ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 140-2 ผู้สอดส่องในตงกง แสดงอำนาจข่ม
เขาเป็นเพียงหินก้อนหนึ่งที่รองขาบัลลังก์ของนางให้มั่นคงเท่านั้น หากไม่มีเขา ยังมีคนอื่นอีกมาก ลูกชายหลานชายของฮ่องเต้ มีอีกตั้งเท่าไร
นางวางแผนไว้ตั้งนานแล้ว สนมหลานจาวซวิ่นแห่งตงกง ได้คลอดบุตรชายคนหนึ่งให้ไท่จื่อแล้ว หากวันใดเกิด ‘อุบัติเหตุ’ ขึ้นกับไท่จื่อ นางก็จะเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ให้พระราชทานตำแหน่งหวงไท่ซุน[1]แก่ลูกชายของหลานจาวซวิ่น ตำแหน่งของนางก็จะไม่ได้รับผลกระทบใด และยังสามารถกำจัดเสี้ยนหนามในอกของนางได้ตลอดเวลา
ในครานั้นที่พลาดพลั้งที่หอละครว่านฉ่าย และปล่อยให้ไท่จื่อนั่นหนีไปได้ ก็ทำให้ฮองเฮาเจี่ยงรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง ทว่า เพราะสถานการณ์คับขัน จึงทำได้เพียงแค่หยุดพักเอาไว้ชั่วคราวก่อน แล้วค่อยว่ากันทีหลัง
ในเวลานี้ พอได้ยินว่าช่วงนี้ไท่จื่อนั่นนับว่าสงบเสงี่ยมทีเดียว สีหน้าของฮองเฮาเจี่ยงก็ผ่อนคลายลง ครั้นเห็นสีหน้าของหลานสาวดูกลัดกลุ้ม อย่างไรนางก็เป็นคนช่วยสอดส่องอยู่ในตงกง จึงต้องเอาอกเอาใจเสียหน่อย ดังนั้นจึงทำเป็นปลอบใจแบบขอไปที “ข้าให้เจ้าจับตาดูไท่จื่อเอาไว้ ก็เพื่อจะได้ดูเขาไว้ไม่ให้พลาดสักหน่อย ถ้ากูกูจับเขาไว้อยู่หมัด ก็ไม่ใช่ว่าเจ้าก็จับอยู่หมัดด้วยเหมือนกันหรือ แล้วเจ้าจะได้ไม่ต้องผิดหวัง วันใดที่มีกูกูอยู่ จะต้องคิดหาวิธียกตำแหน่งเจ้าขึ้นเป็นแน่ โอกาสครานี้ยังไม่พร้อมดี เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนไป”
ไหนเลยที่เจี่ยงอวี๋จะไม่รู้ว่าฮองเฮาเจี่ยงเป็นผู้หนุนหลังของตนเอง และฮองเฮาเจี่ยงก็เป็นแรงผลักดันให้ตัวเองได้เลื่อนตำแหน่งที่สำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จึงมีใบหน้าพริ้มพรายเบิกบาน รีบโค้งตัวลง “อวี๋เอ๋อร์จะจำคำที่กูกูกำชับเอาไว้เป็นอย่างดีเพคะ”
——
นอกวังหลวง
เกี้ยวเคลื่อนที่นิ่งอย่างสม่ำเสมอแล้ว เสียงที่คึกคักบนถนนดังเข้ามา อากาศภายในห้องรถม้าที่ออกจะร้อนระอุได้เย็นสบายลงบ้างแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นหันศีรษะกลับไปมองเค้าโครงของวังหลวงที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไปผ่านหน้าต่างเกี้ยว แล้วพูดว่า “องค์ชายสามวางใจเถิดเพคะ เพิ่งจะเป็นวันแรกที่ไปตำหนักเฟิงจ๋า จากด้านบนมองลงมาด้านล่างนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน สมองนางก็ไม่ใช่ว่าผิดปกติอะไร ใยจะบังอาจกล้าทำอะไรข้าอย่างโจ่งแจ้งได้” หยุดไปครู่หนึ่ง “หากอยากจะทำ เกรงว่าก็ต้องทำแบบลับๆ ล่อๆ ”
