ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 125-3 หมาป่าถอดคราบลูกแกะ
รองอธิบดีกรมพระคลังหลิวกลับสูดหายใจเฮือกหนึ่ง สายตาเป็นประกายดั่งไข่มุกมองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าราวกับดอกไม้ตูมที่รอแบ่งบาน ไม่กล้าแม้แต่จะดูถูกดูแคลน และยังปรบมือให้อย่างประทับใจ “เราทั้งคู่ชนะแน่นอน!พูดได้ดีมาก!”
เรื่องนี้อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นมีความเป็นไปได้สูง ดวงตาหรี่อีกครั้ง รอยยิ้มหุบเล็กน้อย ฟันสีเงินปรากฏขึ้น แล้วถอนหายใจ “แต่ว่า เฮ้อ…..”
ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ราวกับมีผ้าไหมชั้นดีมาถูกับผิวหนัง ใจของรองอธิบดีกรมพระคลังหลิวเหมือนถูกตะขอห้อยไว้สูง แล้วถามอย่างกระตือรือร้น “มีอะไรรึ”
“แม้ว่าร้านเซียงหยิงซิ่วมีใจทุ่มเทให้กับราชสำนักนี้ ขุนนางชั้นสูงตระกูลหลิวเองก็ยินดีพูดคุยกับพวกเราเป็นอย่างดี ทว่าราคาน้ำพุร้อนนั้นยังคงสูง บางทีอาจมีผู้ประมูลรายอื่นก็เป็นได้ เมื่อการเกร็งกำไรไม่แน่นอน น้ำขึ้นเรือย่อมลอยสูงขึ้น เงินของผองเราไม่ถือว่ามากที่สุดในบรรดาผู้ค้าที่เสนอราคา ทว่าถ้ามากกว่าสองพันตำลึง อาจจะลำเค็ญสักหน่อย และมิอาจรู้ว่าการประมูลจะสำเร็จหรือไม่”
รองอธิบดีกรมพระคลังหลิวเปิดปากและยิ้มด้วยความโล่งใจ แล้วเหลือบมองตั๋วเงินที่ถูกทับโดยที่ทับกระดาษ ถ้าแก่น้อยคนนี้ช่างน่าทึ่งเสียจริง ต่อให้ไม่ได้เป็นผู้ประมูลที่มีกำลังทรัพย์มากที่สุดก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไร เพียงแค่ให้ตั๋วเงินกับคนกลางอย่างตนมากที่สุดก็พอแล้ว!ตนเองก็ได้ผลประโยชน์ แล้วเขายังสามารถช่วยให้ร้านเซียงหยิงซิ่วได้ราคาที่อยู่ในตำแหน่งต่ำสุดได้!
รองอธิบดีกรมพระคลังหลิวลูบเคราแพะของตนด้วยใบหน้าที่มั่นใจและยิ้ม “วางใจเถอะ”
ก้อนหินใหญ่ในใจอวิ๋นหว่านชิ่นได้ร่วงลงไป สำเร็จแล้ว
เช่นนั้นจะเสียเงินห้าร้อยตำลึงไปเพื่ออะไรกัน ในเมื่อราคาที่สามารถชนะการประมูลน้ำพุร้อนตาแมวได้นั้นไม่น้อยกว่าสามถึงห้าพันตำลึง หากมีผู้ประมูลที่ร่ำรวยก็ถือว่าเป็นการทำร้ายผู้ประมูลท่านอื่นแล้ว จะเสียเงินเป็นหมื่นตำลึงไปทำไม นางไม่จำเป็นต้องดิ้นร้นสู้กับผู้อื่นเลย แค่ให้รองอธิบดีกรมพระคลังหลิวเพิ่มอีกห้าร้อยตำลึง ราคาของน้ำพุร้อนนั้นเปลี่ยนเป็นได้รับสิทธิพิเศษมิใช่น้อย ต้องคุ้มทุนอย่างแน่นอน
หลังจากที่คุยกับรองอธิบดีกรมพระคลังหลิวมาตลอดช่วงบ่าย อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกอารมณ์ดี เหลือแค่รอทางนั้นส่งข่าวดีมาให้ นางก็ขอตัวกลับ ก่อนออกไปจู่ ๆก็มีเรื่องเข้ามาในหัว ครั้นแล้วก็พลั้งปากพูดออกไป “ท่านหลิว ทางราชสำนักได้ออกคำสั่งภาษีใหม่เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อรวมการชำระภาษีรายเดือนเข้ากับการชำระเงินรายไตรมาสหรือ ”
