ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 134-1 แต่งองค์ทรงเครื่องให้แก่ไทเฮา กับ คำสั่งของฮ่องเต้
ชายคนนี้พูดด้วยเสียงสูงแหลม ยากที่จะแยกความแตกต่างระหว่างเพศชายกับเพศหญิงได้ บนศีรษะสวมหมวกผ้าแพรบางปลายแหลมสีทอง สวมเสื้อคอกลมชุดยาวปักดอกทานตะวันไว้กลางอก เอวคาดเข็มขัดสีดำและสวมรองเท้าบู๊ทสีแดง ซึ่งเป็นการแต่งกายของข้าหลวงระดับสูงแห่งวังหลวง
คือจูซุ่นขันทีคนสนิทของเจี่ยไทเฮานั่นเอง
แม้ว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่นางก็หันข้างโดยให้มือทั้งสองข้างประชิดกันและวางไว้ระดับเอวแล้วโค้งคำนับในระยะไกล “ขอคาระวะใต้เท้าจู มิทราบว่าออกจากวังมาด้วยตัวเอง ไม่ทราบว่ามีการใดให้ข้ารับใช้หรือ”
แม้ว่าจูซุ่นจะเคยพบเจอนางเพียงครั้งเดียว แต่หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าดุจดอกโบตั๋นที่อ่อนเยาว์ ซึ่งไม่สามารถเก็บซ่อนความงามไว้ได้ เพียงครั้งเดียวก็ประทับใจมากแล้ว
วันนี้ที่ได้พบเจอ นางสวมใส่เพียงชุดลำลองที่อยู่เฉาะในจวนเท่านั้น โดยใส่เสื้อสาบตรงสีอบเชยตัวเล็กปักลายกระรอกและกระโปรงผ้าไหมสีฟ้าปักลายดอกไม้ จากบนลงล่าง สะอาดสะอ้านและเรียบง่ายนัก ทว่า สีจะเรียบสักเพียงใด ก็ซ่อนความงดงามของหญิงสาวนี้ไม่ได้ และยิ่งงดงามกว่าครั้งก่อนที่ได้พบเจอมาก ใบหน้าที่เรียวบางดุจหยก แต่งหน้าบางเบา ดวงตาทั้งสองใสแป๋ว คิ้วดกดำ ขนตายาวดุจพัดและริมฝีปากมีสีแดงเชอร์รี่ เมื่อยิ่งพูดถึงคุณสมบัติและท่าทางแล้ว บุตรีของขุนนางทั้งหลายก็สู้นางไม่ได้ จูซุ่นจ้องมองจนสติหลุดไปชั่วครู่
เขาถูกตัดอัณฑะมานานหลายสิบปี มิได้มีปฏิกิริยาต่อหญิงงามในวังหลวงเลย ทว่า บัดนี้ เมื่อเขาได้พบเจอหญิงสาวผู้งดงามที่ฉายความงามออกมาให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขากลับร้อนรุ่ม ฉินอ๋องช่างโชคดีนัก ไม่น่าแปลกใจเลยที่ได้ยินมาว่าแม้กระทั่งฮ่องเต้ก็มีความสนใจในตัวนางขณะที่ล่าสัตว์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเช่นกัน…
เพียงชั่วครู่ ความทะนงตนของจูซุ่นขณะเผชิญหน้ากับอวิ๋นเสวียนฉั่งได้หายไปจนหมดแล้วและเริ่มก้าวไปข้างหน้าเพื่อต้อนรับแล้วยิ้มว่า “คนกำลังมีงานมงคลก็จะมีพลังที่แจ่มใสเช่นนี้เอง ผิวพรรณและรูปร่างหน้าตาของแม่นางอวิ๋นเปร่งประกายงามงดกว่าครั้งที่แล้วมาก มีอะไรให้รับใช้ คำพูดนี้มิใช่จะเอาชีวิตของบ่าวหรือ หลังจากนี้ไม่กี่วันท่านก็จะมีรายนามอยู่ในปูมประวัติราชตระกูลของสำนักพระราชวังในฐานะเป็นพระชายาของพระโอรสแล้ว บ่าวมิบังอาจให้ท่านรับใช้หรอก เพียงแต่ช่วงนี้ไทเฮามีเรื่องให้กังวลใจอยู่บ้างเล็กน้อยและเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแม่นางอวิ๋นด้วย บ่าวจึงลองมาเชิญแม่นางเข้าวัง”
