชื่อมไปยังแดนวิญญาณ
สะพานแห่งนี้ มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตเท่านั้นที่สามารถเหยียบและใช้มันก้าวเข้าสู่แดนวิญญาณได้
ในตอนที่สะพานแห่งนี้ปรากฏขึ้นครั้งแรก ผู้คนจำนวนมากล้วนไม่รู้จัก หลังจากที่เหอกวงเจินจุนเหยียบขึ้นไปถึงรู้ว่าไม่สามารถลงมาได้ พลันรีบบอกข่าวนี้แก่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียร จากนั้นก็ค่อยๆ เหาะขึ้นไป
หลายปีมานี้ตำนานกล่าวไว้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่ถึงระดับแยกวิญญาณเท่านั้นถึงจะเข้าไปในแดนวิญญาณได้ แต่ว่าในตอนนี้ที่สะพานมาปรากฏขึ้นแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตก็สามารถเข้าไปได้แล้ว นี่เป็นสิ่งที่ส่งเสริมกำลังใจโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรเป็นอย่างมาก
อย่างไรเสียก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับแยกวิญญาณมานับแสนปีแล้ว แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตคนใหม่กลับมีติดต่อกันถึงสองคนแล้ว
บรรยากาศในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรเข้มข้นขึ้น ผู้ที่บำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบากมีมากขึ้นแล้ว
หลายปีต่อมา ด้วยความช่วยเหลือของโอสถเซียนกลั่นจิตและสุราน้ำเต้าเลิศรส มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนก็บรรลุและกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตทั้งคู่
ผ่านไปอีกยี่สิบปีหลังพวกเขาออกจากการกักตน หลิวซางเจินจุนก็ฝากฝังให้พวกเขาทั้งสองคนดูแลเหยากวงเป็นเวลาร้อยปี และเริ่มการทัศนาจรแดนวิญญาณในดินแดนวิญญาณสวรรค์
สำหรับมั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนแล้ว เวลาหนึ่งร้อยปีนั้นสั้นนัก แม้ว่าพรรคเหยากวงจะไม่ปรากฏผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตคนใดอีก แต่ก็มีสามีภรรยาต้วนชิงเกอถังมู่เฉินและผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายอีกสิบกว่าคน
ทั้งสองคนทำงานที่หลิวซางเจินจุนฝากฝังไว้สำเร็จ พวกเขาพาอีกไฟและเหล่าอสูรวิญญาณ ทั้งสองจับมือกันมุ่งหน้าสู่สะพานแห่งแดนวิญญาณ
หมดเรื่องบนโลกมนุษย์แล้ว
—–จบ—–