ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 152.1 สักใบหน้าแก้แค้น กับ ไขความลับ (1)
เหยาฝูโซ่วเห็นฮ่องเต้ไอจนหน้าดำหน้าแดง จึงรีบเข้าไปทุบที่หลังเบาๆ ส่วนพระชายาฉินยังคงยืนอยู่ไม่ได้กลับไปนั่งที่เก้าอี้ นางจ้องท่านหญิงหย่งจยาอยู่อย่างนั้นและพูดกับนางด้วยถ้อยคำประโยคที่คมจนบาดไปถึงกระดูกว่า “เคยมีชีวิตหนึ่งจบด้วยมือของท่านหญิงมาแล้ว แล้วนี่เพิ่มมาอีกหนึ่ง แถมยังเป็นสาวใช้ที่เลี้ยงดูท่านหญิงจนเติบใหญ่ ทั้งมือซ้ายและมือขวาล้วนแปดเปื้อนไปด้วยเลือด ยังคิดจะเรียกร้องว่าไม่ยุติธรรม นี่ท่านช่างเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ ไร้น้ำใจไร้คุณธรรม น่ากลัวเสียจริง”
ตอนแรกอยากเพิ่มให้อีกหนึ่งข้อ ปรารถนาในตัวพี่ชาย แต่ช่างเถอะ คนอื่นจะได้ไม่ต้องคาดเดาส่งเดชจนอาจส่งผลไม่ดีต่อจวนฉิน เพราะอย่างไรแล้ว ความผิดแค่นี้ก็มากพอสำหรับนางแล้ว
น้ำตาที่อาบแก้มของท่านหญิงยังไม่ทันแห้งสนิท ขนตายังมีหยดน้ำตาติดอยู่ เสียงของนางเริ่มสั่นเครือ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร…”
หนิงซีฮ่องเต้ เยี่ยนอ๋อง ขุนนางเจ้าหน้าที่และบ่าวรับใช้ ต่างก็รู้สึกงงกับสิ่งที่พระชายาฉินกล่าว
เยี่ยนอ๋องทำตาโตและถามออกไปว่า “พระชายาฉินหมายความว่าอย่างไร อะไรคือเคยมีชีวิตหนึ่งจบด้วยมือของท่านหญิง”
อวิ๋นหว่านชิ่นตอบด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “คืนวันเดินทางไปล่าสัตว์ ณ ที่พัก หลินรั่วหนานถูกงูกัดจนตาย ก่อนตาย นางแลกผ้าปูกับข้า นั่นหมายความว่า คนที่ควรถูกงูกัดเดิมทีควรเป็นข้า”
ทุกคนกลั้นหายใจ
“คนที่มีเรื่องบาดหมางกับข้า จะมีใครอีกเล่า นอกจากแม่นางอวี้ที่มาทะเลาะกับข้าในห้องนอนของข้าเมื่อคืนนั้น ก็มีแต่ท่านหญิงหย่งจยาที่วันนี้เกือบจะทำร้ายข้าอีกคน” อวิ๋นหว่านชิ่นหันไปหาหนิงซีฮ่องเต้ “ตั้งแต่หม่อมฉันกลับจากการล่าสัตว์ หม่อมฉันเคยไปเยี่ยมแม่นางอวี้ แม้ว่าสติของนางจะไม่ปกติ แต่นางพูดอยู่คำเดียวว่า ‘ไม่’ หม่อมฉันเชื่อว่านางไม่ได้ทำเพคะ”
“คำพูดของคนบ้า เจ้าก็เชื่อ? แม้ว่านางไม่ได้เป็นคนทำ แต่เจ้าโยนความผิดมาให้ข้าได้อย่างไร!” ท่านหญิงหย่งจยาเกลียดชังนางนัก กัดฟันกรอดจนเลือดแทบไหลออก
อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะขึ้นมา “ข้าไม่มีหลักฐาน แต่ข้ารู้ว่าวิธีการนำงูมาฆ่าผู้อื่น มีหญิงสาวอยู่ไม่กี่คนที่คิดได้ เพราะหญิงสาวส่วนใหญ่กลัวงูกันทั้งนั้น อย่างน้อยก็ไม่ได้รู้สึกดีด้วยเท่าไหร่ ข้าก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย แต่——เมื่อครั้นที่ข้าไปเยี่ยมแม่นางอวี้ ข้าเคยได้ยินนางพูดว่า ท่านหญิงไม่กลัวงูเลยตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่เก่งมาก จากนั้นข้าบังเอิญได้ยินมาว่า ในตำหนักหลวนอี๋ ท่านหญิงหย่งจยานอกจากเลี้ยงนก เลี้ยงปลา ปลูกดอกไม้ เลี้ยงสุนัข เลี้ยงแมวแล้ว ยังเคยเลี้ยงงูด้วย ช่างเป็นคนที่ทำอะไรล้ำหน้าผู้อื่นเสียจริงนะเพคะ ข้าไม่เคยได้ยินว่าคุณหนูตระกูลไหนเลี้ยงงูมาก่อนเลย ครั้งนี้ท่านหญิงนำไข่แมลงใส่ร้ายว่าข้าเป็นคนไร้คุณธรรม ครั้งที่แล้วจะใช้งูทำร้ายข้าก็คงไม่น่าแปลกหรอกกระมังคะ ท่านหญิงบังเอิญควบคุมงูได้อีก แล้วจะไม่ให้ข้าคิดมากได้อย่างไรกัน”
ท่านหญิงหย่งจยาฟังจนรู้สึกสะพรึงกลัว คิดเสมอว่าตนอยู่ในที่ลับคอยจ้องศัตรูพร้อมตะครุบเหยื่อดั่งพญาเสือ คิดไม่ถึงเลยว่า อวิ๋นหว่านชิ่นเองก็ไม่ได้ทำตัวว่าง นางถูกจับผิดจนผู้อื่นรู้ไส้หมดแล้ว จากนั้นก็ได้ยินแต่เสียงตำหนิด้วยความกริ้วโกรธของหนิงซีฮ่องเต้ว่า “หย่งจยา เจ้าทำให้ข้าผิดหวังมาก!”
สีหน้าของท่านหญิงหย่งจยากลายเป็นสีขาวซีด แม้ว่าเรื่องฆ่าคนจะไม่มีหลักฐานจริง แต่การที่อวิ๋นหว่านชิ่นจุดฉนวนไฟแบบนี้ มันยิ่งทำให้ไฟที่ลุกอยู่ข้างในของเสด็จลุงลุกโชนขึ้นไปถึงจุดสูงสุด จนทางหนีทีไล่ของตัวเองนั้นปิดตายไป ครั้งนี้——ตัวข้าคงจนมุมแล้วจริงๆ!
“รับคำสั่ง” หนิงซีฮ่องเต้เอามือปิดปากเอาไว้และไอค่อกแค่กอยู่หลายที “ถอนตำหนักหลวนอี๋ ย้ายท่านหญิงหย่งจยาออกจากเขตตำหนักองค์หญิง” หยุดไปครู่หนึ่ง “อาศัยที่เรือนด้านนอก ห้ามเข้าวังชั่วชีวิต ตัดเบี้ยเลี้ยงพื้นฐานสำหรับชีวิตประจำวัน ยกเลิกสิทธิการเข้าร่วมงานทุกประการ!”
เหยาฝูโซ่วจำคำสั่งด้วยความอกสั่นขวัญแขวน เมื่อเทียบกับความรุ่งเรืองเมื่อสมัยที่ท่านหญิงหย่งจยาได้รับยิ่งกว่าองค์หญิงแล้ว บทลงโทษนี้ ต้องพูดเลยว่าเป็นบทลงโทษที่หนักมาก แล้วใครให้เรื่องนี้บานปลายถึงเพียงนี้กันเล่า แล้วฝั่งต้าสือก็ยังจับตาเรื่องนี้อยู่ด้วย!
