ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 279.2 ตอนพิเศษ นอนเตียงเล็ก (2)
ตงเอ๋อร์ส่งเสียง ‘เอ่อ’ ออกมาคำหนึ่ง แล้วไม่พูดอะไรอีก
เฉินจื่อหลิงในที่สุดก็ลุกขึ้น ในดวงตาเป็นประกายกระเพื่อมไหว ซับซ้อนอยู่ไม่น้อยคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่
รู้ตัวว่าผิดแล้วรึ อับอายขึ้นมาแล้วล่ะสิ ละอายใจอย่างนั้นรึ อี๋ซื่ออ๋องยืดหลังตั้งตรง มือทั้งสองข้างไพล่ไว้ด้านหลัง แค่นเสียงออกมาเบาๆ คิดจะขอโทษก็สายไปเสียแล้ว ทำร้ายอนุสุดรัดของตนต่อหน้าคนทั้งจวน ก็เหมือนเป็นการตบหน้าตนด้วย
ปล่อยให้นางพูดแก้ตัวให้จบ ครานี้จะไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ เด็ดขาด
ครู่ต่อมา ในที่สุดเฉินจื่อหลิงก็ครุ่นคิดเสร็จ สายตาตกลงบนร่างตงเอ๋อร์ “หยิบสร้อยคองาช้างในกล่องเครื่องประดับไม้จันทร์กล่องนั้นของข้าออกมาที”
ตงเอ๋อร์รีบรื้อค้นกองเครื่องประดับสินเดิมออกมา
เฉินจื่อหลิงรับมาแล้วดึงกระชากสร้อยคอเส้นนั้น ไข่มุกขาดสะบั้น คีบไข่มุกสองเม็ดส่งให้อี๋ซื่ออ๋อง “สองเม็ด พอดีเลย งาช้างแข็งแรงทนทานกว่าฟันคนมากนัก ใช้ไปร้อยปีก็ไม่สึกกร่อน”
อี๋ซื่ออ๋องไม่อยากจะเชื่อ เขาตกใจ ข่มอารมณ์เอ่ยว่า “จะเลี่ยมฝังฟันอนุของข้าด้วยฟันของสัตว์เดรัจฉานอย่างนั้นรึ”
ตงเอ๋อร์ไกล่เกลี่ย เข้าไปรับงาช้างมาเอง ยู่ปากเอ่ยว่า “นายท่านอย่าได้ดูถูกเชียวนะเจ้าคะ งาช้างนี้เป็นสิ่งที่หวงกุ้ยเฟยพระราชทานให้คุณหนูก่อนออกจากเมืองหลวง ได้ยินมาว่าทำมาจากงาช้างที่สยามบรรณาการมาให้ ที่จงหยวนหาได้ยากยิ่ง! หากนายท่านไม่มีความเห็นต่างใด บ่าวจะหาโอกาสไปมอบให้หมิงเหนียงเองเจ้าค่ะ”
อี๋ซื่ออ๋องเงียบงันไม่เอ่ยคำใด สีหน้ากลับทะมึนราวกับถ่าน
เฉินจื่อหลิงทำมือส่งสัญญาณให้ตงเอ๋อร์ออกไป เดินไปยึดตั่งนุ่มมาไว้ก่อน หยิบหนังสือเล่มหนึ่งบนโต๊ะข้างกายมาพิงหัวเตียง แล้วพลิกเปิดอ่าน
อี๋ซื่ออ๋องยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเนิ่นนาน ข่มความไม่พอใจเอาไว้ ไม่อยากปวดหัวเพราะอนุอีก ทั้งยังคร้านจะเอ่ยเรื่องหมิงเหนียงขึ้นมาแล้ว
