ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 129-1 กามโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ให้กำเนิดบุตรชาย
เสียงปิดประตูดัง ปัง ผู้คุมขังเปิดประตูออกไปแล้ว
ในห้องที่มืดสลัว มู่หรงไท่ขนลุกขนพองไม่รู้ว่าฉินอ๋องคิดจะทำอะไร จึงลุกขึ้นและวิ่งไปกระแทกประตูอย่างแรง
“ใครก็ได้! ใครก็ได้! เปิดประตูที! ปล่อยข้าออกไป! ข้าเป็นคุณชายรองของจวนกุยเต๋อโหวนะ! พวกเจ้าอย่าได้คิดจะเล่นลูกไม้อะไรกับข้า! บอกเจ้านายของพวกเจ้า แน่จริงก็ส่งข้ากลับไปที่จวนโหวสิ! แน่จริงก็ ประกาศเรื่องนี้ออกไปสิ กราบทูลให้ฮ่องเต้ลงโทษข้าสิ! พวกเจ้าจะตั้งศาลเตี้ยลงโทษอย่างนั้นรึ ไปบอกเจ้านายของเจ้า หากข้าได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ก็อย่าหาว่าข้าสู้กับเขาจนพังทั้งสองฝ่ายก็แล้วกัน! ฮ่าๆ…ฮ่องเต้ไม่สนใจกฎหมายของประเทศหรอก ตั้งศาลเตี้ยลงโทษคุณชายของจวนโหวเพราะว่าชิงรักหักสวาทเพราะพิษรักแรงหึงกับสตรี ดูสิว่าเขาจะจ่ายไหวหรือไม่ ดูสิว่าสนมเอกเฮ่อเหลียนคนนั้นจะสามารถร้องขอความเมตตาจากเขาได้หรือไม่!”
นอกประตู ผู้คุมขังเดินออกไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ก็เห็นผู้คุมคนหนึ่งพาคนอีกสองคนมาด้วย โบกมือและชี้นิ้วไปที่ห้องด้านหลังส่งสัญญาณว่ามีคนอยู่ข้างใน
ในห้องขัง มู่หรงไท่ใช้มือตบขาที่เป็นตะคริว เขาหยุดชะงักและก้าวถอยหลังพิงเสาเพื่อพักหายใจ ได้ยินเพียงประตูดัง เอี๊ยด เปิดเห็นช่อง จากนั้นก็ค่อยๆ เปิดออก
กลิ่นแป้งหอมลอยเข้ามา มีเงาคนสองคนที่ราวกับปลาไหลเดินเข้ามา คนที่อยู่ข้างหลังร้องเสียงหลง เมื่อประตูถูกผลักให้ปิดและลงกลอนอีกครั้ง
ทั้งสองคนที่เข้ามา เสื้อผ้ามีกลิ่นหอมฉุน ทำให้คนหายใจได้ลำบาก
ชีวิตในอดีตและปัจจุบันของมู่หรงไท่ถือได้ว่าเป็นคนที่ทำตัวดุจแมลงที่ดอมดมล้อมรอบดอกไม้ นอกจากอนุภรรยาและนางสนมแล้ว ก็ออกไปคบค้าสมาคมกับพวกลูกๆ หลานๆ ของตระกูลขุนนาง บางครั้งก็ออกไปดื่มสุราที่หอนางโลม ระหว่างทางก็เสพสุขเกี้ยวพาราสี เป็นเรื่องปกติที่จะผ่านราตรีอันหวานชื่น ตั้งแต่บุตรสาวของตระกูลมั่งมี สาวงามในครอบครัวเล็กๆ ไปจนถึงหญิงสาวในหอนางโลม สตรีคนไหนไม่เคยเห็นเขาบ้างเล่า
ในแสงสลัวท่ามกลางความมืด แม้ว่ามู่หรงไท่จะมองเห็นคนที่อยู่ในห้องไม่ชัดเจน แต่เขากลับคุ้นเคยกลิ่นนั้นมาก กลิ่นที่หอมฉุนและรุนแรง ไม่ใช่กลิ่นหอมเรียบๆ แบบที่หญิงสาวในตระกูลมั่งมีใช้ แต่เหมือนกับ…กลิ่นที่หญิงสาวในหอนางโลมใช้เป็นประจำ!