รองอธิบดีกรมพระคลังหลิวลูบเครา “มีเรื่องดีขนาดนี้เชียวหรือ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”อวิ๋นหว่านชิ่นมีข้อสงสัยมากมาย นางยังคงสงสัยการตรวจสอบบัญชีก่อนการล่าสัตว์วสันตฤดูเสียด้วยซ้ำ ในเมื่อหงเยียนอธิบายมาแบบนั้น แม้จะได้ฟังมาก็ยังจำเป็นต้องทำเป็นไม่สงสัยอะไร หากมีพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเช่นนี้ แม้ว่านางจะไม่เห็นมันจากสำเนาของตี้เป่าก็ตาม อย่างไรแล้วพ่อค้าในเมืองหลวงก็ต้องบอกปากต่อปาก เล่าสู่กันฟังอยู่แล้ว ในตอนนี้พอข้าได้ยินรองอธิบดีกรมพระคลังหลิวพูดถึงเรื่องนี้แล้วนั้น จึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วมันคือสิ่งที่สมมุติขึ้นไม่มีอยู่จริงและไม่เป็นความจริง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ขอร้องด้วยน้ำใสใจจริง “ใต้เท้าหลิว ช่วยแสดงบันทึกภาษีร้านเซียงหยิงซิ่วในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาให้ข้าดูได้หรือไม่”
รองอธิบดีกรมพระคลังหลิวก็มิรอช้า ปรบมือขึ้น “ใครก็ได้มานี่หน่อย” ผู้ติดตามได้พบหนังสือหนาเล่มหนึ่งในตู้ไม้ พลิกไปที่หน้าใดหน้าหนึ่งแล้วส่งให้อวิ๋นหว่านชิ่นด้วยความเคารพ
อวิ๋นหว่านชิ่นรวบรวม ตรวจสอบอย่างรอบคอบ แล้วเปิดดูหลังจากเปิดร้าน ร้านเซียงหยิงซิ่วก็เหมือนกับร้านค้าอื่นๆ ที่จ่ายภาษีรายเดือน ทว่าตั้งแต่เดือนที่นางบ่นกับหงเยียนเกี่ยวกับการเก็บภาษีจำนวนมากและพยายามประคับประคองอย่างเหน็ดเหนื่อย ก็ไม่มีรายการภาษีรายเดือนและรายจ่ายเงินในหนังสือของร้านค้าอีกเลย แต่สมุดบัญชีของสำนักงานกรมพระคลังยังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าภาษีรายเดือนที่จ่ายโดยร้านเซียงหยิงซิ่วยังคงดำเนินอยู่
พูดอย่างตรงไปตรงมา นั่นคือมีคนเป็นแม่นางหอยโข่งแอบจ่ายเงินให้นาง เพียงแต่โกหกเจ้าว่ารวมเป็นภาษีรายไตรมาสแล้ว ส่วนหงเยียนก็เป็นคนดูแลร้าน ทุกเรื่องล้วนเป็นนางที่จัดการ คนคนนั้นปิดไม่พ้นหรอก เว้นแต่ว่าหงเยียนรู้ แต่กลับนางถูกกำชับว่าห้ามบอก
ผู้นี้อาจจะใช้เงินจำนวนมากเพื่อมาช่วงชิงร้านของนาง ถึงกับหลอกล่อตนกับเถ้าแก่ลึกลับที่เขาร่วมมือด้วย
ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ตั้งแต่ตนคิดอยากเปิดร้านไปจนถึงช่วงวางแผนและสนับสนุนช่วยเหลือทุกอย่าง จนกระทั่งตอนนี้ร้านกำลังเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา งานใหญ่และเล็กทั้งหมดในร้านอยู่ภายใต้สายตาของเขาผู้นั้นและถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ซึ่งมีความรู้สึกของการถูกคนสะกดรอยตามบ้าง
