ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 127-2 ใจมารและการเคลื่อนไหวภายนอกที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
ถัดไปไม่ไกล ที่ด้านข้างของช่องว่างในบ้านหลังเล็กซอมซ่อ มีร่างหนึ่งกำลังจ้องมองไปที่ด้านหน้า
ตั้งแต่คืนนั้นที่ชายรองมาเยือนที่รังของสุนัขรับใช้ ทุกวันเมื่อมีเวลาว่างฮว่าซั่นก็มักจะเข้ามาสอดส่องว่าอวิ๋นหว่านชิ่นรั้งตัวชายรองไว้อย่างไรกันแน่ ถึงอย่างไรเรือนหลังนี้ก็ตั้งอยู่ที่ในตรอกด้านหลังของจวนกุยเต๋อโหว ซึ่งเหมาะพอดี วันนี้ก็เช่นกัน และไม่คิดว่าจะได้เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเดินเล่นพักผ่อนกับคนใช้ของนางโดยถูกปี้อิ๋งเชิญมา
ได้ยินแว่วๆจากปี้อิ๋งว่าอวิ๋นหว่านเฟยไม่สบายจนลุกจากเตียงไม่ได้อย่างนั้นหรือ
ไร้สาระน่า! เมื่อวานสุนัขรับใช้ยังยืนเท้าเอวอยู่ที่สนามตำหนิปี้อิ๋งที่กลับมาช้าอยู่เลย อาหารก็มาช้า แทบจะอดตายอยู่แล้ว ในตอนนั้นเสียงที่ก่นด่าดังดูโกรธมากจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
ต้องมีแผนการเป็นแน่!
ฮว่าซั่นเมื่อเห็นว่าอวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าไปแล้วก็ยืนแนบติดกับกำแพงข้างตรอก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ สอดสายตามองซ้ายขวา คืนก่อนที่มาด้วย แม่เล็กอวิ๋นเอาแต่พูดว่าให้ช่วยทำความหวังของชายรองสำเร็จ ทั้งยังเอ่ยถึงชื่อของอวิ๋นหว่านชิ่น ไม่แน่ว่าวันนี้อาจจะหาโอกาสเพื่อลงมือทำอะไรสักอย่างก็เป็นได้
ไม่ได้ ไม่ว่าอวิ๋นหว่านเฟยจะทำอะไร ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางยอมให้นางได้ในสิ่งที่ต้องการและเอาชนะใจคุณชายรองได้หรอก!
ฮว่าซั่นฉุกคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉับพลันจึงหันตัวกลับแล้วควบม้าไปยังจวนฉินอ๋องที่อยู่ทางตอนเหนือ
ส่วนในตัวเรือน อวิ๋นหว่านชิ่นและชูซย่าเดินมาถึงหน้าประตูบานหนึ่งที่มีสีกระดำกระด่าง ปี้อิ๋งหยุดเดินและเคาะประตู “คุณหนูคะ คุณหนูใหญ่มาแล้ว”
“รีบเชิญท่านพี่เข้ามาเร็ว แค่กๆๆ”
เสียงของหญิงสาวที่ไม่ได้ยินมาเป็นเวลานานดังลอดออกมา ผสานกับเสียงไอที่แหบแห้ง ไร้ซึ่งความร้ายกาจเฉกเช่นในอดีต
“แม่นางชูซย่า คุณหนูน่าจะอยากพูดคุยกับคุณหนูใหญ่ตามลำพัง เจ้าน่าจะอยู่รออยู่ข้างนอกกับข้าดีหรือไม่” ปี้อิ๋งพูดตรงไปตรงมา
ชูซย่าหันไปมองคุณหนูใหญ่แวบหนึ่ง อวิ๋นหว่านชิ่นส่งสัญญาณว่าเห็นด้วยและผลักประตูเปิดเข้าไป
เมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปในห้อง ปี้อิ๋งและชูซย่าก็ถอยห่างออกจากประตูไปเพื่อนั่งเฝ้า แต่ไม่ทันไรปี้อิ๋งก็ลุกขึ้นเขย่งเท้ามองไปรอบๆ แล้วหันกลับมาพูด “พี่ชูซย่า เกรงว่าพี่น้องคุยกันน่าจะต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง ที่ด้านโน้นของเรือนมีเตาไฟเล็กๆ ด้วย พวกเราไปที่นั่นแล้วชงชาเข้าไปให้นายทั้งสองกันดีรึไม่?”