เมื่อคิดดูแล้ว มู่หรงไท่ก็ยืดตัวขึ้นทันที ดวงตาก็เบิกกว้าง “พวกเจ้าเป็นใคร พวกเจ้ามาที่นี่ทำไม นี่มันหมายความว่าอะไร!”
มีคนคนหนึ่ง จุดตะเกียงน้ำมันวางเอาไว้บนโต๊ะ แสงไฟส่องประกาย แม้ว่ามันจะแผ่วเบาแต่ก็เพียงพอจะส่องสว่างพอให้เห็นภายในห้อง
มู่หรงไท่หยุดหายใจชั่วขณะ ไม่กล้าเชื่อสายตาของตัวเอง
หญิงสาวสองคนแต่งตัวยั่วยวน หญิงอ้วนวัยกลางคนยืนอยู่ข้างหน้า เกรงว่าน้ำหนักใกล้จะร้อยกิโลกรัม แต่งหน้าจัดจ้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่นและแป้งที่โปะไม่เรียบ แต่งกายด้วยผ้าไหมคุณภาพต่ำมีสีสันปกคลุมคลุมไขมันในร่างกายทั้งหมด เดินทีละก้าวพร้อมกับส่ายเอวและเข้ามาใกล้พร้อมด้วยรอยยิ้มที่เผยให้เห็นฟันสีเหลืองจากการสูบบุหรี่อยู่ในหอนางโลมมานาน
“คุณชาย วันนี้ข้าและน้องสาวจะมาดูแลท่าน”
อีกฝ่ายยิ้มอย่างมีความสุข “โอ้ คุณชายช่างสง่างามเสียจริง” ในปากของนางยังมีผักใบสีเขียวที่กินเมื่อตอนกลางวันอยู่ในซอกฟัน
เป็นความจริงที่มู่หรงไท่เกี้ยวสตรีมาแล้วทุกรูปแบบ แต่เขาก็ไม่เคยลิ้มลองรสชาติอันหนักหน่วงขนาดนี้ รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมรุนแรงที่พุ่งเข้ามาใกล้ จะชื่นชมนางโลมระดับล่างเช่นนี้ได้อย่างไร เขาแทบจะอาเจียนออกมาและส่งเสียงร้องว่า “ไสหัวไป…”
ร้องยังไม่สุดเสียง ก็มีใครคนหนึ่งผลักเขาลงบนเตียงใหญ่ข้างๆ กดเขาไว้แน่นและเริ่มถอดเสื้อผ้า “คุณชายอย่าอายไปเลยเจ้าค่ะ ดูสิว่าท่านหล่อเหลาแค่ไหน นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย นานแล้วที่เราสองพี่น้องไม่ได้เปิดบริสุทธิ์ผู้ชาย ปกติก็มักจะดูแลคนลากรถและคนล้างห้องน้ำ นึกไม่ถึงเลยว่าในชีวิตนี้จะมีความสุขที่ได้มีความสัมพันธ์ชั่วค่ำคืนกับคุณชายผู้หล่อเหลาจากตระกูลขุนนางชั้นสูงเช่นนี้…คุณชายอย่ากังวลเลย เราสองคนพี่น้องจะทำให้ท่านสบายตัวเอง…คิกๆ…”
อีกคนหนึ่งก็ร้อนใจรอไม่ไหว พุ่งเข้าไปข้างหน้า กดใบหน้ามู่หรงไท่แทะเล็มอย่างรวดเร็ว
มู่หรงไท่จะสู้เอวที่อวบอ้วนและร่างกายที่แข็งแรงของนางโลมสองคนนั้นได้อย่างไร เขาถูกกดทับจนลุกไม่ขึ้น และเกือบจะเป็นลมเพราะกลิ่นปากและกลิ่นใต้วงแขนของสองคนนั้น น้ำย่อยพุ่งออกมาที่คอ ศีรษะเอียง เกือบจะอาเจียนออกมา หลังจากเหตุการณ์นี้เกรงว่าจะต้องใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตจึงจะอาเจียนหมด มู่หรงไท่เตะเท้าไปมาอีกครั้งและส่ายศีรษะอย่างบ้าคลั่ง “ไสหัวไป! ไสหัวออกไป!”