ร่างกายของท่านหญิงหย่งจยาอ่อนระทวยล้มลงที่พื้น ทั้งร่างกายหมดแรงราวกับถูกดูดแรงออกไปหมด สองขาที่สูงส่งดั่งหยกงอลงกับพื้นโดยที่ไม่ได้หมายความว่าน้อมรับบทลงโทษ
เมื่อทุกคนคิดว่านางจะขอให้อภัยนางอีกครั้ง แต่สิ่งที่กล่าวออกมากลับเป็น “ความผิดของหย่งจยาร้ายแรงนัก หม่อมฉันขอถอนยศท่านหญิง เป็นเพียงพลเมืองธรรมดา ต่อแต่นี้ไป——จะตัดขาดความสัมพันธ์กับราชวงศ์ซย่าโหวเพคะ!”
หนิงซีฮ่องเต้ตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้
เหยาฝูโซ่วรู้สึกว่าท่านหญิงท่านนี้บ้าไปแล้ว จึงรีบคุกเข่าและออกปากเตือนว่า “ท่านหญิง ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านกำลังพูดอะไรอยู่ แม้ว่าบทลงโทษของฝ่าบาทจะหนัก แต่ท่านก็ควรมีสิ่งที่จะประกันการใช้ชีวิตของท่านด้วย อย่างน้อยก็ยังเป็นเชื้อพระวงศ์ ท่าน——เปลี่ยนเป็นพลเมือง ท่านจะกลายเป็นแค่ชาวบ้าน ท่านจะใช้ชีวิตอย่างไร จะทำอะไรกิน ท่าน——โง่หรือเปล่า”
มุมปากของนางเผยรอยยิ้มอันน่าแปลกประหลาด นางหันหน้ามองอวิ๋นหว่านชิ่นหนึ่งที จากนั้นหันหน้ามาพูดกับหนิงซีฮ่องเต้ว่า “หม่อมฉันไม่ได้โง่เขลา ได้โปรดฝ่าบาทออกคำสั่งถอดสถานะการเป็นเชื้อพระวงศ์ของหม่อมฉัน หากเป็นเช่นนี้อย่างน้อยก็สามารถลดความกริ้วของต้าสือได้ด้วยเพคะ”
รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยเลศนัยนี้ มีเพียงอวิ๋นหว่านชิ่นที่เข้าใจมันดี ความคิดเพ้อเจ้อที่มีต่อฉินอ๋องของท่านหญิงท่านนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นได้ถึงเพียงนี้ ฮึ
ลูกพี่ลูกน้อง ไม่มีหนทางใดที่จะแต่งงานกันได้ แต่ถ้าความสัมพันธ์นี้จบลง นางจะมีโอกาสทันที
ความรู้สึกของหนิงซีฮ่องเต้ที่มีต่อนางนั้นตายด้านหมดแล้ว เมื่อเห็นความดื้อรั้นของนางเช่นนี้ ทรงสะบัดชายแขนเสื้ออย่างเบื่อหน่ายและตรัสว่า “แล้วแต่เจ้า! เหยาฝูโซ่ว ไปจัดการตามคำขอของนางซะ!”
เหยาฝูโซ่วผงกหัวรับคำสั่ง จากนั้นสูดหายใจลึกหนึ่งที หันหน้าไปพูดกับท่านหญิงหย่งจยาผู้ที่กำลังจะกลายเป็นบุคคลล้มละลายว่า “ทหาร นำท่านหญิงไปพระที่นั่งซือฝา รอคำสั่งอีกครั้ง!”