รับราชโองการสมรสพระราชทานที่เมืองหลวง ช่วงที่พักอยู่ที่จวนซื่ออ๋องในเยี่ยจิงชั่วคราวนั้น อี๋ซื่ออ๋องได้ยอมรับวิธีการคบหากับนางอย่างเงียบๆ แล้ว หลายวันมานี้ล้วนแยกเตียงกันนอน
อันที่จริงหลายวันมานี้ไม่ต้องตั้งใจแยกเตียงก็ได้ เพราะธุระงานการก่อนออกจากเมืองหลวงมามีมากเหลือเกิน ทั้งยังต้องเข้าวังบ่อยๆ ก่อนจะเดินทางก็หารือเรื่องทัพแนวหน้ากับฝ่าบาท สิบสองชั่วยามในทุกๆ วันไม่พอที่จะแบ่งครึ่ง กลับเรือนมาในแต่ละวันก็ค่อนคืนเข้าไปแล้ว แทบจะไม่ได้พบหน้านางด้วยซ้ำ
แต่ยามนี้กลับมาเจียงเป่ยแล้ว และไม่อาจทำเช่นนั้นบ่อยๆ ได้อีก
แม้จะไม่จำเป็นต้องทำอะไร แต่อย่างน้อยแยกเตียงต่อก็คงไม่ดี อย่างไรเสียหลังจากสวนประทุมซ่อมเสร็จ นางก็จะย้ายไป คงอีกไม่นานแล้ว
อดทนอีกหน่อยก็แล้วกัน
อี๋ซื่ออ๋องคลายกระดุมเสื้อส่วนหน้าออก แขวนเสื้อคลุมไว้บนฉากบังลม สวมรองเท้านอนเหยียบส้น ลากเท้าไป เหลือบมองหนังสือในมือนางแวบหนึ่ง เอ่ยเย้ยหยันว่า “ ‘ตำราพิชัยสงครามเว่ยเหลียวจื่อ’ เป็นสาวเป็นนางอ่านตำราทหารอย่างนั้นรึ กุลสตรีในห้องหอที่แท้จริงควรจะอ่านคำสอนสตรี แต่ข้าเห็นเจ้าแล้ว กระทั่งแตะคงไม่เคยแตะเลยกระมัง”
เฉินจื่อหลิงยกมือพลิกเปิดหน้าใหม่ “คำสอนสตรีอย่างนั้นรึ เคยอ่านสิ อ่านก่อนนอนครึ่งเค่อ[1] เพื่อกล่อมนอน”
อี๋ซื่ออ๋องหน้าเคร่ง แย่งตำราพิชัยสงครามเว่ยเหลียวจื่อจากมือนางมา ฉวยคว้าตำราเล่มหนึ่งบนชั้นหนังสือที่อยู่ไม่ไกลโยนใส่อกนาง “เมื่อก่อนอยู่บ้านเดิมเจ้าอ่านตำราอะไรข้าไม่สนใจหรอก ในเมื่อมาจวนซื่ออ๋องแล้ว ก็อ่านตำราบุรุษพวกนี้ให้น้อยลงหน่อย”
เดิมทีบิดามารดาจากโลกนี้ไปเร็ว แต่เล็กจนโตถูกพวกผู้ชายในจวนแม่ทัพเอาอกเอาใจเลี้ยงมาจนโต มีนิสัยบ้าระห่ำราวกับม้าตัวเมียตัวน้อยๆ ทั้งยังอ่านตำราพิชัยสงครามที่ป่าเถื่อนเหล่านั้นทั้งวันอีก คงยิ่งติดนิสัยจนไม่หวาดกลัวอะไรทั้งสิ้นไปแล้ว
เขาไม่หวังให้นางอ่านนิวาสศึกษาที่น่าเบื่อพวกนั้นให้ช่ำชองได้ตั้งแต่แรกเริ่มหรอก ลองอ่านนวนิยายรูปแบบบันทึกที่มีเค้าโครงเรื่องราวพวกนี้ดูก่อน น่าจะดึงดูดนางไม่น้อย ไม่ว่าอย่างไรก็ดีกว่าตำราพิชัยสงครามที่เข่นฆ่าสังหารพวกนั้นอยู่ดี
