ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 107-1 ท่านสามชิงตัดหน้า
ขณะทางด้านเจี่ยงฮองเฮาเกิดเรื่องขึ้นนั้น อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังอธิบายให้พี่เจิ้ง เฉาหนิงเอ๋อร์ และหานเซียงเซียง ฟังว่า จุลสีและเข็มเงินทำให้ของเหลวพิษไหลออกมาได้อย่างไร
หานเซียงเซียงประหลาดใจมากสุด เพราะอายุยังน้อย อวิ๋นหว่านชิ่นจึงมองนางพลางว่า
“จุลสีมีความเป็นพิษน้อย แต่มีประสิทธิภาพในการดูดซับพิษ พอเทเข้าไปในอวัยวะที่ถูกพิษของผู้ตาย บวกแรงกระตุ้นจากเข็มเงิน สามารถกระตุ้นการไหลออกของสารพิษได้สองเท่าตัว ร่างผู้ตายจึงกระตุกน้อยๆ ซึ่งก็คือปรากฏการณ์ทางการแพทย์ เป็นการตอบสนองแบบมีเงื่อนไขโดยไม่รู้สึกตัว อย่างที่ชาวบ้านบางคนลือเรื่องปรากฎการณ์ ‘ปลุกผี’ ก็มาจากสาเหตุนี้ล่ะ เช่น คนตายอยู่ในโลงศพ แมวตัวหนึ่งกระโดดข้าม บางครั้งศพยังนั่งขึ้นมาได้เฉย”
หานเซียงเซียงฟังแล้วก็พูดไม่ออก จึงว่า “แต่ คุณหนูอวิ๋นก็คิดได้ในทันทีว่าถูกงูกัด ร้ายกาจจริงๆ”
อวิ๋นหว่านชิ่นกระพริบตาปริบๆ อันนี้ตนพูดออกมาไม่ได้จริงๆ ว่า เป็นเพราะมองไปยังผู้ที่อยู่นอกม่าน ถึงคิดเชื่อมโยงได้กะทันหัน ทว่า ไม่อยากพูดสิ่งใด สิ่งนั้นก็มักมา เป็นเฉาหนิงเอ๋อร์ที่เอ่ยขึ้น
“ข้าว่านะ นอกจากคุณหนูอวิ๋นกับหมอหลวงเหยาที่มีความสามารถแล้ว ยังโชคดีที่องค์ชายสามเสด็จด้วย มีคนคอยจับตาดูอยู่ อวี้เฉิงกังถึงไม่กล้าเข้าข้างพวกพ้อง มิเช่นนั้นล่ะก็ เรื่องนี้ไม่มีทางจบง่ายๆ หรอก”
ว่าแล้วก็ชำเลืองมองอวิ๋นหว่านชิ่น “ตอนนี้คุณหนูอวิ๋นน่าจะถูกจับมัด ใส่รถม้า ส่งกลับไปแล้วล่ะ”
ตอนที่อวี้เฉิงกังบอกให้อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปในห้อง เสียงร้องนั่น พวกนางต่างได้ยิน ชื่อเสียงอวี้เฉิงกังฉาวโฉ่อย่างไร ผู้อื่นไม่รู้ แต่ลูกสาวขุนนางอย่างพวกนางรู้ดี ตอนนั้นจึงตกใจเหงื่อแตกไปหมด ดีที่องค์ชายสามมาทันเวลา และคุณหนูอวิ๋นออกมาทันเวลา จึงไม่เป็นไร
พอเฉาหนิงเอ๋อร์พูดถึงองค์ชายสาม หานเซียงเซียงก็กลอกตาไปมา ใบหน้ารูปไข่แดงระเรื่อ
“ใช่เลย ดีที่องค์ชายสามเสด็จ เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นพระองค์…”
“ทำไมใบหน้าคุณหนูสามถึงได้แดงเหมือนน้ำต้มสุกอย่างไรอย่างนั้นเล่า” พอเฉาหนิงเอ๋อร์เห็นปฏิกิริยาของหานเซียงเซียง จึงแหย่นางเล่น
ใบหน้าหานเซียงเซียงร้อนผะผ่าว แดงมาถึงคอ นางดึงชายเสื้อ พลางมุ่ยปาก
