ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 130-1 อนุกลายเป็นนางโสเภณีประจำบ้าน คุณชายรองถูกทอดทิ้ง
แม้เหลียนเหนียงจะรู้สึกเอะใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นว่านายท่านตอบไปก่อนแล้ว จึงทำได้เพียงตอบตกลงไป “เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะรอคุณหนูใหญ่มาแจ้งเจ้าค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองนางอย่างอ่อนโยนพลางแย้มยิ้ม “ดี”
หลังจากที่กินอาหารมื้อเย็นเสร็จ อวิ๋นหว่านชิ่นรั้งรออยู่เป็นคนสุดท้าย มองส่งถงซื่อและอวิ๋นเสวียนฉั่งออกไปก่อนอย่างนอบน้อม
รอจนเมื่อทุกคนเดินออกไปจนหมดนางถึงได้เงยหน้าขึ้น สีของท้องฟ้าราวกับม่านผืนใหญ่ที่กางปกคลุมลงมา ภายในลานในยามนี้เงียบสงบเพราะบ่าวรับใช้ภายในบ้านล้วนยุ่งอยู่กับงานจิปาถะ ก่อนจะกลับเรือนข้างแยกย้ายกันไปพักผ่อน
ชูซย่าเดินรีบร้อนเข้ามาจากนอกประตูจันทราตรงข้ามชานเรือนก่อนจะเอ่ยกระซิบ “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ข้านัดหมายไว้ให้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ท่านสามารถไปได้แล้วเจ้าค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นตอบรับแล้วกลับเข้าไปในเรือนกับชูซย่า ทั้งสองคนผลัดเปลี่ยนอาภรณ์สวมเสื้อคลุมต้าช่างหมวกเหวยเม่า แล้วออกจากจวนอวิ๋นทางประตูข้าง อ้อมผ่านตรอกมืด ใช้เส้นทางเล็กๆ ของอวิ๋นหว่านเฟยออกไปสู่ภายนอก
นี่เป็นครั้งที่สองของวันที่นางมาที่นี่ แต่บ้านหลังเล็กในยามนี้กลับเงียบสงบไม่ต่างกับสุสาน
เมื่อมองจากภายในกำแพงเตี้ยดูเงียบงันไร้ผู้คน ไม่มีแม้แต่แสงไฟบนทางเดินหรือภายในเรือนแลดูน่าสยดสยองยิ่งนัก
ยามที่อวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่ด้านนอกประตูนางเกือบจะได้กลิ่นคลื่นเ**ยนนั้น สมองก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านวันนี้ ในที่สุดนางก็ขมวดคิ้วเปิดประตูรั้วก้าวเข้าไปอย่างไม่ลังเล
ชูซย่าถือโคมไฟเดินตามไป ทั้งสองคนเดินห่างกันไม่ไกล ก้าวไปตามทางเดินพร้อมแสงจากโคมไฟอันเลือนราง ส่วนอวิ๋นหว่านเฟยที่ไม่มีคนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด มือและเท้ายังคงถูกมัดไว้เช่นเดิม นั่งพิงอยู่กับประตู เลือดสีแดงสดบนใบหน้าและลำคอจับตัวกลายเป็นสะเก็ดเลือดสีแดงฉาน ดูน่ากลัวมากภายใต้แสงสว่างของโคมไฟ ผ้าอุดปากคลายหลุดออกไปเพราะความพยายามในการร้องเรียกคนอย่างหนัก
อวิ๋นหว่านเฟยหลับๆ ตื่นๆ เป็นบางช่วงเพราะความเจ็บปวดและรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า
