ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 128-3 กอบกู้ชีวา กากเดนมนุษย์
ชูซย่าแทบอยากอาเจียนเป็นเลือด อดใจไม่ไหวที่จะเดินไปต่อยและเตะมู่หรงไท่ ส่วนซือเหยาอันที่โกรธเหลือทนเช่นกัน ใบหน้าก็เผยจิตสังหารเล็กน้อย แต่หรุ่ยจือกลับเป็นคนรอบคอบ ถ้าองค์ชายสามต้องการการแก้แค้นเพื่อคุณหนูอวิ๋น ก็สามารถสังหารคุณชายรองแห่งจวนโหวได้โดยง่าย แน่นอนว่าคงถูกขุนนางเล่นงาน ถึงเวลานั้นคงถูกองค์ฮ่องเต้ลงโทษ จึงลังเลอยู่พักหนึ่ง แล้วโน้มตัวเข้าเกลี้ยกล่อมเสียงเบา “องค์ชายสาม ถ้าท่านต้องการจัดการมู่หรงไท่ผู้นี้ มีโอกาสมากที่จะเป็นดั่งที่เขาว่ามา มิสู้ปล่อยเขาไปก่อน จากนั้นค่อย…” พูดไม่ทันจบ ฉินอ๋องก็หัวเราะขึ้น แล้วกล่าวกับมู่หรงไท่ว่า
“ขู่เช่นนี้ก็สำเร็จหรือ เจ้าไม่ต้องกังวล ในเมื่อเจ้าพูดออกมาแล้ว ข้าก็จะให้เป็นดั่งที่เจ้าปรารถนาทุกอย่าง จะไม่ปล่อยให้เส้นผมของเจ้าแม้แต่เส้นเดียวหรือชิ้นส่วนร่างกายหายไปแม้แต่ชิ้นเดียว ยังไม่จัดการอีก!”
นายทหารไร้ซึ่งความลังเลอีกต่อไป ยื่นมือไปข้างหน้าราวกับใบมีด และตีที่ท้ายทอยของมู่หรงไท่ ดัง ปึก
ใบหน้าของมู่หรงไท่พลันซีดเซียว แต่ก่อนจะได้ส่งเสียงใด ร่างกายก็อ่อนยวบ กองลงไปกับพื้น ทหารพบถุงผ้าใบขนาดใหญ่ใบหนึ่ง จึงนำมาห่อร่างเขาไว้บนบ่าแล้วจากไป
ซย่าโหวซื่อถิงโอบร่างอวิ๋นหว่านชิ่น แล้วยกขึ้นเดินไปยังรถม้าที่จอดอยู่ด้านนอก ชูซย่าตื่นตัว รีบถาม “ฉินอ๋องจะพาคุณหนูใหญ่ของบ่าวไปที่ใดเจ้าคะ”
ซือเหยาอันรั้งนางไว้ “คาดว่ามู่หรงไท่และอนุของเขาให้ยาอะไรบางอย่างกับคุณหนูอวิ๋น คุณหนูอวิ๋นสภาพในตอนนี้ไม่สะดวกที่จะกลับไป องค์ชายสามจะพานางไปล้างพิษก่อน แล้วค่อยส่งนางกลับไปที่จวนสกุลอวิ๋น ส่วนหน้าที่ของเจ้า ก็คือทำความสะอาดสถานที่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อผ้าและปิ่นปักผมไข่มุกของคุณหนูอวิ๋น จำไว้ด้วยว่านำสิ่งของออกไปทั้งหมด เพื่อไม่ให้ถูกคนจับได้ จะเป็นอันตรายต่อชื่อเสียงของคุณหนูอวิ๋นในอนาคตเอาได้!”