ตอนที่นางเพิ่งจะออกมาคล้ายกับว่าจะพูดอะไร แววตาซย่าโหวซื่อถิงจับจ้องไว้ที่เดียว “มีเรื่องอะไรที่ตำหนักเฟิงจ๋าใช่หรือไม่”
“พอดีว่าพบเจี่ยงเหลียงตี้แห่งตงกงเพคะ จึงเข้าไปทำความเคารพ” น้ำเสียงของอวิ๋นหว่านชิ่นผ่อนลง “เจี่ยงเหลียงตี้คงจะไปมาหาสู่กับกูกูผู้เป็นฮองเฮาองค์นี้บ่อยๆ ทุกคราที่ไปหาแล้ว ฮองเฮาก็จะใช้อัลมอนด์ที่มีชื่อเสียงของตำหนักเฟิงจ๋าผสมคู่กับชานมที่ปรุงให้หลานสาวคนนี้โดยเฉพาะมาต้อนรับนาง”
ระหว่างที่รถเกี้ยวโคลงเคลง ก็ได้เคลื่อนออกจากถนนอวี้ เข้าสู่ถนนสายเล็กซึ่งมุ่งไปยังเป่ยเฉิง ถนนสายหลักทั้งสองฝั่งเงียบลงมากในทันใด
มือของซย่าโหวซื่อถิงยื่นออก โอบเอวบางที่อยู่ข้างกายเอาไว้ แล้วดึงเข้ามาในอ้อมอกของตัวเอง เขาก้มศีรษะลง ขากรรไกรล่างก็กดเข้าที่กระหม่อมผมที่หอมและอบอุ่นของหญิงสาวไว้ “อัลมอนด์กับชานม มีปัญหาอะไรหรือ”
ร่างกายของอวิ๋นหว่านชิ่นลอยขึ้นเล็กน้อย แล้วก็ถูกคว้าเข้ามาในอ้อมอกของเขา ทันทีที่กำลังประหลาดใจ กลับเห็นเขาหรี่ตามองที่ประตูเกี้ยวแวบหนึ่ง ม่านของเกี้ยวสะบัดไสวเล็กน้อยระหว่างที่เคลื่อนรถ เผยให้เห็นเงาของแผ่นหลังของคนรถด้านซ้ายและด้านขวาลางๆ แล้วส่งเสียงพูดเบาๆ “เข้ามาพูดใกล้ๆ หน่อย ประเดี๋ยวคนข้างนอกจะได้ยินเอา”
เหตุผลนี้ช่างตรงไปตรงมาเสียจริงนะ อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าผาก มองขวางเขา แต่ก็ทำได้เพียงไม่ขยับเคลื่อนไหว แล้วพูด “…อัลมอนด์ไม่มีปัญหา ชานมก็ไม่มีปัญหาเพคะ แต่ทั้งสองอย่างนี้ ถ้าหากรับประทานด้วยกันเป็นเวลานาน ก็จะมีปัญหาแล้วล่ะเพคะ”
ชายหนุ่มจับผมสลวยของนาง แล้วหมุนเป็นเกลียวเล่นระหว่างนิ้วมือที่เรียวงาม “ไม่ใช่ว่าในอาหารนั่นมีพิษอะไรหรอกนะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นพูด “สิ่งมีพิษที่ซ่อนไว้ในวังหลวง หากพบเข้าจะต้องโดนโทษสถานหนัก ฮองเฮาจะหาเรื่องใส่ตัวอย่างนั้นเชียวหรือเพคะ มีหมอหลวงกับองครักษ์ตั้งมากมาย ผู้คนอีกเยอะแยะเช่นนั้น กลัวว่าจะตรวจสอบไม่พบที่สิ่งมีพิษกับที่มาหรือเจ้าคะ หากเลือกใช้วิธีการวางยาพิษโดยตรงเลยในวังหลวง นั่นก็ช่างโง่เขลาที่สุดแล้ว ฮองเฮาองค์นี้ของพวกเรา