เมื่อเห็นคนเป็นพี่สาวปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ทั่วทั้งกายก็ตื่นตัวขึ้นเหมือนเก่าราวกับไม่เคยบาดเจ็บมาก่อน ทันใดนั้นนางก็ตระหนักขึ้นได้ว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร ใช่ ความจริงต่างๆ เริ่มเผยออกมา ปี้อิ๋งที่ถูกโยนทิ้งไว้ที่หอนางโลม พี่ไท่ก็ไม่รู้ว่าถูกจับไปไว้ที่ใด ฉับพลันนางก็สั่นเทาไปทั้งกายทั้งยังร้องไห้ละล่ำละลักออกมาว่า “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”
ไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้นหรือ เพื่อเอาใจชายอันเป็นที่รัก คนที่ล่อลวงนางมา เปลื้องผ้านาง มอบให้สามีตัวเองคือใครกัน
อวิ๋นหว่านชิ่นเขยิบเข้ามานั่งยองๆ โน้มตัวไปที่ข้างหูของน้องสาวคนรองแล้วถอนหายใจเบาๆ ออกมา “ดูเหมือนว่ามู่หรงไท่ไม่อาจรับเจ้าได้อีกต่อไป เจ้าเป็นเช่นนี้คงไม่อาจหาที่พึ่งพิงใหม่ได้ ใบหน้าเช่นนี้เพียงวิ่งออกไปก็เกรงว่าจะทำให้ผู้คนพรั่นพรึงเอาได้ น่าสงสารนัก แม้แต่สาวใช้ข้างกายสักคนก็ไม่มี”
อวิ๋นหว่านเฟยโถมกายใส่ตะแกรงลืมสิ้นซึ่งความเจ็บปวด รอคอยฟังประโยคถัดไปของพี่ใหญ่ราวกับชีวิตถูกวางไว้บนคันชั่ง
“แต่ เจ้าวางใจเถอะ อย่างไรก็เป็นพี่น้องกัน ข้าจะให้คนมาดูแลชีวิตของเจ้า…” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ลมหายใจของอวิ๋นหว่านเฟยชะงักกึก ผ่อนคลายลงในชั่วพริบตาความยินดีโฉบผ่านมาวูบหนึ่ง
“…อย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องถึงมือข้า” คำพูดอีกครึ่งยังไม่ทันออกจากปากของอวิ๋นหว่านชิ่น
อวิ๋นหว่านเฟยก็ตะลึง
ในยามนี้มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากหน้าประตู
สตรีผู้หนึ่งที่สวมเสื้อคลุมลายดอกไม้เหมือนสาวใช้เดินถือตะเกียงก้าวเข้ามา
สตรีนางนั้นเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่แปลกใจ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองนัดหมายกันไว้ก่อนแล้ว นางก้าวเข้ามาโน้มกายทำความเคารพ “คุณหนูใหญ่ข้ามาแล้ว”
เสียงที่คุ้นเคย ภายใต้แสงของโคมไฟทั้งสองดวง อวิ๋นหว่านเฟยเบิกตากว้างเมื่อเห็นฮว่าซั่นมายืนอยู่ตรงหน้าเต็มตาก่อนจะหันมามองใบหน้าดั่งหยกขาวของพี่ใหญ่อีกครั้ง “น้องรอง หลังจากนี้ก็ให้สาวใช้จวนโหวมาคอยปรนนิบัติเจ้าเถอะ ใช่สิ พวกเจ้ารู้จักกันอยู่แล้วนี่ ข้าคงไม่จำเป็นต้องแนะนำอะไรแล้ว”
ฮว่าซั่นไม่มองอวิ๋นหว่านเฟย เพียงพูดเบาๆ ว่า “ขอบคุณคุณหนูใหญ่”
“ไม่…ไม่…” อวิ๋นหว่านเฟยรู้ดี หากนำตัวเองส่งให้กับฮว่าซั่น จะมีทางรอดได้ไหม ไม่รู้ว่าฮว่าซั่นอิจฉาและแค้นใจตนเองมากขนาดไหน ตอนที่ตัวเองสานสัมพันธ์กับพี่ไท่ ก็ไม่รู้ว่าสาวใช้ผู้นี้โกรธแค้นแค่ไหน นางส่งเสียงกรีดร้องเสียงดัง แต่เพราะมือและเท้าของเขาถูกมัด จึงไม่สามารถลุกขึ้นได้ “พี่ใหญ่…ท่านแค่ปลดเชือกที่มัดมือและเท้าของข้าออก ข้าไม่ต้องการสาวใช้ ข้าอยู่ด้วยตัวข้าเองได้”