มีคนของฉินอ๋องที่คอยดูแลเอาใจใส่ ชูซย่าจะยังมีอะไรไม่สบายใจกันเล่า นางพยักหน้า พอได้ยินว่าอวิ๋นหว่านเฟยอาจจะวางยาคุณหนูใหญ่ก็แทบกระอักเลือดออกมา แต่กลับกำหมัดแน่น เพียงสงบสติอารมณ์แล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าซือโปรดวางใจ ที่นี่ให้ข้าจัดการเองเจ้าค่ะ”
ในเวลาเดียวกัน ข้างนอกห้อง หรุ่ยจือก็มองไปที่ปี้อิ๋ง แล้วกวักมือสั่งการ “ใครก็ได้มานี่ที นำบ่าวสถุลโง่งมรับใช้คนชั่วผู้นี้ส่งไปที่หอฝึกนางโลมเจี้ยวฟางเสีย”
หอฝึกนางโลมเจี้ยวฟางคือสำนักหอนางโลมที่ถูกที่สุดในเยี่ยจิง ลูกค้าแวะเวียนมาล้วนเป็นชนชั้นล่างที่ต้อยต่ำทั้งนั้น แม่เล้าและแมงดาในเจี้ยวฟางต่างก็ค่อนข้างป่าเถื่อนดุร้ายกัน บีบบังคับหญิงสาวไม่ให้หยุดรับแขกทั้งคืน เมื่อเข้าไปในหอฝึกนางโลมเจี้ยวฟางแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ก็เหมือนกับอยู่มิสู้ตาย ได้ยินข่าวมาว่าทุกๆ สิบวันจะต้องส่งศพนางคณิกาออกไปร่างหนึ่ง ปี้อิ๋งตกใจกลัวมากจนกอดต้นขาของหรุ่ยจือ แล้วร้องห่มร้องไห้ว่า “แม่นาง แม่นาง บ่าวเองก็ไม่มีทางเลือก อนุอวิ๋นเป็นนายของบ่าว พูดอะไรบ่าวก็ต้องทำตาม ขอร้องต่อแม่นางโปรดไว้ชีวิตบ่าวด้วยเถิด!”
แม้ว่าชูซย่าจะเกลียดปี้อิ๋งที่ร่วมหัวกับคุณหนูรองใส่ร้ายคุณหนูตัวเอง แต่ตอนนี้ที่ได้ยินเสียงนางร้องไห้อย่างรันทด ด้วยที่เป็นบ่าวรับใช้เหมือนกัน จึงอดไม่ได้อยู่บ้างที่จะคิดว่าบทลงโทษนี้สาหัสเกินไป เดิมทีคิดว่าจะขอร้องต่อหรุ่ยจือ ลดให้เรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็กลง นำตัวปี้อิ๋งส่งไปไว้ที่ร่องน้ำสุดเขาลึก จนไม่สามารถกลับมารับโทษหนักหนาที่เมืองหลวงได้อีก กลับไม่คาดคิดว่าพอหรุ่ยจือเห็นปี้อิ๋งขอความเมตตา จะเลิกคิ้วขึ้น แล้วเปล่งเสียงเย็นชามากขึ้นไปอีกว่า “ขอความเมตตา? ดี ไม่เพียงแค่โง่ ยังตาบอดอีกนะ!”
ไป๋อิ๋งถึงกับเป็นลมหมดสติ แล้วถูกทหารลากออกไป
อวิ๋นหว่านเฟยที่เห็นว่าสถานการณ์ของปี้อิ๋งจบลงด้วยไม่ดี ดวงตาก็ฉายแววตื่นตระหนก พลันคร่ำครวญทั้งๆ ที่มีเศษผ้ายัดปากอยู่ในปาก
หรุ่ยจือมองไปตามเสียง แล้วเดินช้าๆ เข้าไป โน้มตัวลง หยิบเศษฟืนเล็กๆ หนึ่งแท่งขึ้นมา แล้วเขี่ยไปที่หน้าแก้มของนางอย่างเชื่องช้า
อวิ๋นหว่านเฟยตาเบิกโพลง ยิ่งร้องครวญครางหนักขึ้น แต่กลับได้ยินสตรีที่สวมใส่ชุดบ่าวผู้นี้ส่งเสียงไม่พอใจว่า
“ถ้าไม่ใช่เจ้า ไฉนให้องค์ชายสามที่ป่วยหนักวิ่งเต้นมากัน! หากองค์ชายสามโรคกำเริบเพราะเจ้าละก็…”