วัวไม่ดื่มน้ำก็ไม่สามารถกดหัวบังคับได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีแน่ นางโลมทั้งสองสบตากัน คนหนึ่งยังคงกดเขาต่อไป อีกคนก็หยิบขวดน้ำเต้าขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากเทมันใส่ปากของมู่หรงไท่ จากนั้นไม่นานเขาก็หยุดนิ่งราวกับว่าหมดเรี่ยวแรงและใบหน้าของเขาก็ไร้สีแดงของเลือดฝาด…
“โอ้ ตอบสนองแล้ว!” นางโลมคนหนึ่งประหลาดใจมาก
“หึๆ จะไม่ตอบสนองได้อย่างไรล่ะ! ยาเสน่ห์นี่เป็นที่นิยมมากที่สุดในตรอกของพวกเรา” อีกคนส่งเสียงหึและพูดอย่างภูมิใจ
ทั้งสองคนมองตากัน และดวงตาเหมือนหมาป่าหิวโหยก็จ้องไปยังเหยื่อที่ไร้การต่อต้าน และถอดเสื้อผ้าของเขาออกทีละชิ้นๆ…
นอกห้อง อารักขาสองคนของจวนฉินอ๋องเหล่ตามองออกไป มองไปยังประตูที่อยู่ใกล้ๆ แม้ประตูจะปิดอยู่แต่ก็จินตนาการฉากข้างในห้องออกว่าเป็นเช่นไร พลางส่ายหัวและหัวเราะ
“นี่ ไม่รู้ว่าหากคุณชายรองมู่หรงไท่ฟื้นขึ้นมาจะเป็นเช่นไร แต่ว่านะ ข้าว่าทำไมครั้งนี้ฉินอ๋องถึงใจอ่อนลงล่ะ ครั้งก่อนอวี้เฉิงกังคนนั้นมีจุดจบที่น่าสงสารเพียงใด…” ผู้คุมขังคนหนึ่งกอดอกพร้อมกับถอนหายใจ
อารักขาอีกคนยิ้มและมองไปยังสหายอีกคน “เจ้าคิดว่าเพียงเท่านี้ก็จบแล้วรึ ฉินอ๋องเรียกนางโลมที่ทั้งแก่และขี้เหร่สองคนนี้มา เพียงเพื่อจัดการเขาด้วยวิธีการของเขาเองรึ จะบอกให้นะ คุณชายรองมู่หรงไท่และนางโลมสองคนนี้มีความสัมพันธ์ละก็ หลังจากนี้จะต้องทนทุกข์ ชีวิตนี้คงจบเห่แล้วละ หึๆ ข้าคิดว่าเช่นนี้ทรมานยิ่งกว่าอวี้เฉิงกังเสียอีก”
“เอ๋ ชีวิตก็จบเห่แล้วรึ เกิดอะไรขึ้นน่ะ” อีกฝ่ายสงสัย
อารักขาเอนตัวเข้าไปกระซิบเพื่อนอีกคน “พี่สาวสองคนนั้นที่หอฝึกนางโลมเจี้ยวฟางมีชื่อเสียงในเรื่อง ‘แพร่เชื้อ’ น่ะ รับลูกค้ามาหลายสิบปี ป่วยไปทั้งร่างกาย วันๆ ก็หลอกได้แต่ลูกค้าต่างชาติเท่านั้น ลูกค้าในเมืองหลวงนี้ใครจะกล้าแตะพวกนางเล่า”
“ป่วยรึ เจ้าบอกว่า…”
“ก็คือกามโรคที่รักษาหายไม่หายอย่างไรล่ะ” อารักขาลดเสียงลง “เจ้าจำเด็กรับใช้ที่เคยอยู่ในจวนอ๋องของเราได้หรือไม่ เขาหมกมุ่นและชอบแอบไปหอนางโลมจึงติดโรคนี้ จากนั้นมีจุดจบอย่างไร~”