ชูซย่าไม่ออกความเห็นใด นางเดินนำปี้อิ๋งไปที่เตาไฟ
อวิ๋นหว่านชิ่นเข้ามาด้านใน ห้องเดี่ยวขนาดเล็กนี้ เมื่อเทียบกับด้านนอกแล้วช่างดูแย่และรกเสียจนหาความเรียบง่ายไม่ได้ ทั้งข้าวของเครื่องใช้ที่ดูสกปรกอย่างน่าตกใจ บนโต๊ะมีถ้วยชามเปล่ามันเยิ้มและถ้วยน้ำชาวางอยู่โดยไม่มีการทำความสะอาดใดๆ
ผ้าคลุมเตียงถูกแง้มออก อวิ๋นหว่านเฟยยันตัวเองลุกขึ้นจากเตียงกระซิบเสียงแผ่วเบา “ท่านพี่มาแล้ว เชิญนั่งลงก่อน” ว่าจบแล้วเอื้อมมือเปิดผ้าม่านผืนหยาบออก ทันทีที่เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นก็เกิดความตกใจขึ้นมาเล็กน้อยจนเผลอกัดฟันพูดไม่ออก ความรู้สึกอิจฉาริษยาเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อมองกวาดไปทั่วทั้งตัวของนาง ราวกับถูกมดและแมลงกัดกินกระดูกจนเจ็บแสบ
ไม่ได้เจอตั้งนาน พี่สาวผู้นี้สวยสง่ายิ่งกว่าตนตอนก่อนแต่งงานออกไปเสียด้วยซ้ำ ทั้งเสื้อคลุมสีแดงสดปักลายห่านและก้อนเมฆซ้อนทับกันและหมวกที่ถอดออกเมื่อเข้ามาด้านใน ดวงหน้ารูปไข่ที่แสดงออกถึงความสดใสเมื่ออยู่ในห้องมืดๆ ฝุ่นเขรอะแล้ว กลับทำให้ดูสดใสขึ้นเสียอย่างนั้น
ความไร้เดียงสาจางหายไปจากเดิมมาก เรือนร่างอรชรตอนนี้มีเนินอกตั้งชันขึ้นมาเด่นชัดเหมือนเนินเขา ส่วนสูงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยรับกับรูปร่างโปร่งและผอมบาง เครื่องหน้าที่นับวันยิ่งงดงาม คิ้วสีควันบุหรี่ทั้งสองโค้งโก่งขึ้นเล็กน้อยเหนือดวงตาราวกับคลื่นน้ำสองลูกในทะเลหมอกของฤดูใบไม้ร่วง ช่วยขับความสวยงามของหญิงสาวเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังมีความคิดชาญฉลาดอย่างที่ผู้หญิงทั่วไปไม่มี สามารถมองนิสัยของผู้คนได้ทะลุปรุโปร่ง ผิวพรรณผ่องใสอ่อนโยนที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าถูกดูแลเป็นอย่างดี อย่าว่าแต่ผู้ชายเลยที่ไม่สามารถต้านทานเสน่ห์อันยั่วยวนขนาดนี้ได้ เกรงว่าแม้กระทั่งผู้หญิงยังต้องยอมสยบลงเบื้องล่างให้นาง
เดาได้เลยว่าถ้าหากนางแต่งงานแล้ว จะต้องถูกดูแลประคบประหงมเสียจนเกรงว่าจะกลายเป็นสาวงามในเมืองหลวง
เหอะ ไม่แปลกใจเลยที่ฉินอ๋องกล้าที่จะมอบของขวัญให้นางต่อหน้าสาธารณะ เป็นของขวัญแต่งงานของฮ่องเต้ ซ้ำยัง…ทำให้ท่านพี่ไท่ยอมที่จะปิดหูปิดตายอมเอาแต่คิดถึงนางเสียจนไม่เป็นอันทำงาน!