“ไทเฮามีเรื่องอะไรหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นและจูซุ่น นั่งเผชิญหน้ากัน เมื่อเรียกตนเข้าวังเช่นนี้ ช่างพอเหมาะอะไรเช่นนี้ คิดอยู่ว่าจะเข้าคุกหลวงเพื่อพบกับมู่หรงไท่ด้วยวิธีใดดี คุกหลวงอยู่ข้างนอกกำแพงพระราชวัง ครานี้คงสะดวกเป็นแน่แท้
เมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งสองมีเรื่องสำคัญต้องพูดคุยกัน และทำเหมือนว่าตนเป็นอากาศ เขาที่อยู่ข้างๆ จึงไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะแทรกพูด เหมือนเขาเป็นคนนอกและรู้สึกเก้งๆ กังๆ เล็กน้อย ทว่า ในฐานะเป็นเจ้าบ้านก็มิอาจเดินออกไปได้ จึงได้แต่นั่งกอดอกอยู่ข้างๆ อย่างเขินอาย
จูซุ่นนั่งลงแล้วกล่าว “ครั้งล่าสุดที่แม่นางเข้าวัง ไทเฮาได้นำใบสั่งยาสำหรับบำรุงผิวหน้าสองใบที่ท่านมอบไว้ให้สั่งให้คนไปทำตาม เมื่อทาลงใบหน้าระยะหนึ่งแล้ว ริ้วรอยบนใบหน้าก็ตื้นลงไปมาก บอกว่าใบหน้าดูอิ่มน้ำและดูเยาว์ลงไปหลายปี ทรงเป็นปลื้มนักและมักจะพูดถึงอยู่บ่อยๆ อยากลองวิธีอื่นๆ ดูบ้าง บังเอิญที่บ่ายวันนี้ไทเฮาจะต้องต้อนรับฮูหยินของนักการทูตจากต่างประเทศ ให้ข้าหลวงในวังแต่งหน้าเท่าไหร่ก็ไม่พอใจและโมโหฉุนเฉียวอีกด้วย เมื่อพลันนึกถึงแม่นางอวิ๋น จึงรีบมาเชิญท่านเข้าวัง”
อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่พูดคุยกับเจี่ยไทเฮาจนเกือบทั้งคืน ก่อนนอนบอกว่ามีสูตรดูแลผิวพรรณที่ทำจากสมุนไพรธรรมชาติอยู่สองอย่าง โดยไทเฮามีอาการแพ้มาก่อนและไม่สามารถใช้เกสรจากดอกไม้ทั่วไปได้ ในเวลานั้นจึงเรียกว่าผู้อาวุโสหม่าจดไว้ โดยไม่ได้คาดคิดว่าไทเฮาจะให้หมอหลวงตรวจสอบและไม่มีปัญหาใดๆ จึงสั่งให้คนทำขึ้นและได้ผลดีเช่นนี้ บัดนี้ เมื่อมีคำสั่งลงมา จึงตอบรับคำเชิญ
หลังจากกลับไปที่ลานกว้างเพื่อเปลี่ยนชุดสำหรับเข้าวังแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นหยิบเครื่องใช้บางอย่างติดตัวไปด้วย และครุ่นคิดผ่านสมองอยู่ชั่วครู่ จึงหยิบป้ายหยกรูปปี้อ้านที่เจี่ยงยิ่นให้ไว้ออกมาด้วยเช่นกัน จากนั้นก็ออกจากเรือนแล้วเดินตามจูซุ่นขึ้นเกี้ยวขุนนางไป
หลังจากนั้นไม่นาน เกี้ยวขุนนางสีเขียวก็ผ่านถนนเสด็จพระราชดำเนินเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นในและมุ่งตรงไปที่ตำหนักฉือหนิง