“ข้าไม่ได้หน้าแดงสักหน่อย…เจ้าก็พูดไปเรื่อย ข้าแค่คิดไม่ถึงว่า องค์ชายสามในจินตนาการกับตัวจริงนั้นไม่เหมือนกัน เมื่อก่อนเคยได้ยินว่า สนมเอกเฮ่อเหลียนเป็นสาวงามจากทางเหนือ ส่วนองค์ชายสามก็หน้าตาดีเหมือนแม่ แต่ก็ไม่เคยเห็นสักที วันนี้พอได้เห็น ก็รู้สึกว่าสง่างามจริงๆ ไหนเลยจะเหมือนผู้ชายที่ป่วยกระเสาะกระแสะ”
“ที่แท้คุณหนูหานก็นึกอยู่เสมอว่า องค์ชายสามหน้าตาเป็นอย่างไรนี่เอง” เจิ้งหวาชิวก็เล่นกับเขาด้วย
หานเซียงเซียงถูกจับพิรุธได้ จึงอายม้วน ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น รีบเปลี่ยนเรื่องพูด
“พวกเจ้าทำไมล้อแต่ข้าล่ะ…องค์ชายสามให้เสื้อคลุมคุณหนูอวิ๋นสวมนิ”
ตอนนี้สาวๆ ค่อยนึกขึ้นได้ว่า ตอนที่อวิ๋นหว่านชิ่นเดินออกมานั้น ได้คลุมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกตัวใหญ่
ไว้ จึงหันมองอวิ๋นหว่านชิ่นพร้อมกัน
ขณะสวมเสื้อคลุมตัวนั้น อวิ๋นหว่านชิ่นก็นึกอยู่แล้วว่าต้องถูกถาม เพียงแต่นึกไม่ถึงว่า จู่ๆ หานเซียงเซียงจะโยนมาให้ตน แต่กลับเป็นเจิ้งหวาชิวที่หนังตาขยับและพูดกลบเกลื่อนให้
“เมื่อเช้าพอคุณหนูทั้งสามตื่นขึ้น ก็ถูกคนของกองกิจการภายในรีบร้อนพาตัวไปไต่สวน คุณหนูอวิ๋นสวมเสื้อเนื้อบาง เสื้อทับสักตัวก็ไม่มี องค์ชายสามอาจสงสารและเห็นใจ”
คำอธิบายเช่นนี้ ดูขอไปทีเกินไป เฉาหนิงเอ๋อร์กับหานเซียงเซียงสัมผัสอะไรบางอย่างได้ลางๆ หรือองค์ชายสามกับอวิ๋นหว่านชิ่นรู้จักกันมาก่อน ในใจทั้งสองนึกอิจฉาอยู่บ้างไม่มากไม่น้อย แต่พูดมากไปจะไม่ดี
เจิ้งหวาชิวแม้ไม่รู้ว่าองค์ชายสามกับอวิ๋นหว่านชิ่นเคยไปมาหาสู่กันเป็นการส่วนตัวหรือไม่ มีความสัมพันธ์กันแบบไหน แต่เรื่องบางเรื่อง รู้น้อยหน่อยเป็นดี โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์
และในตอนนี้เอง ขันทีผู้ส่งข่าวก็วิ่งกลับมารายงานสถานการณ์ให้ฟังอีก ซึ่งทำให้ความกระอักกระอ่วนใจของทุกคนหายไปชั่วคราว
เจิ้งหวาชิวลุกพรวดขึ้น “ทำไม สถานการณ์ทางฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้าง”
อวิ๋นหว่านชิ่นลุกตาม หันมองขันที ใบหน้าเขาแดงกว่าเก่า เหงื่อไหลท่วมตัว
“แย่แล้ว ครั้งนี้แย่ยิ่งกว่าเดิมอีก! คุณหนูอวี้นั่นให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับ ซ้ำยังก่อเรื่องวุ่นวายขึ้น ฮองเฮาจะส่งนางไปที่ว่าการอำเภอยงโจว แล้วค่อยให้คนส่งนางกลับเมืองหลวงคนเดียว คุณหนูอวี้ก็เลยกระแทกศีรษะกับเสา ได้ยินว่า สลบเหมือด ศีรษะแตก เลือดไหลไม่น้อย เสาอยู่ข้างๆ ฮองเฮา เลือดจึงกระเด็นเต็มหน้าฮองเฮา!”