มือผอมแห้งของอวิ๋นหว่านเฟยจิกเข้าหากัน กัดฟันอย่างแรงเพื่อสะกดกลั้นสีหน้าของพิษแห่งความริษยาที่ไหลเวียนอยู่ในจิตใจเอาไว้ นางยกมือขึ้นมาป้องปาก ก่นไอเสียงดังอีกครั้ง
อวิ๋นหว่านชิ่นฟังเสียงแล้ว เทียบกับก่อนหน้านี้ที่ได้ยินอยู่ข้างนอกดูเหมือนนางจะมีแรงมากขึ้น เห็นแบบนี้แล้วก็ไม่เห็นจะเหมือนคนใกล้ตายสักนิด อาจเป็นไปได้ว่านางไม่สามารถหาผลประโยชน์จากตระกูลโหวได้ จึงทำได้เพียงแค่จงใจกลับไปหาครอบครัวแล้วพูดเกินจริงเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ ปลายคิ้วขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว “น้องรองป่วยเป็นอะไรอย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นหว่านเฟยตอบน้ำเสียงเศร้า “พี่ใหญ่แค่เห็นข้าเป็นเช่นนี้แล้วก็น่าจะรู้ อาศัยอยู่ในที่แบบนี้จะไม่ให้ป่วยได้อย่างไร ไอมาหลายวันแล้ว รู้สึกไม่สบายเอาเสียเลย กลัวว่าจะไม่ไหว แต่ตอนนี้เห็นว่าพี่สาวมา ข้าก็ดีใจเสียจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว รู้สึกมีแรงมากขึ้น ถ้าหากพี่สาวมีเวลามานั่งอยู่กับข้ามากขึ้น จิตใจของน้องสาวผู้นี้ก็ดีขึ้นเยอะแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นเมื่อเห็นว่านางยังแสร้งทำท่าทีเช่นนี้อยู่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเย็นชา จากนั้นเดินเข้าไปเปิดผ้าม่านออกแล้วจับเอาข้อมือของน้องสาวคนที่สองยกหงายขึ้น ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้กดลงไปที่จุดฝังเข็มตรงข้อมือของนางพร้อมกลั้นลมหายใจ
อวิ๋นหว่านเฟยสะดุ้ง หัวใจเต้นแรงอย่างคิดไม่ถึงว่านางสามารถวัดชีพจรได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เวลานี้เมื่อมองนางจากระยะใกล้ ใบหน้าราวกับหยกประดับด้วยดอกไม้ สดใสเปล่งปลั่ง สง่างามไปเสียหมด ชัดเลยว่านางกำลังจะพบเจอความยิ่งใหญ่ในชีวิต ทำได้เพียงอดกลั้นความอิจฉาที่กำลังก่อตัวภายในจิตใจ ถ้าเป็นไปได้ตอนนี้อยากจะกระโจนเข้าไปใส่แล้วข่วนบนใบหน้าของนาง ทำลายใบหน้านี้ให้พังย่อยยับไม่มีชิ้นดี ดูซิว่าจะยังสามารถแต่งงานเข้าจวนอ๋องได้อีกหรือไม่ จะยังสามารถดึงดูดพี่ไท่ให้สนใจแต่ตัวเองได้อีกไหม!
ที่หน้าอกของอวิ๋นหว่านเฟยตอนนี้กำลังลุกไหม้ด้วยเปลวไฟ อวิ๋นหว่านชิ่นคลายนิ้วมือออกอย่างใจเย็นแล้วถอยหลังออกไปสองก้าวแล้วพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “เมื่อกี้ปี้อิ๋งวิ่งมาที่บ้านข้าและร้องห่มร้องไห้ บอกว่าน้องใกล้จะไม่ไหวแล้ว ที่บ้านไม่มีใคร ข้าที่เป็นลูกสาวคนโต ถ้าหากไม่มาแสดงความเสียใจก็ดูจะเป็นคนเห็นแก่ตัว ถูกผู้คนกล่าวว่าไร้ซึ่งความเป็นพี่สาว น้องสาวที่กำลังจะตายไม่คิดจะมาดูแลแม้แต่น้อย ไม่คิดเลยว่าน้องรองจะทรยศต่อความหวังดีของข้า ตอนนี้มันจบลงแล้ว! ไม่เป็นไร น้องคนที่สองเคยได้ยินหรือไม่? เรื่องที่หมาป่ากำลังมา ครั้งต่อไปอย่าได้ชักช้าล่ะ!”
มุมของเสื้อคลุมที่ปักลายจู้ขยับส่ายสะบัดเมื่อหญิงสาวหมุนตัวออกมา
อวิ๋นหว่านเฟยรู้แล้วว่าพี่สาวจับชีพจรก็ดูออกแล้วว่าตนไม่ได้ป่วยตั้งแต่แรก และเห็นว่านางกำลังจะลุกออกไปอย่างเรียบง่ายไม่ใยดี จึงก้าวเท้าลงแล้วตะโกนว่า “อย่าไปเลยนะพี่ใหญ่”