ณ ตำหนักฉือหนิง เจี่ยไทเฮานั่งอยู่ตรงหน้ากระจกหยกเลี่ยมทอง เครื่องแต่งกายสำหรับงานเลี้ยงอาหารค่ำสวมใส่เกือบจะครบแล้ว ปิ่นพวงรูปหงษ์กางปีกสีทองหกด้านฝังหยกพร้อมกับต่างหูพลอยรูปแปะก๊วย นิ้วมือเรียวยาวสวมที่คลอบนิ้วไหมทองเคลือบสีหลิวหลีไตรรงค์สามสี แต่งกายด้วยชุดฝ่ายในสาบเสื้อข้างด้านนอกสวมเสื้อกั๊กสีพลอยเขียวปักด้วยด้ายทองรูปดอกบัวหกกลุ่ม ซึ่งไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความสง่างามของสตรีผู้มีสถานะสูงสุดเท่านั้นและยังบ่งบอกถึงความไม่เป็นทางการมากนัก โดยเผยให้เห็นถึงความเป็นกันเองในการต้อนรับของเจ้าภาพ
ไทเฮาจ้องมองใบหน้าที่ทรงแต่งเสร็จแล้วในกระจกและแสดงอาการไม่พอใจอย่างมาก
หม่ามอมอนำทางอวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปแล้วโค้งตัวลงคำนับ “ข้าน้อยขอคารวะไทเฮาเพคะ”
เมื่อไทเฮามองเห็นหญิงสาวผ่านกระจกหยก จึงรีบหันหน้าไปอย่างมีความสุข “แม่นางอวิ๋นมาแล้วหรือ เข้ามาใกล้ๆ เร็ว” แล้วสั่งให้คนเอาเก้าอี้ผ้าทอมาไว้ข้างโต๊ะกระจก โดยให้นั่งลงข้างๆ ตน
อวิ๋นหว่านชิ่นมีความสุขเมื่อเห็นว่าไทเฮาเห็นตนแล้วอารมณ์ดีขึ้น จึงนั่งลงเหมือนครั้งล่าสุดที่ตนมาค้างคืนที่ตำหนักฉือหนิงและตอบคำถามอย่างจริงใจ
เมื่อเจี่ยไทเฮามองเห็นหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า อารมณ์ค่อนข้างสับสนเล็กน้อย ครั้งสุดท้ายที่พบกันนั้น ตนนึกว่านางจะมีโอกาสเข้าวังปรนนิบัติโดยรอร่วมบรรทมกับฮ่องเต้เสียอีก หากเป็นเช่นนั้นจริง จะได้มีคนที่ไว้ใจอยู่ใกล้ชิดในวังหลวงเพิ่มขึ้นอีกคนและอยู่ด้วยกันได้ตลอดเวลา ดังนั้น ก่อนเทศกาลล่าสัตว์ของช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะมาถึง จึงได้บอกเป็นนัยให้แก่ฮ่องเต้นำชื่อของเด็กสาวผู้นี้ใส่ลงรายชื่อผู้ติดตามไปด้วย แน่นอนว่าฮ่องเต้ก็สนใจเช่นกัน ฟังจบก็ตอบรับทันที
เดิมทีคิดว่านางคงเหมือนกับสกุลจางคนก่อน ในระหว่างฤดูล่าสัตว์ของช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็ถูกตาต้องใจฮ่องเต้จนได้รับพระราชทานตำแหน่ง ไม่ได้คาดคิดว่าการจับคู่ครั้งนี้จะยุ่งเหยิงเช่นนี้ ได้ยินมาว่าฮ่องเต้แอบเรียกเข้าพบ แต่ก็ถูกเด็กสาวคนนี้ขัดขวางไว้ สุดท้ายไม่ได้เข้าวัง แต่กลับพระราชทานให้แก่ฉินอ๋องแทน
ยิ่งไม่คาดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้เป็นบุตรีของหญิงที่ฮ่องเต้โปรดปรานมากในขณะนั้น
เจี่ยไทเฮาสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วกล่าวว่า “ดูท่าแล้ว ชายสามโชคดีกว่าท่านพ่อของตนมาก ช่างเถิด ช่างเถิด คนรุ่นก่อนแต่งงานไม่สำเร็จ คนรุ่นนี้ดำเนินการต่อ สมควรแก่เวลาแล้วที่พวกเจ้าแม่ลูกกับราชวงศ์ซย่าโหวจะมีวาสนาอันดีต่อกัน เพียงแต่แม่ของเจ้าไม่ได้โชคดีและมีโชคชะตาเหมือนกับเจ้าเท่านั้นเอง”
คิ้วของอวิ๋นหว่านชิ่นกระตุก “ไทเฮาก็ทรงรู้จักและทรงเคยพบเห็นมารดาของหม่อมฉันหรือเพคะ”