“เจ้าคนเดียวหรือ หึๆ บ่าของน้องรองแบกก็ไม่ไหว มือก็ไม่สามารถแบกหาบได้ ความสามารถก็ไม่พอใช้ชีวิตได้ ตอนแต่งงานกับมู่หรงไท่ในฐานะอนุ ไม่มีเงินค่าสินสอดด้วยซ้ำ จะใช้ชีวิตอย่างไร หากไม่มีคนรับใช้น้องรองไม่สามารถทำอาหารบนเตาได้ใช่ไหม” อวิ๋นหว่านชิ่นมองนางอย่างเห็นอกเห็นใจ
อวิ๋นหว่านเฟยตกใจส่ายหน้าไปมา “ข้าไม่สนใจ ข้าไม่ต้องการสาวใช้ ท่านเรียกนางไป บอกให้นางไป พี่ใหญ่ข้าไม่กล้าอีกแล้ว ไม่กล้าอีกต่อไปแล้ว”
“เช่นนั้นจะได้อย่างไร เจ้าเป็นอนุของจวนโหว เจ้าบาดเจ็บเช่นนี้ ในฐานะครอบครัวของสามี จวนโหวจะไม่ส่งคนมาดูแลเจ้าได้อย่างไร” สายตาของอวิ๋นหว่านชิ่นนุ่มนวล หันหน้าไปทางฮว่าซั่นอีกครั้ง “วันนี้มาเยี่ยมในฐานะครอบครัวของตระกูลอวิ๋น ให้ความเมตตาและรักษาสัจจะจนถึงที่สุดแล้ว หลังจากนี้ข้าจะไม่มีเวลามาอีกต่อไปแล้ว มีเพียงฮว่าซั่นดูแลเท่านั้น”
ในดวงตาของฮว่าซั่นเย็นชา โดยนัยนี้ยังไม่เพียงพอหรือ ตั้งแต่นี้ จะไม่มีใครถามหาอวิ๋นหว่านเฟย และนางยังเป็นเพียงมดในฝ่ามือของตัวเองอีกไม่ใช่หรือ
นางเอนตัวเข้ามาและ รับผิดชอบอย่างภาคภูมิใจ “เจ้าค่ะ คุณหนูอวิ๋น”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยจบก็จากไปโดยมีชูซย่าถือตะเกียงนำทาง
อวิ๋นหว่านเฟยทรุดตัวลง จะตะโกนเรียกเสียงดังให้ใครฟัง ไม่มีใครดูแลนางได้ในจวนโหว ทั้งยังถูกครอบครัวบิดาทอดทิ้งอีกครั้ง!
ในบ้านหลังนี้มีเพียงสาวใช้แพศยาที่เกลียดตัวเองอยู่คนเดียวเท่านั้น!
เมื่อคุณหนูใหญ่ของตระกูลอวิ๋นจากไป ฮว่าซั่นไหนเลยจะอดทนได้อีก เมื่อเห็นอวิ๋นหว่านเฟยตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ก็หยิบผ้าขี้ริ้วขึ้นมาแล้วยัดเข้าไปในปากพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า มองดูอวิ๋นหว่านเฟยที่กำลังหวาดกลัวหวาดกลัว
ฮว่าซั่นขึ้นเสียง “อาเป้า ต้าจู้ !เข้ามาสิ!”
ชายหน้าตาอัปลักษณ์สองคนพลันโผล่พรวดหัวออกมาจากรั้ว เดินเข้ามาอย่างช้าๆ เป็นคนรับใช้ขั้นต่ำด้านนอกจวนโหว
อวิ๋นหว่านเฟยตกใจกลัวและร้องคร่ำครวญ “เจ้าต้องการอะไร เจ้าต้องการอะไร…”
ฮว่าซั่นพูดอย่างเย็นชากับคนรับใช้ทั้งสอง “แม้ใบหน้าจะมีรอยแผล แต่ผิวกายยังอ่อนโยนและเรียบเนียน! สะดวกต่อพวกเจ้าแล้ว!”
อวิ๋นหว่านเฟยถูกเตะอย่างโหดเ**่ยม หัวใจในอกกำลังเต้นออกมา ไหนเลยจะคาดคิดว่านางจะได้รับการตอบแทนแบบเดียวกันกับมู่หรงไท่ในวันเดียวกัน
เมื่อเห็นดวงตาที่ขุ่นมัวและน่ากลัวเหมือนสุนัขล่าเนื้อของชายสองคน หนังศีรษะของอวิ๋นหว่านเฟยเริ่มชา คล้ายกับว่าสามารถลิ้มรสความรู้สึกของพี่ใหญ่ที่ถูกขังอยู่ในบ้านวันนี้ได้ ไม่ คงจะน่าหวาดหวั่นมากกว่าพี่ใหญ่แน่ เพราะชายสองคนนี้อัปลักษณ์!