ฉลาดกว่านั้นเชียวล่ะเพคะ” เว้นไปชั่วขณะหนึ่ง ถึงพูดต่อว่า “อัลมอนด์เป็นสิ่งที่มีพิษอ่อนๆ เมื่อกินเข้าไปมากๆ จะทำให้สารพิษสะสมในร่างกาย ถ้าประจบกับสิ่งที่มาข่มกัน ก็จะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของคนได้ นอกจากนี้ในชานมนั่นยังมีรากคุดสุที่ช่วยในการบำรุงร่างกายให้อบอุ่น เมื่อมาเจอกับอัลมอนด์ ก็จะหักล้างกันอย่างใหญ่หลวง รากคุดสุจะกระตุ้นคุณสมบัติที่เป็นพิษในอัลมอนด์ เมื่อทั้งสองผสมปนกันจะทำให้ระดูของหญิงสาวมาอย่างไม่สม่ำเสมอ ก็เช่นเดียวกับที่คนตะวันตกพูดว่าระบบต่อมไร้ท่อไม่สมดุล หากเป็นเช่นนี้ นานวันเข้าจะทำให้มีบุตรยากเพคะ”
จะว่าไปแล้ว เจี่ยงอวี๋คนนั้นเข้าไปในตงกงได้สามปีแล้ว ระยะเวลาที่ได้อยู่เคียงข้างไท่จื่อนานกว่าชายารองอีกทั้งสองคน ทว่าไม่เคยท้องเลย และสวีเหลียงหยวนก็ได้คลอดพระธิดาองค์หนึ่งให้แก่ไท่จื่อซื่อจุน จนปีนี้ก็อายุสี่ขวบแล้ว และพระชายาน้อยแซ่หลานอีกคนก็เพิ่งจะคลอดพระโอรสคนหนึ่งให้แก่ไท่จื่อ เหล่านี้ล้วนพิสูจน์ให้เห็นชัดว่าไท่จื่อสามารถมีลูกได้ ถ้าหากบอกว่า เจี่ยงอวี๋นั่นกินอาหารที่มีผลทำให้ต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติภายในร่างกายเป็นเวลานาน จนเป็นเหตุให้ไม่ท้อง กลับดูน่าจะมีความเป็นไปได้
ซย่าโหวซื่อถิงกะพริบตาครั้งหนึ่ง เจี่ยงอวี๋เป็นหลานสาวแท้ๆ ของเจี่ยงฮองเฮา ฮองเฮาไม่ให้หลานสาวของตัวเองมีบุตรได้ และกลับไม่ได้ขัดขวางไท่จื่อให้มีลูกกับผู้หญิงคนอื่น เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าเขากับตัวเองนึกถึงสิ่งเดียวกัน จึงพูดเบาๆ “ถ้าไม่ได้คาดเดาผิดพลาด ที่ฮองเฮาเรียกเจี่ยงอวี๋เข้าตงกงไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิดกันว่า อยากจะยืมหลานสาวคนนี้คู่กับไท่จื่อเพื่อกระชับความสัมพันธ์แม่ลูกให้ดียิ่งขึ้น แต่เพราะให้หลานสาวคนนี้สอดส่องไท่จื่อ แล้วรายงานการเคลื่อนไหวของไท่จื่อตลอดเวลา ลองคิดดูว่าเรื่องที่ไท่จื่อตั้งเสื้อผ้าและหมวกแก่พระชายาหยวน และมักจะไปเยี่ยม ก็น่าจะสืบได้ความจากปากของเจี่ยงอวี๋เช่นกันเพคะ องค์ชายสามคิดว่า ถ้าเจี่ยงอวี๋มีโอรสกับไท่จื่อ และเป็นพระชายาของไท่จื่อต่อไป แล้วนางยังจะยอมเป็นหูเป็นตาให้เขาควบคุมอยู่อีกหรือเจ้าคะ ก็ต้องหันเข้าหาฝั่งไท่จื่อทางนั้นอยู่แล้ว ไม่ยอมจัดการกับไท่จื่อเพื่อฮองเฮาหรอกเพคะ ฮองเฮาเจี่ยงเองก็ย่อมตระหนักถึงข้อนี้ดี จึงถอนความปรารถนาที่อาจจะเกิดขึ้นของหลานสาวคนนี้เสียเลย ไม่ยอมให้นางได้มีลูก กีดกันความเป็นไปได้ที่นางจะได้เป็นพระชายาของไท่จื่อ หลานสาวคนนี้ก็ได้เป็นแต่เพียงหมากให้กับตัวเองได้อย่างมุ่งมั่นตั้งใจเท่านั้นเอง”