เจิ้งหวาชิวบิดคิ้ว “ฮองเฮาเป็นอะไรรึเปล่า คุณหนูอวี้ล่ะ ตายแล้วรึ?”
“ฮองเฮาทรงตกพระทัยมาก คนในวังจึงรีบพยุงกลับที่พัก ส่วนคุณหนูอวี้ หมอหลวงมาตรวจอาการแล้ว บอกว่ายังไม่ตาย แต่ใช้ผ้าพันศีรษะไว้ ตอนนี้ยังไม่ฟื้น ได้ยินทางฝ่าบาทบอกมาว่า ทรงให้คนไปจัดรถม้ามาคันหนึ่ง เตรียมส่งคุณหนูอวี้กลับเมืองหลวงก่อน บ่าวจึงรีบมาบอกให้ท่านพี่และคุณหนูทุกท่านทราบว่า เรื่องเมื่อเช้าจัดการเกือบจะเรียบร้อยแล้ว กำลังจะออกเดินทางต่อ เชิญทุกท่านเตรียมตัวให้พร้อม”
อวี้โหรวจวงจำต้องโหดกับตัวเอง เพื่อเลี่ยงโทษจำคุก แต่หลังจากกลับเมืองหลวงแล้ว ก็อยากรู้เหมือนกันว่านางจะเลี่ยงความผิดได้อย่างไร เพราะนี่คือการฆาตกรรม เป็นความผิดทางอาญา ไม่ใช่เรื่องลักเล็กขโมยน้อย และผู้ตายยังมีสถานะสูงส่งด้วย มีพี่ชายเป็นหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ ต่อให้สกุลอวี้มีอำนาจล้นฟ้าแค่ไหน หลินต้าเย่ก็ไม่มีทางยอมรามือง่ายๆ หรอก…
พออวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินขันทีว่า กำลังจะออกเดินทาง ก็รีบดึงสติคืนกลับ โน้มตัวถอนสายบัวพร้อมเฉาหนิงเอ๋อร์และหานเซียงเซียง “ขอบคุณกงกง”
ว่าแล้วก็ตามเจิ้งหวาชิวเข้าไปเก็บสัมภาระให้เรียบร้อย เตรียมออกเดินทาง
ด้านทิศเหนือของโรงเตี๊ยม ภายในที่พักโอ่อ่าตระการตา บนเตียงแบบมีโครงเสาลงรักปิดทองลายหงส์
เจี่ยงฮองเฮากำลังเอนหลังพิงหมอน ทรงล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย และเพิ่งดื่มน้ำแกงระงับประสาทที่หัวหน้าไป๋ยกมาให้ สติอารมณ์ที่หลุดลอยเพราะตกใจจึงสงบนิ่งลง แต่ยังรู้สึกขวัญหนีดีฝ่ออยู่บ้าง
พอมเหสีรองเหวยรู้เรื่องฮองเฮา ก็นั่งหัวเราะอยู่ในห้องตัวเองพักใหญ่ สมควรละ ใครใช้ให้นางอยู่ในวังดีๆ ไม่ชอบเล่า!
การออกล่าสัตว์ครั้งนี้ ฝ่าบาทมีพระประสงค์ที่จะพาตนมาด้วยแต่แรก ส่วนฮองเฮานั่น เฮอะ ปกติแสร้งทำเป็นแม่พระใจบุญสุนทาน ใจกว้างไม่รู้มากมายเท่าใด แต่จริงๆ แล้วมิใช่กลัวว่าตนจะเป็นที่โปรดปรานหรอกหรือ ถึงต้องตามมาให้ได้ แล้วข่มตนไปในทุกๆ ที่!
ถ้ามิใช่เจี่ยงฮองเฮาอยากตามมา การล่าสัตว์ครั้งนี้ นางจะเป็นที่รักของฝ่าบาทแต่เพียงผู้เดียว ตอนนี้ดีล่ะ สมน้ำหน้า! แม้แต่สวรรค์ก็ยังเข้าข้างตน! มเหสีรองเหวยคิดพลางดีใจ แต่พอดีใจเสร็จ ก็ต้องไปเยี่ยมอยู่ดี จึงข่มความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นไว้ แล้วพาหยินเอ๋อร์เดินออกจากห้องไป