ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 103-4 ก่อนและหลังเดินทาง
หานเซียงเซียงรีบก้าวเข้ามา แล้วมองออกนอกหน้าต่างผ่านช่องแสง พร้อมกับอวิ๋นหว่านชิ่นและเฉาหนิงเอ๋อร์ พลางกระซิบเสียงเบา
“รถม้าพระที่นั่งหลังคาสีทองนั่น น่าจะเป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาทนะ”
“น่าจะ…ว๊าว มีแต่ม้าตัวใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย ยิ่งใหญ่จริงๆ…”
“เอ๊ะ…เหมือนข้าเห็นฝ่าบาทแล้วนะ พวกเจ้าดูสิ คนที่สวมชุดสีเขียวเข้มปักลายมังกรทองห้าเล็บหน้าตรงนั่นน่ะ ใช่หรือเปล่า…โห…ฝ่าบาทแม้อายุมาก แต่ก็ยังดูสง่างามอยู่ พ่อข้าอายุน้อยกว่าฝ่าบาท แต่ดูยังไงก็หนุ่มสู้ฝ่าบาทไม่ได้…”
“หนอยๆๆ กล้าว่าฝ่าบาทอายุมากรึ ถ้าทรงได้ยินเข้า เจ้าหัวหลุดจากบ่าแน่”
แล้วเสียงหัวเราะคิกคักดุจระฆังเงินก็ดังขึ้น
“เหมือนจะใช่จริงๆ ด้วย…ข้าเคยเห็นฮองเฮา บุรุษที่อยู่ข้างนาง ก็ต้องเป็นฝ่าบาทสิ”
พอเจิ้งหวาชิวเห็นคุณหนูทั้งสามพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวอย่างไร้เดียงสา ก็หัวเราะ
ส่วนหลินลั่วหนานกลับไม่พูดจาสักคำ พอเห็นว่าคนทั้งสามเห็นขบวนเสด็จและฝ่าบาทตัวเป็นๆ แล้วทิ้งตนไว้คนเดียว ก็นั่งไม่ติด ถูกความคึกคักภายนอกดึงดูด จึงชะเง้อมองตาม พลางจับหลังเสื้อของหานเซียงเซียงไว้ แล้วดึง “ดูกันพอหรือยัง ดูอยู่นานละ ไม่เห็นเรียกข้าสักคำ พ่อเจ้าได้สั่งสอนเจ้าหรือเปล่า เป็นงานไหม หลีกไป ให้ข้าดูบ้าง”
เผอิญนางดึงถูกเส้นผมกระจุกหนึ่ง หานเซียงเซียงเจ็บ จึงร้องออกมาคำหนึ่ง ขณะจะลุกขึ้น กลับถูกอวิ๋นหว่านชิ่นจับแขนให้นั่งลง พร้อมกับพูดเสียงเรียบสะท้อนไปมาในตัวรถ
“คนเขาเห็นฝ่าบาทมาหลายรอบแล้ว ขาดก็แต่รอบนี้ จำเป็นด้วยหรือที่เจ้าต้องสละที่ให้!”