ซย่าโหวซื่อถิงลูบคลำแหวนหยก รอยยิ้มบนริมฝีปากแย้มขึ้น ไม่แคลงใจแต่เพียงน้อยว่านางเจี่ยงซื่อจะเห็นแก่ตัวได้ถึงเพียงนี้ รอยยิ้มนั้นราวกับพระอาทิตย์ในฤดูเหมันต์ที่อบอุ่นนอกห้องเกี้ยว “ถ้าเจี่ยงเหลียงตี้นั่นรู้ว่าฮองเฮาวางแผนกับตัวเอง เจ้าว่าจะเป็นไปได้ไหมที่นางจะแว้งกัดกูกูของตัวเองด้วยอารมณ์ที่เดือดดาล”
อวิ๋นหว่านชิ่นจะไม่เข้าใจจิตใจของคนที่ถูกทำร้ายจนไร้หนทางมีบุตรได้อย่างไร ได้ยินคำพูดนี้ สติล่องลอยก็ไปชั่วขณะ
ซย่าโหวซื่อถิงสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยภายในใจของหญิงสาว จึงยกขากรรไกรล่างของนาง แล้วใช้แววตาที่ถามไถ่มองนาง
อวิ๋นหว่านชิ่นคืนสีหน้ากลับเป็นดังเดิม น้ำเสียงกลับมีความไม่แน่ใจเล็กน้อย “ไม่มีผู้หญิงคนใดในโลกจะหวังว่าตัวเองจะถูกแย่งอำนาจการเป็นแม่หรอกเพคะ”
ซย่าโหวซื่อถิงเงียบลง
นางพอจะรู้ว่าเขาวางแผนอะไร จึงพูดต่อ “แต่ว่า ทั้งกูกูและหลานแซ่เจี่ยงเป็นดั่งตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน ถ้าไปบอกเจี่ยงอวี๋เช่นนี้ นางก็อาจจะมิได้เป็นเดือดเป็นดาล และยังมีความเป็นได้มากที่จะสงวนท่าทีนี้ไว้ในความสัมพันธ์ฮองเฮากับตัวเอง อย่างมากสุดก็ไม่ไปมาหาสู่กับฮองเฮาตั้งแต่นี้ต่อไป และเลี่ยงที่จะไม่รับชาพิษอีก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ฮองเฮายังคงไม่ได้รับสูญเสียสิ่งใดๆ ดังเดิม หากแต่สามารถหาโอกาสที่เหมาะสมแล้วค่อยเปิดเผยเรื่องนี้กับเจี่ยงอวี๋ บีบนางให้ต้องต่อสู้กันจนตัวตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย และฉีกหน้าให้อับอาย”
ซย่าโหวซื่อถิงโก่งมือ ถูกับผิวหนังที่พร่างพราวซึ่งถูกแสงตะวันส่องจนเกือบจะทะลุใสของนางอย่างเบาๆ กรอบคิ้วขมวดแน่นขึ้นเล็กน้อย “เจ้ามีแผนอะไรใช่หรือไม่”
——
[1] หวงไท่ซุน เมื่อพระโอรสองค์โตในองค์รัชทายาทมีอายุที่เหมาะสม สามารถแต่งตั้งเป็นพระโอรสผู้สืบทอดในองค์รัชทายาทได้ในตำแหน่งหวงไท่ซุน หากองค์รัชทายาทผู้เป็นพระบิดาสิ้นพระชนม์ก่อนที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ พระโอรสผู้มีตำแหน่งเป็นหวงไท่ซุนจะเป็นผู้มีสิทธิ์ในการสืบทอดราชบัลลังก์แทน