เมื่อปิดสมุดบัญชีลง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ส่งคืน เอ่ยเสียงที่สงบนิ่ง “ขอบคุณใต้เท้าหลิว” แผ่นหลังของชายหนุ่มที่เหมือนดั่งหน่อไม้ไม้ไผ่ แม้จะดูเรียวยาวแต่ก็ดูอ่อนโยน ยิ้มทักทายก่อนจะจากไป ท่าทีที่หยิ่งผยองและมั่งคั่ง ราวกับว่าไม่สนใจสิ่งใด แต่ความสง่างามและขรึมนี้ราวกับว่าได้วางแผนมาเป็นอย่างดีแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีการประจบมากมาย เป็นการทักทายเพียงหนึ่งเดียว แค่ตบเบาๆ พันตั๋วเงินหนึ่งใบก็เท่านั้นเอง
รองอธิบดีกรมพระคลังอดไม่ได้ที่จะมองตามหลัง ผู้ติดตามข้างกายท่านคุ้นเคยกับการเห็นใต้เท้าของตนหยิ่งผยองต่อพ่อค้าเหล่านั้น หายากที่จะเห็นฉากแบบนี้ เพราะอีกฝ่ายเป็นวัยรุ่นที่อายุไม่ถึงยี่สิบปี
พวกเขาทั้งสามเดินออกจากสำนักงานกรมพระคลัง ชูซย่าและอวิ๋นจิ่นจ้งตั้งใจฟังสิ่งที่เกิดขึ้น พอรู้ว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว ก็พากันดีใจปรีดายิ่ง ส่งเสียงเจื้อยแจ้วตลอดทาง สนทนากันจนหน้าบานเป็นกระด้ง
เนื่องจากอยู่ในกรมพระคลังเป็นเวลานาน อวิ๋นหว่านชิ่นจึงมิทันได้คำนวณเวลา เมื่อนางออกมามันก็สายเสียแล้ว คิดว่าถ้าจะกลับไปร้านเซียงหยิงซิ่วเปลี่ยนกลับเป็นเสื้อผ้าสตรีก็ไม่ทันแล้ว เช่นนั้นตรงกลับบ้านเสียเลย แล้วแอบเข้าละแวกใกล้เคียงก็ใช้ได้แล้ว
ในขณะที่พวกเขาทั้งสามพูดไปยิ้มไป ก็ได้มาถึงทางตันของเมืองอวิ๋น ตรงหัวมุมด้านนอกก็พบว่ามีรถม้าจอดอยู่
ที่ดูไม่มีความหรูหรา แต่กลับดูมีฐานะที่ต้อยต่ำ ม่านสีเขียวสะบัดท่ามกลางสายลม ราวกับสัตว์ร้ายตัวที่หลบซ่อนตัวรอผู้คนเงียบๆ
อวิ๋นจิ่นจ้งจำรถม้าคันนั้นได้ ว่าเคยถูกรับขึ้นไปบนรถม้าในช่วงค่ำวันเริ่มต้นเหมันตฤดู เพื่อไปรับตัวเองและพี่หญิงเพื่อไปฉลองงานเทศกาล จึงประหลาดใจขึ้น “ พี่หญิง มันเป็น…รถขององค์ชายสาม…”
รอยยิ้มเจื่อนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชูซย่า และพยายามปิดปากคุณชายน้อย “คุณชายน้อย ท่านเข้าไปก่อนเถิด ตัวข้ารับใช้ขออยู่เฝ้าที่นี่” อวิ๋นจิ่นจ้งยักคิ้วคมเข้มและเดินเข้าไป ชูซย่าเข้าไปใกล้หูของนายหญิงพร้อมกับพูดติดตลกว่า “คุณหนูใหญ่ ก่อนแต่งงานไม่เหมาะที่จะพบกัน ถ้าท่านไม่ต้องการพบ บ่าวจะไปคุยกับคนขับรถให้เพคะ”
ในเมื่อมาแล้ว ทำไมจะไม่พบสักหน่อยล่ะ ดีออกจะตายไป อวิ๋นหว่านชิ่นส่งสัญญาณให้ชูซย่ารอข้างๆ สักครู่ แล้วเดินเข้าไป