พอเฉาหนิงเอ๋อร์เห็นเหตุการณ์ ก็กดหานเซียงเซียงไว้ พลางว่า
“คนเขาขึ้นไปขี่คอเจ้าแล้ว กระทั่งพ่อเจ้าเขาก็ว่าออกมาแล้วด้วย” เหลือบมองหลินลั่วหนาน
เดิมทีหานเซียงเซียงไม่กล้าล่วงเกินหลินลั่วหนาน แต่ตอนนี้มีคนทั้งสองหนุนหลังอยู่ จึงฮึดสู้ขึ้นมา ลูบหนังศีรษะที่ถูกดึงเบาๆ ก่อนก้มหน้าลง ไม่ส่งเสียง
หลินลั่วหนานโกรธจะแย่ นี่มันอะไรกัน ผลักไสตนงั้นรึ ตลก! แต่พอเห็นคนทั้งสามบังช่องหน้าต่างเสียสนิท ก็ได้แต่หันกลับไปนั่งที่เดิม แล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบสองคำ
“พวกบ้านนอก ไม่เคยเห็นฮ่องเต้ พวกชั้นต่ำไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน เหมือนตอนตรุษจีนไม่มีผิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่สนใจหนอนในปากของหลินลั่วหนาน อย่างไรหนอนก็ส่งเสียงอยู่ในปากนาง แต่ในเมื่อต้องเดินทางร่วมกัน และพอไปถึงป่าล้อม ก็อาจต้องอยู่ในกระโจมเดียวกันด้วย จึงรู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง
ได้ฤกษ์แล้ว รถม้าเริ่มทยอยวิ่งออกทีละคัน
โดยนอกจากกลุ่มองครักษ์ที่เบิกทางไปล่วงหน้าแล้ว ขบวนเสด็จของหนิงซีฮ่องเต้ก็เริ่มเคลื่อนขบวนนำ
ตามด้วยขบวนเสด็จของเจี่ยงฮองเฮาและมเหสีรองเหวย ต่อมาจึงเป็นขบวนเสด็จของพระบรมวงศานุวงศ์
ส่วนขบวนรถม้าของอวิ๋นหว่านชิ่น ถูกจัดให้อยู่กลางขบวนลูกสาวขุนนางใหญ่ ซึ่งเป็นขบวนรั้งท้าย จึงห่างจากขบวนแรกสุดไกลลิบ ขบวนทั้งหมดยาวดุจงูเลื้อยคดเคี้ยวออกนอกเมือง ถ้าบอกว่าเหล่าเชื้อพระวงศ์คือหัวมังกร อย่างมากสุด ตนก็ถูกห้อยไว้ที่หางมังกร
รถม้าวิ่งจากในเมือง สู่นอกเมือง ข้ามแม่น้ำฮู่หลง วิ่งไปบนถนนหลวง ในที่สุดก็ออกจากประตูเมืองเยี่ยจิง ก่อนเหยียบลงบนถนนสายเหนือ มุ่งสู่ป่าล้อมฮู่หลงอย่างยิ่งใหญ่
เมื่อฮ่องเต้เสด็จประพาส ย่อมมีการตรวจตราเส้นทางเสด็จอย่างเข้มงวดก่อนล่วงหน้า
ขณะเดินทางข้ามเขตผ่านเมือง เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลระหว่างทางไหนเลยจะกล้ารอช้า นำประชาชนออกมาต้อนรับอยู่ข้างทางอย่างเนืองแน่น ทำให้บรรยากาศคึกคักมีชีวิตชีวา อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่เบื่อ เพราะด้านหนึ่งได้ชมทิวทัศน์ อีกด้านหนึ่งก็ได้พูดคุยสรวลเสเฮฮากับเฉาหนิงเอ๋อร์ เมี่ยวเอ๋อร์ และคนอื่นๆ
ระหว่างทางไม่มีเรื่องอะไร นอกจาหลินลั่วหนานกินดื่มกับเรียกร้องความสนใจ ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นกับเฉาหนิงเอ๋อร์ไม่ใส่ใจ นางจึงหันหาหานเซียงเซียง ซึ่งชินแล้ว และคิดว่าทนได้ก็ทนไป จึงตามใจหลินลั่วหนานเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นตลอดทางจึงนับว่าสงบดี
พอออกนอกเมืองได้ไม่นาน และทุกอย่างอยู่ตัว อวิ๋นหว่านชิ่นก็เริ่มวางแผนในใจ โดยนั่งชิดริมหน้าต่างและชะเง้อมองไปด้านหน้าเป็นระยะ ไม่รู้ว่าเจี่ยงยิ่นนั่งอยู่คันไหน