พูดยังไม่ทันจบ ส่วนปลายคมแท่งฟืนที่แข็งก็งอเล็กน้อย ราวกับตะขอ ผิวที่นิ่มนวลของอวิ๋นหว่านเฟยถูกกรีด บนหน้าผากและแก้มทั้งสองข้างถูกทิ่มอย่างหนัก ใบหน้าที่แต่เดิมเกลี้ยงเกลาบัดนี้กลับถูกประทับร่องรอยขีดเขียนเป็นสิบเส้นยาวถึงสี่ห้าชุ่นอย่างน่ากลัว ผิวหนังลอกขึ้นมา เลือดไหลซิบ ปากแผลลึกมากทีเดียว แถมยังเป็นตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจนอีก พอมองก็รู้ได้ หลังจากนี้คงจะมีตะขาบไต่อยู่เต็มหน้า
อวิ๋นหว่านเฟยที่ถูกแท่งไม้แหลมคมทิ่มจนกรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตนรู้ว่ารูปลักษณ์ถูกทำลายลงแล้ว ทั้งเจ็บปวดทั้งโกรธาจนสลบเหมือดไป
ชูซย่าหายใจเข้าอย่างตะลึง ปี้อิ๋งสมควรได้กรรม ส่วนอวิ๋นหว่านเฟยก็ยิ่งไม่คุ้มค่าที่จะได้รับการเห็นใจ ทว่าพอมองไปหรุ่ยจือผู้นี้ก็ไม่เหมือนว่าจะเป็นคนดีแต่แรก ดูนางจะให้ความเคารพนอบน้อมต่อหน้าฉินอ๋อง เจียมเนื้อเจียมตัว ใช้น้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่พอหันตัวไป เห็นฉินอ๋องไม่อยู่ ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ยังใจอำมหิตยิ่ง พอเห็นว่านางทิ้งแท่งฟืนไป ใบหน้าอวิ๋นหว่านเฟยก็ถูกทำให้เสียโฉมจนเลือดไหลไม่หยุด ส่วนซือเหยาอันก็ออกไปกับนายทหารแล้ว ชูซย่าไม่คิดอะไรให้มาก รีบเข้าไปในห้องหยิบสิ่งของของคุณหนูใหญ่มาทำความสะอาดก่อน ใส่ปิ่นปักผมไข่มุกไว้ในกระเป๋า ไม่ให้ตกหล่นแม้แต่ชิ้นเดียว อีกทั้งยังหอบอาภรณ์ที่ฉีกขาดทั้งหมดไปที่ห้องครัวแล้วจุดไฟ ให้มอดไหม้จนหมดสิ้นไป
*
ภายนอกเรือน เซี่ยโหวซือถิงอุ้มอวิ๋นหว่านชิ่นเอาไว้อย่างไม่ให้ลมโดนตัว เลิกผ้าม่านออก อุ้มขึ้นรถม้าไป ซือเหยาอันและหรุ่ยจือได้แต่มองหน้ากันไปมา และส่วนนายทหารก็ขึ้นม้าไปสองสามตัว เดินตามหลังห่างสองสามจั้งไปอย่างเงียบๆ
“ไปที่สวนผลซิ่ง”
พอชายหนุ่มออกคำสั่ง คนขับรถม้าก็กระโดดขึ้นม้า มุ่งไปยังหมู่บ้านที่ไม่มีใครอยู่ในเขตชานเมือง
ก่อนอวิ๋นหว่านชิ่นจะได้กลิ่นกางขี้มอดก็กลั้นลมหายใจไว้ ปริมาณถือว่าไม่มากเกินไป โชคดีพอที่สามารถยับยั้งการตอบสนองร่างกายได้ ศีรษะเองก็รู้สึกเพียงง่วงซึมเท่านั้น ตอนนี้รถม้ากำลังโคลงเคลงไปมา จนทำเอานางตื่นขึ้นเล็กน้อย ยังเห็นว่าโดนเขากอดกันแน่นอยู่ ทั้งสองคนแนบชิดกันจนไม่มีช่องว่าง อีกทั้งยังสังเกตเห็นตนเองที่ใส่เสื้อผ้าชิ้นเล็กๆ ชิ้นเดียวภายใต้เสื้อคลุมใหญ่ ร่างกายยิ่งร้อนผ่าวขึ้นไปอีก รู้ว่าฤทธิ์ของยาน่ารังเกียจนั่นไม่อาจต้านทาน ยิ่งได้ใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามขนาดนี้ ยิ่งทำให้ตื่นตัวอย่างหนัก จึงพยายามจะห่างเขาสักหน่อย
ฝ่ามือของชายหนุ่มกระชับขึ้น กลับกดเอวที่อรชรดั่งต้นหลิวของนางให้แน่นขึ้น แล้วก้มหน้ายิ้มเบาๆ “ผลักไสข้าอย่างนั้นหรือ เมื่อครู่ที่อยู่ในห้อง เป็นใครกันเรียกชื่อของข้ากัน เรียกอย่างเคลิบเคลิ้มเลยทีเดียว”