ไม่หวังจะปรับสอนให้นางกลายเป็นคนเทิดทูนสามีดุจฟ้าถึงขั้นนั้นในทันที อย่างน้อยๆ ก็ควรจะรู้ว่าสิ่งใดที่สตรีออกเรือนพึงกระทำ รู้ว่าทำเรื่องน่าละอายคืออะไร
เฉินจื่อหลิงมองตำราที่เขายัดเยียดให้แวบหนึ่ง เป็นหนังสือเรื่อง ‘ประวัติอันกว้างขวางของไท่ผิง’ ลองพลิกเปิดผ่านๆ ก็โยนทิ้งไปแล้วเอ่ยว่า “เอาไปเลย ไม่สนุกสักนิด”
อี๋ซื่ออ๋องเย้ยหยันว่า “เจ้าอ่านออกกี่คำกัน ทั่วทั้งเล่มเขียนออกมาได้หรือไม่ ประวัติอันกว้างขวางของไท่ผิงรวมรวบนักประพันธ์ยอดฝีมือเอาไว้หลายสำนัก นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีหน้ามาบอกว่าไม่สนุก”
เฉินจื่อหลิงเอาหน้าที่เปิดผ่านๆ หน้านั้นให้ดู “ดูบทนี้สิ หลิ่วซงหยางขี้อิจฉา มักจะกลัวว่าสตรีในจวนยั่วยวนสามี เห็นสาวใช้นางหนึ่งนิ้วเรียวสวย จึงตัดนิ้วสาวใช้นางนั้นไปสองนิ้ว ต่อมาหลิ่วซงหยางออกไปเที่ยวข้างนอก ไม่ทันระวังโดนผึ้งป่าต่อยมือจนบาดเจ็บ นิ้วสองนิ้วเน่าเฟะ จากนั้นหลิ่วซงหยางเห็นนางสังคีตในจวนร้องเพลงไพเราะรื่นหู ก็ตัดลิ้นของนางสังคีตคนนั้นทิ้งอีก ต่อมา ในช่องปากหลิ่วซงหยางมีแผลเปื่อย ลิ้นเน่าเฟะ สุดท้ายหลิ่วซงหยางไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ภิกษุบอกว่านางขี้อิจฉาจึงได้เจอกับเคราะห์หามยามร้ายเช่นนี้ ร่ายมนต์ช่วยนางให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม แต่นั้นมาหลิ่วซงหยางจึงไม่กล้าเกิดความริษยาขึ้นในใจอีกเลย”
“ผิดตรงไหนอย่างนั้นหรือ” อี๋ซื่ออ๋องยักไหล่ “ดีร้ายย่อมมีผลของมัน หลิ่วซงหยางทำร้ายคนอื่นโดยไม่มีสาเหตุ ได้รับผลกรรมเข้าพอดี สุดท้ายก็รู้จักแก้ไขปรับปรุง เนื้อหาเรียกได้ว่าเป็นด้านดี”
“ด้านดีบ้านท่านสิ!” เฉินจื่อหลิงยิ้มเย็น “หลิ่วซงหยางทำร้ายสาวใช้ในบ้านโหดเหี้ยมอยู่บ้างก็จริง แต่สตรีที่อ่านหนังสือเล่มนี้จะยังกล้าก้าวก่ายสามีสุ่มสี่สุ่มห้าหรือ สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นพิษและผูกมัดสตรีไว้ ทำให้สตรีไม่กล้าควบคุมสามีอีก ปล่อยให้สามีไปใช้ชีวิตสำมะเลเทเมา รับอนุเลี้ยงนางโลม ผู้ประพันธ์มีเจตนาไม่ดีชัดๆ!”