ท่านหญิงหย่งจยาถูกนำตัวออกจากพระที่นั่งโดยองครักษ์สองนาย ช่วงเวลาที่ใกล้จะก้าวออกจากประตู นางหันกลับไปมองอวิ๋นหว่านชิ่น ริมฝีปากเผยรอยยิ้มที่คล้ายว่าสิ้นหวังแต่ก็เหมือนได้ใจอย่างบอกไม่ถูก
ไหนๆ ก็ไหนๆ ข้ายอมทุบหม้อข้าวจมเรือ อวิ๋นหว่านชิ่น ครั้งนี้เจ้าเหยียบข้าจมดิน แต่ก็เป็นวันที่ข้าได้เกิดใหม่
นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าไม่ใช่คนในราชวงศ์ซย่าโหว ข้ากับฉินอ๋อง ก็ไม่ใช่พี่น้องที่ไม่สามารถแต่งงานกันได้อีกต่อไป
ข้อห้ามต่างๆ นานาระหว่างข้ากับฉินอ๋อง จะไม่มีอีกแล้ว
ไม่มียศท่านหญิงแล้วอย่างไรเล่า คิดว่าอยากได้งั้นอย่างงั้นรึ หญิงข้างกายราชาต่างหาก คือตำแหน่งสูงสุดที่ข้าใฝ่ฝันอยากจะเป็น
ก็แค่คนขี้แพ้คนหนึ่ง คิดว่าข้าจะกลัวเจ้ารึ รูปปากของอวิ๋นหว่านชิ่นเปลี่ยนไปเล็กน้อย มือจับถ้วยน้ำชาสีชมพูอย่างช้าๆ แล้วทอดสายตาที่เยาะเย้ยไปยังหย่งจยา นางอ่านความในใจของอวิ๋นหว่านชิ่นออก โกรธจนต้องสะบัดตัวเดินออกไปทันที จากนั้นมุมปากสองข้างจึงค่อยๆ ขยับขึ้น
หลังจากเหตุการณ์พระที่นั่งอี้เจิ้งผ่านไป เรื่องไข่แมลงในลังสินค้า ก็ได้ข้อสรุปเสียที
เวลาผ่านไปสองวัน เหยาฝูโซ่วนำพระราชโองการของฮ่องเต้ไปยังพระที่นั่งซือฝา จากนั้นเริ่มอ่านความผิดและบทลงโทษของท่านหญิงหย่งจยาซย่าโหวเซวียนต่อหน้าเจ้าหน้าที่ศาลสูง สำนักพระราชวังและฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
“ซย่าโหวเซวียนธิดาแห่งลี่หยางอ๋อง ไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ประพฤติตนตามอำเภอใจ จนเกือบทำลายมิตรภาพระหว่างสองอาณาจักร ทำให้ราชสำนักเสียชื่อเสียง เป็นความผิดฐานทรยศ ด้วยบิดาและพี่ชายทั้งสองต่างเป็นผู้รับใช้ชาติ พี่ชายรักษาชายแดนเหนือจนถึงวันนี้ จึงมีพระราชทานอภัยโทษให้แก่ซย่าโหวเซวียนพ้นจากโทษประหารชีวิต ถอดยศท่านหญิงอันทรงเกียรติ เรียกคืนอำนาจฝ่ายราชวงศ์ เบี้ยเลี้ยง บ่าวรับใช้และสวัสดิการอื่นๆ ลดระดับเป็นสามัญชน เชิญออกจากพระราชวัง นับแต่นี้เป็นต้นไป ไม่มีความข้องเกี่ยวกับราชวงศ์ซย่าโหวใดๆ อีก”
สองวันนี้ มอมอตำหนักหลวนอี๋มาอยู่เป็นเพื่อนท่านหญิง นางเองก็ตะลึงเช่นกันเมื่อได้ยินพระราชโองการที่ถูกอ่านออกเสียงโดยเหยาฝูโซ่ว เจ้านายของตนมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน และได้รับความรักมาเป็นเวลาสิบกว่าปี เหตุใดจึงถูกไล่ออกจากวังเช่นนี้ แม้ว่าเคยพูดเมื่อตอนอยู่ที่ท้องพระโรง แต่นั่นก็อาจเป็นความโกรธเพียงชั่วครู่ ผ่านไปวันสองวันก็คงดีขึ้น คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะร้ายแรงถึงเพียงนี้! นางเห็นแต่ท่านหญิงคุกเข่าลงที่พื้นหินขัด รับพระราชโองการเอาไว้ แม้สีหน้าจะซีดขาว แต่มุมปากกลับเผยรอยยิ้มออกมา และพึมพำว่า “ไม่ให้เป็นญาติฝ่ายราชวงศ์ ไม่เป็นก็ได้…”