เจี่ยไทเฮาไม่ได้มีทีท่าจะปิดบัง มีแสงของเรื่องราวในอดีตมากระทบเพิ่มบนใบหน้าอีกชั้นหนึ่งและริมฝีปากก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มจางๆ “ข้ารู้มาว่าฮ่องเต้ชอบแม่นางสวี่มาก และเคยพบเจอนางตอนไปไหว้พระที่วัดเซียงกั๋วอยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งรูปร่างหน้าตาคล้ายกับเจ้ามาก”
“ไทเฮาเพคะ” ดวงตาของอวิ๋นหว่านชิ่นเป็นประกายแวววาวราวกับหลานสาวอยู่ตรงหน้าท่านพ่อและท่านแม่ ใบหน้าช่างน่ารักและน่าเอ็นดูนัก “แล้วเหตุใดท่านแม่ถึงแยกทางกับฮ่องเต้ ไม่เข้าวังหรือเพคะ” คำถามนี้นางเคยถามเจี่ยงยิ่นในคืนวันนั้นก่อนแล้ว แต่เจี่ยงยิ่นเลี่ยงไม่ตอบนาง ทว่า นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นางก็เริ่มสงสัยแล้ว
ไทเฮารู้สึกสงสารแม่นางสวี่ในตอนนั้นนัก และนางไม่อยากเห็นสาวน้อยอวิ๋นอันเป็นที่รักไม่ได้คำตอบที่นางพอใจกลับไปแล้วว่า “สาวน้อย การที่ไม่ได้เข้าวังก็อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าวอะไร ตามที่แม่ของเจ้าได้รับความรัก ความเมตตาจากฮ่องเต้และมีพื้นเพมากจากครอบครัวพ่อค้าแล้ว หากเข้าวังได้รับความโปรดปราน สุดท้ายคงตายก่อนวัยอันควร หรือไม่ก็ให้กำเนิดบุตรคงยากนัก แม่ของเจ้าไม่เข้าวัง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยก็ไม่ต้องตายอย่างทนทุกข์ทรมาน ลูกหลานก็จะไม่ถูกทำร้ายโดยผู้ไม่หวังดีอย่างลับๆ และสามารถเติบโตได้อย่างราบรื่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนในวังหลวงแห่งนี้ หากคิดที่จะทำร้ายคนแล้วนั้นเ**้ยมโหดเพียงใด เมื่อเทียบกับหลังบ้านของสามัญชนทั่วไปแล้ว โหดร้ายทารุณกว่าร้อยเท่า พูดตามความจริง แม้ว่าข้าจะคาดหวังให้เจ้าเข้าวัง แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าไม่ได้เข้าวัง กลับถอนหายใจอย่างโล่งอก”
อวิ๋นหว่านชิ่น กลั้นหายใจไม่พูดและครุ่นคิดความหมายของเจี่ยไทเฮา คือมีใครควบคุมและกุมความเป็นความตายของคนไว้ นางสนมทั่วไปคงเอาชนะคนนั้นไม่ไหวแน่ หากเป็นเช่นนั้น จะเป็นใครไปได้ นอกเสียจากคนนั้น ตอนนั้นคงใช้วิธีบางอย่างให้ท่านแม่กับหนิงซีฮ่องเต้ต้องแยกจากกันและแต่งงานกับท่านพออย่างเร่งรีบ ใช้ชีวิตเช่นนี้ไปชั่วชีวิต
อธิบายได้แล้วว่าเหตุใดเจี่ยงยิ่นถึงไม่ยอมเล่าสาเหตุที่ท่านแม่ของนางไม่สามารถเข้าวัง แต่กลับมาช่วยเหลือตนแทน
บุคคลคนนั้น มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเจี่ยงยิ่น เจี่ยงยิ่นไม่อยากทำให้นางต้องเสื่อมเสีย และอยากชดใช้แทนบุคคลนั้น นี่คือเหตุผลที่ช่วยเหลือนางทุกครั้งไป