บรรดาคุณหนูที่อยู่บนรถ เจิ้งหวาชิวรู้สึกว่าคุณหนูอวิ๋นเป็นคนเงียบๆ ที่โดดเด่น เมื่อครู่เห็นนางช่วยหานเซียงเซียงรับมือหลินลั่วหนาน ก็คอยสังเกตนางมาตลอด พอเห็นนางชะเง้อมองจึงถาม
“คุณหนูอวิ๋นห่วงคุณชายอวิ๋นอยู่หรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงหันหาเจิ้งหวาชิว ยิ้มแล้วตอบไปตามน้ำ
“เจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าน้องชายข้าถูกจัดให้ไปนั่งรถคันไหน”
“น่าจะอยู่ในขบวนของลูกชายขุนนาง คุณหนูอวิ๋นวางใจ มีคนคอยดูแลตลอดทางอย่างแน่นอน”
อวิ๋นหว่านชิ่นทอประกายตา “เจ้าค่ะ พอไปถึงป่าล้อม ไม่ทราบว่าจิ่นจ้งต้องตามเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ไปล่าสัตว์หรือเปล่า ได้ยินมาว่า นอกจากองค์ชายองค์หญิงแล้ว ยังมีพระญาติอีกไม่น้อย แม้แต่พระมาตุลาเจี่ยงที่เพิ่งกลับเข้าวังในปีนี้ก็ยังต้องตามเสด็จไปด้วย”
คำพูดนี้ คล้ายคุณหนูอวิ๋นกำลังหยั่งเชิงดูว่าน้องชายตนจะมีโอกาสไปมาหาสู่กับเหล่าชนชั้นสูงหรือไม่ ซึ่งเจิ้งหวาชิวก็ไม่สงสัย จึงยิ้มแล้วว่า
“ใครจะได้ตามเสด็จไปล่าสัตว์นั้น ต้องแล้วแต่พระประสงค์ในวันนั้น ทว่าสุขภาพของพระมาตุลาเจี่ยงไม่สู้จะดี น่าจะเป็นเช่นเดียวกับองค์ชายสาม ฝ่าบาทอาจเห็นใจ อนุโลมให้ทั้งสองพักผ่อนอยู่ในกระโจม”
อวิ๋นหว่านชิ่นสะดุดกึก แต่ยังไม่หลุดเรื่องเจี่ยงยิ่นออกมา ด้วยมีเรื่องสายฟ้าฟาดแทรกกลาง เขามางานนี้ด้วยหรือ ก่อนหน้านี้อวิ๋นจิ่นจ้งได้ข่าวจากเพื่อนที่โรงเรียนว่า ไม่มีชื่อเขาในใบรายชื่อนี่ จึงไม่ทันถามเรื่องเจี่ยงยิ่นต่อชั่วขณะ
ใกล้พลบค่ำก่อนเวลาเปลี่ยนม้า ขบวนเสด็จล่าสัตว์ของโอรสสวรรค์ซึ่งกำลังวิ่งผ่านเมืองยงโจว ก็หยุดลง
เจิ้งหวาชิวลงจากรถ และกลับมาบอกคุณหนูที่อยู่บนรถว่า
“คืนนี้เราพักกันในโรงเตี้ยม เพื่อผลัดเปลี่ยนม้าคืนหนึ่ง และไปถึงป่าล้อมฮู่หลงในวันรุ่งขึ้นก่อนบ่าย”
ทุกคนขานรับและรออยู่บนรถ ให้เจิ้งหวาชิวไปจัดการเรื่องห้องพักและที่นอนในโรงเตี๊ยมก่อน
สักพัก พอเห็นเจิ้งหวาชิวกลับมา พร้อมผู้ที่แต่งกายแบบขันที แล้วยืนกระซิบกระซาบกันอยู่ข้างรถ ก็ขมวดคิ้ว ขณะได้ยินบางคำพูดลอยมาเข้าหู
“…แล้วถ้าคุณหนูในรถข้าถามขึ้นมา จะให้ข้าตอบอย่างไร…ยังไงพวกนางก็เป็นลูกสาวขุนนางชั้นสองชั้นสาม พวกเจ้าไม่เห็นแก่หน้าพวกนาง ก็ควรเห็นแก่หน้าบิดาของพวกนาง พวกเจ้านี่ก็…เกินไป”
ขันทีผู้นั้นได้แต่ทำหน้าขมขื่น แล้วป้องปากบอกอะไรนางไม่กี่คำ เจิ้งหวาชิ่วค่อยทอดถอนใจออกมา ก่อนก้าวขึ้นรถ
“พี่เจิ้ง มีเรื่องอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ” เฉาหนิงเอ๋อร์ลองถามดู
เจิ้งหวาชิวไม่ตอบ เพียงเหลือบมองอวิ๋นหว่านชิ่น แล้วพูดกับทุกคน
“จัดการห้องพักเสร็จเรียบร้อย เชิญทุกท่านลงจากรถก่อน แล้วค่อยเดินตามบ่าวเข้าไป”