ทำไมจะจำไม่ได้เล่า อารักขาอีกคนก็สันหลังเย็นวาบเล็กน้อย กามโรคเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ เกิดจากความสำส่อน ในปัจจุบันต้าเซวียนยังไม่มีการรักษา คนที่เป็นโรคนี้จะมีแผลและเป็นหนอง หากไม่ไปเกามันก็จะมีโอกาสรอดมากกว่าตาย ในบรรดาผู้ป่วย ผู้หญิงจะมีบุตรไม่ได้ไปตลอดชีวิตและผู้ชายไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อีกต่อไปเพราะความเจ็บปวด ตอนนั้นหลังจากที่เด็กรับใช้ในจวนอ๋องคนนั้นติดโรคนี้แล้ว ในเวลาไม่ถึงสิบวันก็มีอาการเจ็บและคัน ร้องครวญครางทุกวัน น้ำหนองก็ไหลจนเปื้อนกางเกงและเตียงนอนไปหมด ไม่ต้องพูดถึงการทำงาน กิจวัตรประจำวันก็ยังทำไม่ได้ สุดท้ายเขาก็ถูกองค์ชายสามพบเข้าและถูกขับไล่ออกจากจวน จุดจบของเขาน่าเศร้ามาก โรคนี้นอกจากร่างกายได้รับความทรมานแล้วยังต้องการความสนใจจากผู้คนอีกด้วย จะได้เห็นอีกครึ่งชีวิตของผู้คนเหล่านี้ได้ที่ไหนกันล่ะ
อีกฝ่ายนึกขึ้นได้ก็หายใจเข้าลึกๆ องค์ชายสามผู้นี้ วาจาอันมีน้ำหนักของเขาจะไม่ทำให้มู่หรงไท่ผู้นั้นเสียผมสักเส้นร่างกายไม่เสียสักชิ้นส่วน วิธีการนี้มันโหดร้ายกว่าการปล่อยให้เขาสูญเสียเลือดเนื้อและเส้นผม
*
ณ สวนผลซิ่ง
หลังจากอวิ๋นหว่านชิ่นฟื้นและกินยาหม้อ พักผ่อนเพียงครู่หนึ่ง ร่างกายก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว
เมื่อเห็นท้องฟ้าไม่เช้าแล้ว ซย่าโหวซื่อถิงก็ตะโกนเรียกซือเหยาอัน ให้เขาไปส่งอวิ๋นหว่านชิ่นกลับจวน
อวิ๋นหว่านชิ่นลุกขึ้นยืน เขาเหลือบมองยาที่อวี๋ซื่อปรุงให้เขายังคงอยู่บนโต๊ะไม่ขยับเขยื้อน ยาก็เย็นหมดแล้วจึงพูดว่า “ทำไมไม่ดื่มล่ะ”
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางเป็นเหมือนแม่บ้าน ดูเหมือนว่าจะต้องรอให้ตัวเองดื่มยาก่อนจึงจะออกไปได้ เขาไม่ได้รู้สึกอบอุ่นในใจมานานหลายปีแล้ว พลันยิ้มเล็กน้อยและหยิบชามกระเบื้องเคลือบจากสวนผลซิ่งขึ้นมา ส่วนผสมสีน้ำตาลข้นและขมเหมือนที่เคยดื่มในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อรสสัมผัสไหลลงคอและซึมเข้าสู่หัวใจและปอด ไม่นึกเลยว่าจะมีรสหวานเล็กน้อย ไม่เหมือนกับผลไม้หวานๆ หรือน้ำผึ้งที่มักใช้เพื่อบรรเทาความขม แต่หลังจากความหวานหมดไปความขมของยาก็ยังคงอยู่ ความหวานอ่อนๆ แต่สดชื่นมาก ความหวานก็จะติดอยู่ที่ปลายลิ้น