อี๋ซื่ออ๋องพูดไม่ออก แต่เห็นนางคล้ายยังไม่หายโมโห พลิกเปิดหนังสืออีก สีหน้ายิ่งแดงก่ำขึ้น หากผู้ประพันธ์ยังมีชีวิตอยู่ อี๋ซื่ออ๋องเดาว่าเฉินจื่อหลิงคงหิ้วตัวเขาออกมาแล้วโยนหน้าคว่ำ ณ ที่นั้นก็ไม่แปลกใจ “นี่ ยังมีบทนี้อีก…ในรัชสมัยจิ้นอู่ตี้ สามีคนหนึ่งออกจากบ้านไป หลายปียังไม่กลับ ภรรยาเฝ้าคอยอย่างขมขื่นหลายปี พ่อแม่ที่บ้านเดิมเห็นว่าลูกสาวใช้ชีวิตเช่นนี้ทั้งๆ ที่ยังเยาว์วัยนั้นน่าสงสารเหลือทน จึงหาสามีใหม่ให้ลูกสาว ภรรยาเพิ่งจะแต่งเข้าอีกบ้าน เนื่องจากคะนึงหาสามีเก่าจึงป่วยตาย ต่อมา สามีเก่ากลับมาในที่สุด ได้ยินว่าภรรยาตายจากไป ก็ไปเยี่ยมหน้าหลุมศพ หมายจะย้ายที่ฝัง หลังจากเปิดโลงออกพบว่าภรรยายังมีลมหายใจอยู่อย่างคาดไม่ถึง ฟื้นคืนชีพมาใหม่ จึงแบกภรรยากลับมาฟื้นตัวที่บ้าน สามีใหม่ไม่พอใจ เข้ามาแย่งตัว วุ่นวายไปถึงทางการ เจ้าหน้าที่เห็นอกเห็นใจคู่สามีภรรยาเดิมจึงตัดสินให้ภรรยาแก่สามีเก่า ให้ภรรยาตามกลับไปใช้ชีวิตกับสามีเก่า”
“นี่มันก็เห็นได้ชัดว่าสามีภรรยามีจิตใจที่แน่วแน่พากันพันฝ่าอุปสรรคไปได้ จนสวรรค์ซาบซึ้งมิใช่หรือไร” อี๋ซื่ออ๋องสีหน้าขรึมขึ้น “สามีใหม่คนนั้นก็ไม่เลว อย่างน้อยก็ยอมคืนสตรีนางนั้นให้แก่สามีเก่าของนาง ที่ใช้ไม่ได้ที่สุดคงเป็นพ่อแม่ของภรรยานางนั้น เหตุใดต้องบีบคั้นให้ลูกสาวไปแต่งงานกับอื่นด้วย”
“ซาบซึ้งกับผีน่ะสิ!” เฉินจื่อหลิงเต็มไปด้วยความแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม “หนังสือเล่มนี้เผยแพร่ออกไป ไม่รู้ว่ามีสตรีสามีทิ้งและแม่หม้ายที่เฝ้าห้องหับอันว่างเปล่าอย่างเดียวดายมากมายเท่าใดที่ยอมกอดพรหมจรรย์ซึมเซาเหี่ยวเฉาไปชั่วชีวิต และไม่กล้าเสาะหาบุพเพอันดีงามเป็นครั้งที่สองรวมถึงอนาคตอันสดใสด้วย ข้าว่า ในบทนี้คนที่ดีที่สุดกลับเป็นพ่อแม่ของภรรยานางนั้นที่ห่วงใยเอาใจใส่ลูกสาว กลัวว่าลูกสาวจะเสียเวลาไปชั่วชีวิต จึงได้ให้ลูกสาวได้หาคนรักใหม่อีกครั้ง สามีเก่ายิ่งแย่เข้าไปใหญ่ หากห่วงใยเอาใจใส่ภรรยาจริง ต่อให้ยุ่งมากแค่ไหน ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่โตเพียงใด ก็ควรจะส่งจดหมายกลับบ้านเกิดมาบอกมากล่าวให้ภรรยาได้วางใจสิ! ทำให้ภรรยาล้มป่วยตายเพราะความคะนึงหาและระทมทุกข์ใจเช่นนี้ เขาแค่กลับมาร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าหลุมศพยกใหญ่ก็ได้คนมีชีวิตฟื้นคืนมาแล้ว! โชคดีเสียจริง”
แตกต่างจากมุมมองของคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง อี๋ซื่ออ๋องหมดคำจะพูด
เห็นได้ชัดว่าเฉินจื่อหลิงกลับถูกทำให้โมโหเข้าแล้ว นางโยนประวัติอันกว้างขวางของไท่ผิงลงบนโต๊ะด้านข้างอย่างแรง ไม่ว่าหนังสือเล่มไหนก็ไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านแล้ว นางดับเทียนหอมข้างเตียงลง ล้มตัวลงนอน สอดกายเข้าผ้าห่ม
—————————–
[1] เค่อ (หน่วยเวลา) 15 นาที